30.9.51

ตะลุยเยาวราช

พอถึงเทศกาลอาหารเจ ก็กลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วสำหรับสมาชิกในออฟฟิศ ที่จะชวนกันไปลุยเยาวราช ไปตามหาอาหารเจรสดีดี หลากหลายเมนู ... ปีนี้คนต้นคิดริเริ่มคือ คนดีค่ะ มาเสนอไอเดียชวนสาวๆ ที่ร่วมขบวนทานเจ


พอดีกับพี่ที่ลาออกไป ส่งข้อความผ่านเอ็มเอสเอ็นมาชวน และบ่นว่า "อยากกินหมี่ผัดกระเฉด" ... เลยบอกข่าวที่คนดีชวนสาวๆ ไว้ พี่เค้าเลยส่งคิวว่างมาให้ทันที ... สรุปว่าเย็นวันนี้นี่หล่ะค่ะ


รวบรวมสมาชิกได้ 7 คน แต่ขอยกเลิกไป 1 เพราะคุณแม่ป่วย อาศัยฝากเพื่อนซื้อแทน ... เหลือ 6 คน เป้าหมายยังคงเดิม แต่วันนี้คนดีเข้าออฟฟิศวันสุดท้าย เลยมีงานติดพันที่ต้องเคลียร์ เลยจะไปเจอกันที่เยาวราชเลย


สาวๆ 4 คนที่เหลือ ท้องกิ่ว หิวโหยปักหลักรออยู่ที่ออฟฟิศ ... ห้าโมงนิดๆ พี่ที่ลาออกไปก็โฉบรถมาเก็บสาวๆ มุ่งหน้าไปเยาวราช ... พอรถเลี้ยวเข้าถนนเยาวราชก็ใจเหี่ยวนิดหน่อย เพราะไม่เห็นธงเหลืองเรียงรายเป็นราวเหมือนเมื่อปีที่แล้ว ชักหวั่นใจว่าจะมีอาหารเจหลากหลายประเภทให้ชิมรึเปล่าน้อ


พอเข้าไปราวๆ ช่วงกลางถนน ธงเหลืองก็สะบัดกระจายไปทั่ว สาวๆ ที่หิวไส้กิ่วนั่งหงอยเมื่อครู่ ก็คึกคักตาโตขึ้นมา ... วนเข้าที่จอดรถ ได้ที่จอดเรียบร้อย ก็ได้เวลาสำรวจตลาด
เดินไปในทิศทางเดิม มุ่งหน้าไปร้าน ฮื่อก้วยเจ เป็นที่แรก เพราะอร่อยติดใจมาตั้งแต่ปีก่อนๆ ... ซื้อกันคนละถุง สองถุง ทั้งซื้อกินเลย และซื้อกลับไปฝากใครต่อใคร ... จากนั้นก็เดินสำรวจเส้นทางว่าจะเลือกปักหลักที่ร้านไหนดี


เดินสำรวจเส้นทางเรียบร้อย เรากับพี่ที่ลาออกไปตกลงกันว่าจะเลือกร้านไหน ... พอดีกับที่คนดีโทรเข้ามา แต่มีปัญหามือถือง่อย โทรติดแต่ไม่มีเสียง กดกันไปกดกันมาหลายรอบกว่าจะได้คุยกัน ... พอคุยได้เสียงคนดีก็โวยด้วยความหงุดหงิด เสียงแหว แหวกอากาศมาเลย เพราะหลงทาง ทำเอาเราอึ้ง งง ว่าฉันทำอะไรผิด ฉันทำให้เธอหลงเหรอ ... นับ 1-10 เพราะรู้ว่าคนดีมักจะเป็นแบบนี้ ผ่อนให้เย็นแล้วส่งให้คนอื่นช่วยบอกทาง เพราะถ้ายังคุยกันต่อ คงได้ตีกันแน่ๆ


พอรู้ว่าคนดีถึงแล้ว ก็เดินนำสมาชิกไปที่ร้าน หาที่นั่งได้แล้วเราก็ออกมารอรับคนดี ยังหวั่นใจว่าถ้ามาแบบแรงๆ เหมือนเมื่อกี้ คงมีคดีหนีกลับบ้านแน่ๆ ... พอเจอแล้วอาการปกติเลยโล่งอก สงสัยจะทั้งหลง ทั้งหิว เลยเกเร


สมาชิก 6 คนรวมตัวครบ สักพักมีสมาชิกตามมาสมทบอีก 3 คน แฟนน้อง 1 และน้องๆ จากออฟฟิศคนดี 2 คน ... สมาชิกพร้อม ก็ตั้งหน้าตั้งตารออาหารเจที่สั่งไป นั่งคอยนานหน่อย เพราะคนเยอะ ... แต่พออาหารทยอยมาวาง ก็เอ็นจอยกันถ้วนหน้า คุ้มค่าที่รอคอย


ต้มยำเจ - ผัดกะเพราเจ - ผัดพริกแกงเจ - ผัดแขนง - ยำเห็ดรวม - เต้าหู้ทรงเครื่อง - เห็ดเข็มทองน้ำแดง - ผัดกระเฉดไฟแดง - หมี่ผัดกระเฉด ... 9 อย่าง 11 จาน สมาชิก 9 คนจัดการกันเรียบ ค่าเสียหายรวมข้าวเปล่า 1 โถ กับน้ำเปล่า 850 บาท ... อาหารรสดี รสเหมือนเมนูปกติ เพียงแต่ในจานเต็มไปด้วย เต้าหู้ เห็ดหลายชนิด และโปรตีนเกษตร ที่ทำเลียนแบบเนื้อสัตว์ทั้งหลาย


อิ่มแล้วก็ได้เวลาเดินย่อย ตุนเสบียงกันต่อ ... ฮื่อก้วยเห็ดหอม ลูกชิ้นเห็ดหอม เห็ดสวรรค์ กระเพาะปลา บะจ่าง ซาลาเปา ก๋วยเตี๋ยวหลอด ปอเปี๊ยะสด และสารพันกับข้าวเจ ที่ตุนไว้เป็นเสบียงสำหรับมื้อต่อๆ ไป


แวะซื้อของ หิ้วถุงกันนิ้วกิ่ว เลยหยุดพักเติมพลังด้วย บัวลอยน้ำขิง ... นั่งเม้าท์กันอีกสักพักก็แยกย้ายกันกลับ มาเจอกันเพื่อกินจริงๆ กินอิ่มท้องตึง หมดแรงเดิน ก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เทศกาลเจปีหน้าเจอกันใหม่

เริ่มต้นใหม่

วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการใช้ชีวิตพนักงานบริษัทของคนดีแล้ว ... ตั้งแต่วันพรุ่งนี้คนดีก็จะเริ่มต้นทางเดินชีวิตใหม่ ก้าวออกมาเดินตามทางของตัวเอง เลือกเอง กำหนดเอง



ตอนที่คนดียื่นเรื่องลาออกแรก ก็ตกอยู่ในโหมดซึมเศร้า เพราะไม่ได้เข้าไปคุยกับหัวหน้าก่อน ตัดสินใจปุ๊บก็ยื่นจดหมายลาออกปั๊บ ... หัวหน้าของคนดีซึ่งสนิทกันตั้งแต่ทำงานอยู่บริษัทก่อน และเป็นคนชวนมาทำงานที่นี่ เลยตกใจ เสียใจ พูดเชิงตัดพ้อนิดๆ ว่าทำไมถึงไม่คุยกันก่อน แต่ก่อนยังพูดคุยปรึกษากันได้ทุกเรื่อง ... คนดีเลยน้ำตาหยด เพราะรู้สึกผิด



หลังจากมาคิดทบทวน ก็ตัดสินใจว่ายังไงก็ออก ... แต่ยังมีซึมเศร้าบ้าง และกังวลกับอนาคตข้างหน้าที่ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง ... เราก็ต้องทำหน้าที่อุ้มชูฟื้นฟูพลัง



มาถึงวันนี้ วันสุดท้ายของเส้นทางชีวิตแบบเดิม อาการซึมเศร้าหายไป ความกังวลใจลดลง เพราะมีลูกค้าเสนองานเข้ามาให้ ... จากที่มีให้อุ่นใจอยู่ 1 โปรเจคท์ ก็มีโปรเจคท์ที่ 2 และ 3 เพิ่มตามมา



เรื่องงานก็น่าจะค่อยๆ ก้าวเดินไปได้อย่างช้าๆ ... แต่เรื่องของเราสองคน ก็คงต้องเริ่มต้นจัดระเบียบกันใหม่



จากที่เคยเจอกัน 6 วัน ต่อสัปดาห์ เจอกันเช้า-เย็น บางวันก็มีรอบกลางวันเพิ่ม ก็กลายเป็นรายสะดวก เจอกันเป็นครั้งคราว ... จากที่คนดีมาปลุกเราตอนเช้า แล้วเราปลุกคนดีตื่นกลับบ้านตอนค่ำ ก็คงไม่มีแล้ว



จากที่มีคนดีขับรถรับ-ส่งไปทำงาน-กลับบ้านเกือบทุกวัน ก็กลับเข้าสู่วงจรชีวิตแบบเดิมๆ คือ เดินไป-กลับเอง ... ไม่ได้กังวลเรื่องลำบาก เพราะเดินจนชินแล้ว แต่คงเหงาพิกล



ที่เคยเว้นที่ว่างเล็กๆ ให้กันและกัน อยู่บ้านใครบ้านมัน มีพื้นที่ส่วนตัวไปเจอเพื่อน เจอใครต่อใคร ... เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ที่ว่างของเราสองคนก็คงขยายมากขึ้น



พอที่ว่างเพิ่มขึ้นแล้วก็หวั่นใจเหลือเกิน หวั่นใจกับตัวเองนี่แหละ ว่าจะงี่เง่า งอแง ได้ง่ายขึ้น ... เลยต้องทำข้อตกลงกับคนดีไว้ล่วงหน้า ต้องคุยต้องเคลียร์กันก่อน



เข้าใจว่าคนดีจะต้องไปทำงาน ติดต่องาน ดูแลงาน เวลาที่จะมาเจอกันคงน้อย ... เพราะฉะนั้น เวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน ขอให้เป็นเวลาที่มีค่า ... ไอ้ที่เจอกันแล้วยังต้องรับสายโทรศัพท์ต่อเนื่อง ปล่อยให้นั่งน้ำลายบูด ไม่เอาแล้ว รับไม่ได้ เพราะงานที่เริ่มต้นใหม่ คงยังไม่มีลูกค้าเป็นแพเหมือนเดิม คงไม่วุ่นวายนุงนังจนต้องรับสาย 4-5 สายต่อกัน



หวังว่าคนดีจะมีเวลาโทรหากันบ้าง เพราะไม่ได้เจอกันบ่อยๆ เหมือนเดิม น่าจะมีเรื่องคุยกัน มีเรื่องเล่าให้ฟังเพิ่มขึ้น ... ไม่ได้หวังว่าจะต้องโทรรายงานตัวทุกชั่วโมง ไม่ต้องคุยกันหลายๆ นาที ... แค่มีเวลาเล็กๆ น้อยๆ โทรมาบอกว่าคิดถึงกันบ้างก็พอ



ที่อยากได้ยินเสียงเพราะอยากรู้ว่ายังสบายดีอยู่ เวลาหายเงียบไปเลย แล้วห่วงเหลือเกิน ... ห่วงเพราะคนดีต้องตะลอนขับรถไปไหนต่อไหน คนที่อยู่นิ่งกับที่ก็ห่วงไปต่างๆ นาๆ ... ไม่อยากให้ความห่วง กลายเป็นเหตุให้ต้องงี่เงา แล้วงอแง



ตอนนี้ก็ได้แต่คอยเตือนตัวเองเอาไว้ ว่าต้องปรับตัวกันทั้งคู่ จะพูดอะไรก็ต้องคิดให้ดี จะงี่เง่า งอแง ก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง เตือนตัวเองให้มีเหตุผลเข้าไว้ ... ตอนนี้ก็ยังทำได้ เตือนตัวเองได้ พอถึงเวลาจริงๆ ไม่รู้จะหมู่หรือจ่า



เอาน่า เจอกันน้อยลงอาจจะทำให้เราเห็นคุณค่าของเวลาที่มีให้กันมากขึ้น รักกันมากขึ้นก็ได้ ... 6 ปีครึ่งที่เดินจูงมือกันมา คงไม่จูงกันไปเจออาถรรพ์รักร้าวเมื่อก้าวเข้าปีที่ 7 - The Seven Year Itch หรอกเนอะ



คนดีจ๋า ... ขอให้การเริ่มต้นทางเดินของชีวิตทางใหม่ของคุณ ก้าวไปอย่างราบรื่น และมั่นคงนะคะ ขอให้ก้าวไปถึงฝันที่คิดไว้ค่ะ ... แล้วอย่าลืมจับมือเค้า จูงมือเค้าเดินไปข้างๆ ด้วยนะคะ ถ้าปล่อยเค้าทิ้งกลางทาง เค้าคงร้องไห้ตาปูดแน่ๆ เลย

29.9.51

เหตุเกิดในห้องน้ำ

เหตุเกิดในห้องน้ำที่ "นั่งเล่น" ทำให้คนดีทั้งอาย และเสียโอกาส ... จริงๆ รู้เรื่องที่ทำให้คนดีต้องอายตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่วันนี้เพิ่งรู้ว่าคนดีรู้สึกเสียดายโอกาส


ระหว่างที่เฮฮาปาร์ตี้กันสนุกสนาน คนดีเกิดปวดท้อง มวนท้อง รู้สึกเหมือนจะท้องเสีย อยากเข้าห้องน้ำ ... พอบอกเรา เราก็ตกใจว่าไม่รู้ห้องน้ำจะเป็นยังไง สาวๆ เลยสงสัยว่าเราตกใจอะไร ที่นี่เลยรู้กันถ้วนหน้า ... สาวๆ ที่ไปห้องน้ำมาแล้ว บอกว่าห้องน้ำใช้ได้ คนดีเลยปลีกตัวไปห้องน้ำ


คนดีหายไปนาน กลับมาเล่าว่า เสียเวลาไปเดินหาห้องน้ำอยู่นาน เพราะไม่แน่ใจว่าห้องน้ำสะอาดรึเปล่า คนจะเยอะมั้ย เลยลองออกไปเดินดูข้างนอกเผื่อจะเจอปั๊ม ... แต่ไม่เห็นวี่แววอะไร เลยเดินกลับมาหาห้องน้ำในร้านอีกที กว่าจะเดินฝ่าฝูงชนไปเจอห้องน้ำ ก็หลงมุดไปผิดทางอยู่หลายรอบ


เจอห้องน้ำ ก้าวเท้าเข้าไปปุ๊บ ก็เจอสาวๆ จากออฟฟิศเรานั่งรอคิวเข้าห้องน้ำพอดี ... ถ้านั่งรอเฉยๆ ก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่พอเห็นคนดีก้าวเข้าไปก็ส่งเสียงทักเลย "พี่นก อี้ รึยัง" ... คนดีมาบอกว่า อยู่ห่างกัน 4-5 เมตร ออกเสียงดังฟังชัดแบบไม่เซ็นเซอร์ ขอ-สระอี-ไม้โท ลอยมาเต็มๆ แล้วทักซะดังลั่นแบบนี้ หมดกันเลย สาวๆ ที่นั่งรอเข้าห้องน้ำเพียบ ได้ยินกันชัดเจน


ได้ยินแล้วก็ทั้งขำ ทั้งสงสาร สาวๆ ที่ไปเที่ยวด้วยกันวันนั้นก็ขำ คิกคัก ... เมื่อกลางวันคนดีแวะมาทานข้าวด้วย ก็บ่นให้สาวๆ ที่ไม่ได้ไปฟังอีกรอบ สาวๆ ก็เฮกันอีกรอบ ... แต่ตอนเล่ามีประโยคที่สะดุดหู เพราะได้ยินคนดีบ่นเพิ่มมาว่า "โธ่เอ๊ย มีทาร์เก็ตนั่งอยู่ด้วย หมดกันเลย"


เย็นนี้ระหว่างนั่งรถกลับมาจากซื้อของ เลยยกประโยคสะดุดหูขึ้นมาคุย "เพิ่งรู้ว่า นอกจากจะอาย แล้วยังเสียดายอีกด้วย แหม มีทาร์เก็ตนั่งอยู่ด้วยเหรอคะ"

"อือ ใช่ โห นั่งอยู่ข้างๆ เลยนะตัวเอง"

"แล้วไง ถ้าน้องไม่ทักเสียงดัง ตัวจะหันไปขอเบอร์สาวข้างๆ เหรอ"

"อือ ขอซิ"

"ถ้าหันไปขอ แล้วเค้าบอกว่า มากับแฟนค่ะ ตัวจะทำไง"

"อ้าว พี่ไม่ได้ขอเบอร์แฟนน้องนี่ ขอเบอร์น้องต่างหาก"

"ถ้าเค้าตอบว่า ชอบผู้ชายค่ะ ไม่ชอบผู้หญิง"

"ก็ไม่ได้ให้ชอบ แค่ขอเบอร์เฉยๆ"

ได้ยินแล้วขำก๊าก เออ คนเราหาทางดิ้นไปจนได้จริงๆ ฟังแล้วก็ชักหวั่นใจ ... ถ้าเผลอให้โสดชั่วคราวไปร่าเริงตามผับแบบนี้ สงสัยลายเสือที่ซ่อนไว้คงโผล่ นี่แค่แวบไปห้องน้ำ ยังเขี้ยวยื่น หางแพลมออกมาเลย ... ดีนะเนี่ย ที่ไม่ค่อยชอบเที่ยวกลางคืน ไม่งั้นคงต้องไล่จับกันเหนื่อย

27.9.51

คนดีตาดำๆ

ต่อเนื่องจากบล็อกที่แล้ว ที่สาวๆ แต่งสวยเตรียมไปปาร์ตี้ ... คนดีเองก็โดนเราจับเติมหน้าด้วยเหมือนกัน เพราะเวลาออกงานทีไร เราก็จับคนดีเติมสวยทุกที

พอคนดีมาถึง เราก็หาช่องจะจับเติมหน้าทันที แต่คนดีก็ติดสายเคลียร์งานกับลูกค้าและซัพพลายเออร์อยู่ ... เราถืออายไลน์เนอร์แบบดินสอ รอจะเดิมตาคนดี ถือจ้องรอจังหวะอยู่นาน หาช่องไม่ได้สักที เลยหันไปตะแง้วใส่สักหน่อย คนดีเลยยอมเปิดช่วงว่างให้

แต่พอเห็นหน้าแล้วก็ทนไม่ไหว หน้ามันเหลือเกิน เลยส่งกระดาษซับมันให้ซับซะก่อน ... แล้วก็จัดการล็อคหน้า ล็อคตา เขียนอายไลน์เนอร์ ลากไปได้จิ๊ดเดียวก็ต้องหยุด เพราะคนดีเคืองตา น้ำตาหยดเป็นเม็ดๆ เลยต้องพัก ... ปล่อยคนดีซับน้ำตา และรับสายไปก่อน

พอใกล้เวลาเลิกงาน เลยต้องบังคับขู่เข็ญให้คนดีเติมหน้าสักที ... เริ่มจากให้เติมแป้ง ลองเอาแป้งพัฟตัวใหม่ไปซับให้ แต่คนดีไม่ชอบ งัดเอาแป้งพัฟของแมค ตัวเก่าที่รับมรดกจากเราไปมาซับหน้าแทน

เก็บรูปมาเป็นหลักฐานว่าซับหน้าเอง แล้วยังเช็ครายละเอียดจุดต่างๆ ทั่วด้วย กว่าจะถ่ายได้ ต้องกดชัตเตอร์รัว

เติมแป้งเรียบร้อย ก็เข้าสู่ขั้นตอนทรมานอีกรอบ โดนบังคับเขียนขอบตาล่าง ขอบตาบน ดัดขนตา และปัดมาสคาร่าจิ๊ดนึง เพื่อไม่ให้ขนตาตกลงมา ... ตาเรียบร้อยแล้ว คนดีก็เรียกร้องขอปากสุขภาพดี เราจัดการเติมทิ้นท์ให้นิดนึง ตามด้วยลิปบาล์ม ... ปิดท้ายด้วยการปัดแก้มนิดเดียว แค่เอาฝุ่นบลัชที่ติดแปรงอยู่ปัดให้นิดหน่อย


รูป Befor กับ After ต่างกันไม่มาก ตาดำขึ้นนิดนึง ปากสีระเรื่อเพิ่มอีกหน่อย ... ซูมตาให้เห็นชัดๆ ก็จะเห็นขอบตาล่างที่ถูกจับเขียนว่าดำเข้มกว่าปกติ ... แต่พอสาวๆ ลงมาเห็น ก็ส่งเสียงแซวกิ๊วก๊าวว่าคนดีหน้าผ่องเด้ง ตาคมเชียว

เลิกงานปุ๊บ สมาชิกพร้อม ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไป "คอฟฟี่บีนส์" เพราะเราอยากจะหม่ำของอร่อยก่อนจะเข้าไปแดนซ์ ... 18.00 น. เป๊ะก็ถึงคอฟฟี่บีนส์ สมาชิกที่นัดไว้ก็ทยอยกันมา ทั้งพนักงานปัจจุบัน และพนักงานที่ออกไปแล้ว รวมถึงลูกค้าที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นของเรา ควงสามีและเพื่อนมาด้วย ... กินกันเต็มที่ พอใกล้ๆ สองทุ่ม ก็เคลื่อนพลไป "นั่งเล่น"


เพราะรวมตัวกันพร้อม มีสมาชิกอยู่ สิบกว่าคน เลยเฮฮากันก่อนโต๊ะอื่นๆ นั่งเบียดอัดกันอยู่รอบโต๊ะ แล้วมีหนุ่มๆ ยืนเป็นบอดี้การ์ดอยู่ด้านหลัง ... พอเด็กมาเก็บเก้าอี้ ก็พร้อมใจกันยืน เตรียมตัวแดนซ์เต็มที่ ... บรรยากาศโดยรวมก็สนุกสนานเฮฮากันดี แต่พอดึกๆ คนดีเริ่มปวดท้อง ยังไม่ทันเที่ยงคืน ก็ต้องขอตัวกลับก่อน

ได้ข่าวแว่วๆ ว่า นัดปาร์ตี้ครั้งหน้า สาวๆ จะไป "ลิซี่ม" แต่ยังไม่รู้ว่าจะนัดกันเมื่อไหร่ ... ไปไหนไปกัน เฮไหนเฮด้วย

26.9.51

ว่า = ชม

สาวหมวยคู่หูบิวตี้ในออฟฟิศ เป็นคนที่ทำให้นิยามของการชมกันเปลี่ยนไป ... เหตุจากสาวหมวยขาวผ่อง ขาวโอโม่ หลังจากต่อมอยากสวยแตกก็แต่งหน้าทุกวัน ขาวเด้ง จะทาตา แต่งหน้าสีอะไรก็ง่าย เลยสนุกกับการทดลองสีสันบนหน้าตัวเอง ... ส่วนเราก็ยังคงคอนเซปท์เดิม คือ แต่งบ้าง ไม่แต่งบ้างตามอารมณ์ แต่ทยอยสะสมเครื่องสำอางเข้ากรุไว้ทีละชิ้น สองชิ้น แล้วถ้าวันไหนอยากสวยลุกขึ้นมาแต่งหน้า ก็แต่งแบบเต็มพิกัด


พอซื้อเครื่องสำอางใหม่มา ก็จะเอามาอวดกัน เพราะไม่รู้จะคุยกับใคร เพราะคนอื่นเค้าไม่คลั่งแต่งหน้าด้วย ... วันนึง ไปสอยเครื่องสำอางใหม่มา ก็หยิบติดมาออฟฟิศ เอามาใช้ด้วยความเห่อ สาวหมวยเข้ามาเห็นว่าแต่งหน้าเรียบร้อยแล้ว ด้วยเครื่องสำอางใหม่ที่สนใจอยู่เหมือนกัน เสียงชีก็แหว แหวกอากาศมา "แรดดดด" มาพร้อมกับหน้าตากจิกกัดด้วยอาการริษยา ก่อนจะเดินเข้ามาหยิบเครื่องสำอางไปลูบๆ คลำๆ


แล้วหลังจากนั้นถ้าวันไหนแต่งหน้าครบเครื่อง เป็นต้องได้ยินเสียง "แรดดดด" หรือ "แรดนะยะ" ลอยมาทุกที ... ได้ยินทีไรก็ขำ เพราะรู้ว่าน้องแหย่เล่น แต่มีอยู่วันชมดังไปหน่อย เสียงลอยไปเข้าหูสาวคนอื่นในออฟฟิศด้วย สะดุ้งกันเป็นแถว เราเลยต้องหันไปชี้แจงว่าน้องชม ไม่ได้ว่า ... พอสาวคนอื่นคุ้น สาวหมวยก็แหร่นิยามคำชมใหม่ให้ด้วย ถ้าใครแต่งตัวสวย แต่งหน้าสวย เป็นอันต้องได้ยินคำชมแบบแปลกๆ แบบนี้ทุกที


วันนี้ก๊วนปาร์ตี้รวมตัวกันอีกครั้ง ... เมื่อเช้าก็คว้าเสื้อคอเต่าแขนกุดสีแดงเด้งมาใส่ คนดีตื่นมาเห็นก็พูดว่า "โอ้โห แรดเชียวนะ" หันไปยิ้มรับ และบอกว่า "ถือเป็นคำชม เพราะสาวหมวยก็ชมแบบนี้เหมือนกัน เดี๋ยววันนี้จะรอดูซิ ว่าหมวยเห็นแล้วจะว่ายังไง"


ถึงออฟฟิศก็งัดอุปกรณ์แต่งหน้ามาเติมสีสัน วันนี้ทาตาสีน้ำตาลผสมทอง กรีดตาเข้มๆ เส้นหนาๆ แล้วก็เลือกทาปากสีอมแดงๆ ... แต่งหน้าเสร็จก็หันไปคุยกับพี่ผู้ช่วย บอกให้คอยดูว่า สาวหมวยกลับจากประชุมมาเห็นแล้วจะว่ายังไง ถ้ามีแรดลอยมาหล่ะก็ แสดงว่าวันนี้แต่งหน้า แต่งตัวผ่าน


ใกล้เที่ยงนาย ที่ควงสาวหมวย กับ น้องอีกคนไปประชุมก็มาถึง ... เดินเข้าออฟฟิศมา นายทักเลย "โอ้โห วันนี้พร้อมไปนั่งเล่นเลยนะเนี่ย" ยิ้มหวานตอบนายกลับไป แล้วเตรียมยื่นหน้ารอรับสาวหมวยที่เดินตามมา พอหมวยก้าวเท้าเข้ามา หันมาเห็นหน้าเรา คำแรกที่ได้ยินคือ "ตอแหลลลลลล" ก่อนจะมีจิ๊จ๊ะ หือหา ตามมาอีกเป็นชุด แถมยังเข้าคู่กับน้องที่ไปด้วยกันอย่างดี จิกกัดสุดชีวิต ... ยิ้มรับ แล้วหันไปขำกับพี่ผู้ช่วย ว่าที่คิดไว้ไม่พลาด แสดงว่าวันนี้หน้าเด้งใช้ได้ ไม่งั้นหมวยไม่ออกอาการ


สาวๆ ในออฟฟิศที่เห็นเราแต่งหน้าเรียบร้อยแล้ว ก็แวะมาถามว่าเป็นยังไง เลยบอกว่าหมวยออกอาการชัดเจน อัพเลเวล จากแรด ไปตอแหลด้วย ... เป็นที่รู้กัน และเฮฮากันใหญ่


เมื่อสักครู่ คนดีมาถึง เลยยื่นหน้าที่แต่งพร้อมแล้วให้ดู คนดีบอกว่า "แรดที่สุด" ... ได้ยินแล้วรีบขอบคุณทันที อ๊ะ อ้า ติดเชื้อสาวหมวยไปอีกคนแล้ว ตอนนี้สาวๆ ในออฟฟิศชินกับคำชมแบบแปลกนี้ทุกคนแล้วค่ะ ถ้ามีคำชมแบบนี้แสดงว่า คนชมริษยา เลยต้องจิกกัดเหน็บแนมสักหน่อย


ป.ล. โปรแกรมปาร์ตี้วันนี้ ไป "นั่งเล่น" สาวๆ งัดเครื่องสำอางมาเริ่มเติมสวยแล้ว เดี๋ยวจะจับคนดีแต่งเพิ่มด้วย ... ใครที่อยากเห็นคนดีโดนจับกรีดตา ติดตามชมบล็อกหน้านะคะ จะถ่ายรูปเก็บไว้ค่ะ

23.9.51

เที่ยวที่ไหนดี???

บ่ายวันนี้มีประชุมออฟฟิศค่ะ ... เป็นการประชุมประจำทุกเดือน ที่จะมาสรุปงานที่ผ่านมา แผนงานของเดือนหน้า และเรื่องอื่นๆ ทั่วไป


นายเปิดประชุมด้วยเรื่องพนักงานใหม่ที่จะมาเริ่มทำงาน และลูกค้านิดๆ หน่อย ก่อนจะปิดท้ายด้วยเรื่องทริปพักผ่อนของออฟฟิศ ... ที่วางแผนไปเกาหลี ช่วงวันหยุดตุลา ตกลงต้องเลื่อนไปธันวา อย่างแน่นอน เพราะอยากได้เอเจนท์ทัวร์ที่ไว้ใจได้ว่าจะพาขบวนสาวๆ ในออฟฟิศผ่านตม.เกาหลี เข้าประเทศได้พร้อมหน้า ไม่มีใครโดนส่งกลับให้เดียวดาย และหงอยเหงา


หลังจากแจ้งว่าเลื่อนทริปเป็นที่แน่นอน นายก็พูดต่อว่า งั้นระหว่างนี้ก็หาทริปพักผ่อนในประเทศไปก่อนแล้วกัน ก็เอาช่วงวันหยุดที่ตั้งใจไว้ตอนแรกนั่นแหละ ... แล้วก็มอบหมายให้เรากับน้องอีกคนเป็นคนจัดการทริป นายบอกว่าขอไม่ไกล ไม่ต้องนั่งเครื่องบินไป ขอเดินทางง่ายๆ ไม่เหนื่อย ไม่ระบุโซนว่าที่ไหน ... เรื่องจัดการรายละเอียดเนี่ย ไม่ยากหรอก ว่าแต่จะไปเที่ยวที่ไหนดีหล่ะ


สาวๆ ที่หน้าเหี่ยวเพราะทริปเกาหลีเลื่อน ก็ฟื้นกลับมากระชุ่มกระชวยกันอีก ช่วยกันคิด ช่วยกันเสนอไอเดียว่าจะไปที่ไหนดี ... หัวหิน พัทยา ราชบุรี เขาเขียว ปราจีนบุรี วังน้ำเขียว อัมพวา ถูกเสนอชื่อขึ้นมา แต่ที่เด่นเด้ง คือ หัวหิน ... โอ๊ะ เพิ่งกลับจากหัวหิน จะได้ไปอีกแล้วเหรอ


เอ้า จะไปเที่ยวที่ไหนก็ไปทั้งนั้น จะไปหัวหินอีกก็ได้ จะพาสาวๆ ตระเวนชิมให้กระจุยเลย ... ว่าแต่มีเวลาไม่มาก เที่ยวใกล้ๆ สบายๆ จะไปที่ไหนดีน้อ ต้องกลับบ้านเปิดตำราซะหน่อยแล้ว

21.9.51

ทริปตะลุยสุพรรณ : วันที่ 2

ย้อนดู ทริปตะลุยสุพรรณ :วันที่ 1 ที่นี่ค่ะ


หลังจากนอนอิ่ม เย็นสบาย ก็ได้เวลาตื่นมารับอากาศยามเช้า ... ตื่นหน้าตางัวเงีย ล้างหน้าล้างตา ออกไปนั่งท่าจีนริเวอร์บาร์รออาหารเช้า ... ปิ้งขนมปัง ชงไมโล กินร้องท้องรอข้าวต้ม


ได้มื้อเช้าอุ่นสบายท้องแล้ว ก็ย้ายเข้าไปดูทีวีในห้องกันต่อ ... เราสองคนดูไป เผลองีบไป ส่วนน้องๆ อีก 3 คนออกไปเล่นน้ำที่สระ ... สักพักเราก็ตื่นมาจัดการอาบน้ำแต่งตัว น้องๆๆ ก็ทยอยกลับมาพอดี อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อเตรียมตัวเที่ยวกันต่อ


จุดหมายแรกอยู่ไม่ไกลที่พัก คือ บึงฉวากเฉลิมพระเกียรติ ค่ะ ... เป็นบึงน้ำธรรมชาติที่ใหญ่มากๆ บรรยากาศดี มีศาลาให้นั่งชมวิวรึมบึงอยู่เป็นระยะ แต่พวกเรามุ่งตรงเข้าไปที่ศูนย์แสดงพันธุ์สัวต์น้ำค่ะ


ไปเดินดูปลาหลากหลายชนิด ที่นำมาจัดแสดง ... เจอครอบครัว และคณะทัศนศึกษาของเด็กตัวเล็กๆ เพียบ เสียงเด็ก เสียงผู้ใหญ่ ดังลั่น ก็วุ่นวายดี ... แล้วก็เดินวนไปดูบ่อแสดงจระเข้อีกหน่อย แล้วก็ยกขบวนออก เพราะเริ่มหิว


สมาชิกหิวกันพร้อมหน้า เลยไม่ได้แวะดู สวนสัตว์ กับ อุทยานผักพื้นบ้าน ที่อยู่ภายในบึงฉวากเลย ... มุ่งหน้าตรงดิ่งไปหาอะไรหม่ำกันดีกว่า


จุดหมายอยู่ที่ ตลาดสามชุก เพราะน้องๆๆ ยังไม่เคยไป ... เราสองคนมาเดิน 2 รอบแล้ว เลยเฉยๆ ไม่ตื่นตาตื่นใจ ... พุ่งเป้าไปเฉพาะร้านที่เราสองคนเล็งเอาไว้


เริ่มจากร้านแรกคือ ร้านหรั่งสีโรจน์ จัดการข้าวห่อใบบัว กับ ก๋วยเตี๋ยวยำบก ให้อิ่มหนำสำราญก่อน แล้วก็แยกย้ายกันเดินซื้อขนม ของฝากติดมือ ... แต่พอผ่านไปบ้านโค้กก็ต้องหยุด เพราะสาวอึ๋มที่อยู่หน้าร้านดึงดูดใจเหลือเกิน ครั้งที่แล้วมาไม่เห็นเจอสาวคนนี้เลย ต้องเก็บภาพไว้สักหน่อย


แล้วพอเดินวนไปตามชอย ก็ไปเจอสะดุดตากับพนักงานต้อนรับเสื้อเขียวอีกแล้ว ... ใส่เสื้อคอกระเช้าสีเขียวสดใส นั่งนิ่งเรียบร้อยอยู่บนเก้าอี้หน้าร้าน รอรับลูกค้าที่เดินผ่านไปมา เลยต้องขอเก็บภาพคู่เป็นที่ระลึก ... หน้าตาบ๊องแบ๊วน่ารักขนาดนี้ จะอดใจเดินผ่านได้ยังไง


เดินสำรวจตลาดกันจนอิ่มแล้ว ... ก็มุ่งหน้าไปจุดหมายที่น้องขอมา สวนเฉลิมภัทรราชินี เพราะน้องอยากขึ้นหอคอยบรรหาร-แจ่มใส ค่ะ


ก่อนจะมาถึงก็คิดว่า คงจะมีแต่หอคอย แต่พอมาเจอจริงๆ ก็ทึ่ง เพราะด้านใน มีสวนสวยๆ มีน้ำพุ มีสวนน้ำ ... จ่ายค่าผ่านประตูและค่าขึ้นชมหอคอย คนละ 40 บาท แล้วก็เข้าไปสำรวจข้างใน


ขึ้นลิฟท์ไปชมวิวมุมสูงของเมืองสุพรรณฯ ที่ชั้น 4 ไปหยอดตังค์ดูกล้องส่องทางไกลสำรวจจุดต่างๆ ... เดินดูวิว เดินถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ก่อนจะทยอยลงมาดูชั้นล่างๆ ลงมา ... เดินกันเริ่มหมดแรงแล้ว ก็ชวนกันกลับ


ก่อนจะออกจากเมืองสุพรรณ ก็ต้องแวะซื้อขนมสาลี่สักหน่อย ตรงดิ่งเข้าร้านเอกชัย ได้ของฝากติดมือกันถ้วนหน้า ... มุ่งหน้ากลับเข้าเมืองกรุง


กลับมาวางแผนกันใหม่ ว่าทริปหน้าเราจะไปที่ไหนดี ... แต่ที่แน่ๆ ปีนี้คงได้กลับมาสุพรรณอีกแน่ๆ แต่จะรออากาศหนาวๆ เย็นๆ ฉ่ำๆ สักหน่อยดีกว่า

20.9.51

ทริปตะลุยสุพรรณ : วันที่ 1

คนดีชวนไปเที่ยวอีกแล้วค่ะ ... คนดีบอกว่า น้องที่ออฟฟิศ กับ น้องที่เคยทำงานที่นี่ ชวนไปเที่ยวสุพรรณ แล้วมาถามเราว่าจะไปด้วยกันมั้ย ตอนแรกคิดว่าจะไปกันกับที่ออฟฟิศเลยบอกว่าไม่ไป เพราะเพิ่งกลับมาจากหัวหิน อยากจะจัดการซักผ้า


แต่เมื่อ 3-4 วันก่อน คนดีมาถามย้ำอีกทีว่าไปด้วยกันรึเปล่า ... เกิดเปลี่ยนใจ ตอบว่าไปก็ได้ คนดีเลยงงๆ ปนสงสัย และดีใจเล็กๆ ที่เราไปด้วย ... ถามจำนวนผู้ร่วมเดินทางว่ามีกี่คน คำตอบคือ 5 คน คนดี เรา น้อง 2 คน กับ แฟนน้องอีก 1


รู้จำนวนคนแล้ว ก็อยากรู้ว่าพักที่ไหน จะไปเที่ยวไหนบ้าง ... คนดีตอบว่าไม่รู้เลย เพราะน้องคนที่ติดต่อที่พักไม่ได้บอกอะไรมาเลย บอกแค่ว่า "จะไปเลือกว่าอยากเที่ยวไหนบ้าง แล้วจะให้พี่ตั๊กนำทาง ส่วนพี่นกขับรถ" เออ ดีเนอะ แล้วจะนำทางยังไงดีเนี่ย ไม่รู้อะไรเลย


จัดกระเป๋าเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็หยิบหนังสือนายรอบรู้ จ.สุพรรณ ติดกระเป๋าไปด้วย ... คนดีหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นรถไปทำงานก่อน ส่วนเราออกจากบ้านตอนสายๆ ไปนั่งเคลียร์งานที่ออฟฟิศ ... เที่ยงนิดๆ สมาชิกก็ทยอยมาจนครบ ออกเดินทางได้


กองทัพต้องเดินด้วยท้อง หิวกันถ้วนหน้า เลยต้องหามื้อเที่ยงก่อน ... สรุปได้ความว่าจะไปลองชิมร้านบิ๊กบะหมี่ สเต็ก ตรงแถวรัตนาธิเบศร์ เพราะอยู่ในเส้นทางผ่านพอดี ... ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ เพราะหิวมาก แต่เท่าที่ลองชิมดู เกี๊ยวหมู กับ เกี๊ยวกุ้ง อร่อยดี เกี๊ยวตัวโตไส้แน่น


อิ่มแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ ได้แผนที่ไปที่พัก พร้อมกับจุดหมายที่น้องๆ สนใจอยากจะไปอยู่ในมือ ... คนดีขับรถมุ่งหน้าไปสุพรรณฯ ส่วนเราก็นั่งศึกษาข้อมูลและเส้นทาง จัดโปรแกรม


ดูจากเวลาแล้ว จุดหมายแรกของพวกเรา คือ หมู่บ้านอนุรักษ์ควายไทย หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า บ้านควาย ... อยู่ที่ อ.ศรีประจันต์ หาไม่ยาก มีป้ายบอกทางชัดเจน


จ่ายค่าบัตรผ่านประตูคนละ 20 บาท เข้าไปเดินชมหมู่บ้านไทย ที่มีเรือนไทยภาคกลางแบบต่างๆ ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนไม้ดอกไม้ประดับ ... อากาศกำลังสบาย


พอใกล้ๆ เวลา 16.00 น. ก็เดินไปที่ลานแสดง จ่ายค่าเข้าชมการแสดงอีกคนละ 20 บาท ... เริ่มต้นด้วยการแสดงร้องเพลงอีแซวของน้องๆ หนูๆ ที่มาแนะนำการละเล่นของเด็กไทยสมัยก่อน ... แล้วก็เข้าการแสดงความสามารถของน้องควายทั้งหลาย


แนะนำลักษณะของควายประเภทต่างๆ พญาควาย ควายเผือก ควายแคระ ตัวที่เป็นควายแคระนี่ น่ารักดีค่ะ ตัวเล็ก ฟันล่างยื่นเหยิน แต่ตาโตหวานเชียว ... ตามด้วยการแสดงทำตามคำสั่ง การสนตะพาย ... เจ้าหน้าที่บอกว่าควายกลัวความสูง แต่หัดให้เดินขึ้นบันไดโชว์ได้


แต่ที่ชอบใจ และถูกใจมากที่สุด คือ ควายยิ้ม ค่ะ ... น้องควายที่นี่ยิ้มได้จริงๆ ค่ะ ยิ้มยิงฟันเลยค่ะ ลองดูในรูปดีดีนะคะ ... ถ้าอยากเห็นว่าควายยิ้มน่ารักแค่ไหน ต้องไปพิสูจน์ที่บ้านควายค่ะ


ดูการแสดงจบ เดินสำรวจพื้นที่รอบๆ อีกสักนิด ก็ไปจุดหมายต่อไปค่ะ ... ตอนแรกกะจะแวะบึงฉวากก่อน แต่ดูเวลาแล้วคงไปไม่ทันดูโชว์อะไร เลยเปลี่ยนใจเข้าที่พักแล้วกัน


ใช้เวลาไม่นานก็เจอป้ายทางเข้าที่พักค่ะ แต่ป้ายน้อยไปนิดเลยเกือบหลง ดีที่แผนที่ทำทางเข้ายึกยักให้สังเกตได้ เลยกลับตัวทัน ... แป๊บเดียวก็ลุยทางผ่านวิวท้องนาเข้าไปเจอ ท่าจีนริเวอร์โฮม ที่พักของทริปนี้


เก็บกระเป๋าเข้าห้องเรียบร้อย เดินสำรวจรอบๆ ที่พักจนทั่ว ฟ้าก็เริ่มมืด ได้เวลาเติมพลังมื้อเย็นแล้ว แต่ในที่พักไม่มีบริการทำอาหารให้ เลยขอคำแนะนำจากคนพื้นที่ว่าควรจะฝากท้องที่ไหนดี ... ก็ได้ทางเลือก อาหารไทยสไตล์จีนนิดๆ ในตลาด กับ อาหารไทยและส้มตำ ที่ริมบึงฉวาก ... สมาชิกเบื่อส้มตำเพราะเพิ่งกินไปเมื่อวาน เลยมุ่งหน้าเข้าตลาดท่าช้าง


งมทางกันไปแบบไม่มีใครรู้พิกัดที่แน่ชัดของร้าน คนดีกับน้องที่ช่วยกันฟังก็จำไม่แม่น เราเองมัวแต่ถ่ายรูป เลยได้ยินข้อมูลเส้นทางแค่นิดเดียว ... เกือบหลงอีกแล้ว แต่หยุดจอดถามทาง อยู่ห่างจากร้านไม่เกิน 200 ม. กลับตัวทันพอดี



แล้วก็มาถึง เล็กเสี่ยวหงส์ ร้านที่คนแนะนำบอกว่า อาหารอร่อย แต่เจ้าของติดโม้นิดๆ ... หลังจากลองพิสูจน์ก็พบว่า ติดโม้จริงๆ แต่อาหารเค้าก็อร่อยสมกับที่พูด ... อร่อยทุกจาน กินแล้วติดใจทุกคน


อิ่มจากมื้อนี้ ก็ยกขบวนงมทางกลับ ... ที่ต้องบอกว่างมทางเพราะเป็นคืนเดือนมืด ฟ้ามืดตึ๊ดตื๋อ แล้วไม่มีไฟทางเลย ... สามัคคีช่วยกันเพ่งดูทาง และสังเกตป้ายทางเข้ากันทั้ง 10 ตา


ถึงห้องพักก็แยกย้ายกันอาบน้ำ แล้วไปเลือกดีวีดีมาดูด้วยกัน ... เปิดโรงหนังควบ ดู The shooter ต่อด้วย Taxi ดูจบ 2 เรื่อง ก็แยกย้ายกันเข้าสู่ภวังค์นิทรา

เล็กเสี่ยวหงส์ @ สุพรรณบุรี

ทุกครั้งก่อนออกเดินทางไปเที่ยวที่ไหน ก็จะลองหาข้อมูลของร้านอาหารในละแวกใกล้เคียงติดเอาไว้ด้วย จะได้ตามไปพิสูจน์ ตามไปชิม ... แต่ทริปนี้ ไม่มีโอกาสจะหาข้อมูล เพราะไม่รู้ว่าที่พักอยู่ตรงไหน รู้แต่ว่าจะไปสุพรรณ อำเภออะไรก็ไม่รู้ สงสัยจะต้องพึ่งข้อมูลจากนายรอบรู้ หนังสือนำเที่ยวคู่ใจ



ถึงที่พักตอนเย็นพอดี เก็บของสำรวจที่พักเรียบร้อย ก็มาข้อคำแนะนำเรื่องร้านอาหาร เพราะที่พักไม่มีห้องอาหารบริการ ... เลยให้ทางเลือกมา 2 ทาง คือ ร้านในตัวตลาดท่าช้าง กับ ร้านบริเวณริมบึงฉวาก




สมาชิกลงมติจะลองไปดูร้านในตัวตลาดท่าช้างก่อน เพราะเป็นอาหารไทยสไตล์จีนนิดๆ ... ลองสุ่มเสี่ยงไปตามเส้นทางที่ได้รับคำอธิบายมา เก็บได้กันคนละท่อน ก็ช่วยกันหาไป เกือบหลง เกือบเลย แต่ก็เจอจนได้


"เล็กเสี่ยวหงส์" ร้านอาหารไทยสไตล์จีน อยู่ติดริมแม่น้ำท่าจีน


ประตูทางเข้าดูเหมือนทางเข้าโรงสี หรือ โรงงาน แต่ด้านในมีบริเวณกว้าง มีพื้นที่จอดรถกว้าง ... ลงจากรถเจอบ้านไม้หลังเก่าแก่ริมแม่น้ำ

ศาลาไม้หลังเล็ก กับ ซุ้มไม้เลื้อย ให้เลือกนั่งได้


แต่อยากได้บรรยากาศริมน้ำ สมาชิกเลยลงมติไปนั่งริมระเบียง ... เรามัวแต่เดินถ่ายรูป คนดีก็ติดรับสายลูกค้า เดินตามเข้าไปทีหลัง น้องๆ เลยถือเมนูรอให้ช่วยตัดสินใจ


ไม่เคยมาเหมือนกัน คนที่แนะนำร้านก็ไม่ได้แนะนำเมนูอาหารมาด้วย ... งั้นก็ใช้สูตรเดิม อาศัยจากเมนูแนะนำแล้วกัน ... แล้วก็หันไปขอความเห็นจากทางร้าน เจอเจ้าของร้านพอดี บอกว่า "อร่อยทุกอย่าง ถ้าจานไหนไม่อร่อย ไม่สด ไม่คิดเงินทั้งโต๊ะ" ... โอ้โห รับประกันขนาดนี้ งั้นแนะนำมาเลยค่ะ เลือกได้หลายจาน เจ้าของร้านบอก "พอเถอะ เท่านี้กำลังดี"

ลูกชิ้นปลากรายลวกจิ้ม - จานนี้เด็ดสุดยอด ลูกชิ้นปลากรายหนึบหนับ แค่กัดคำแรก็รู้ว่าใช้ปลากลายเน้นๆ เต็มๆ คำ มีสาหร่ายวางเคียงมาให้ตักเข้าปากตามด้วย

ปอเปี๊ยะสวรรค์ - อ่านชื่อแล้วสงสัยว่าเนื้อในคืออะไร คำตอบคือเนื้อกุ้งปรุงรส ม้วนมาเป็นแท่งเล็กๆ กรอบๆ เคี้ยวเพลิน

หอยจ๊อ - เนื้อปูแน่นๆ เต็มคำ อร่อย


ไหลบัวน้ำมันหอย - เจ้าของร้านแนะนำมา ไม่มีใครเคยลองชิมไหลบัว แต่คนแนะนำการันตีว่าอร่อยเลยลองสั่ง แล้วก็ไม่ผิดหวัง เพราะกรอบๆ กรุบๆ อร่อยจริงๆ

ปลาแดงทอดกระเทียม - ตอนแรกจะสั่งปลาแรดทอดกระเทียม แต่ทางร้านแนะนำว่าได้ปลาแดงมาสดๆ อร่อยกว่า เอ้า เชื่อ แล้วก็อร่อยอีกแล้ว


ต้มยำปลาคัง - อยากจะสั่งต้มยำเห็ดโคน แต่ไม่ใช้ฤดูเลยไม่มี กะจะเปลี่ยนเป็นเห็ดฟางเพียวๆ เจ้าของร้านเลยบอกว่าใส่เนื้ออะไรสักหน่อยมั้ย สุดท้ายเลยลงตัวที่ปลาคัง เนื้อแน่น อร่อยเหมือนกัน


วุ้นเส้นผัดไทย - เมนูนี้เจ้าของร้านเสนอมา สมาชิกก็พยักหน้ารับตามคำแนะนำ วุ้นเส้นเหนียวหนึบ ผัดปรุงรสมาพอเหมาะ ไม่ต้องเติมอะไรอีกเลย อร่อยอีกแล้ว


ผลปรากฎว่า อร่อยทุกจานจริงๆ กวาดเกลี้ยงเกือบทุกจาน เลยอดกินฟรี ... สักพักเจ้าของร้านที่รับออเดอร์เอง แนะนำเมนูเอง และลงมือทำอาหารเอง เดินออกมาสำรวจลูกค้า ... ผ่านมาเห็นว่าเหลือกับข้าวอยู่ในจานนิดหน่อย คำ 2 คำ ก็ตัดพ้อนิดๆ ว่ากินไม่หมด เรา 5 คน เลยจัดการกวาดคำเกรงใจที่เหลือลงท้องให้เรียบ


อาหาร 7 อย่าง ข้าวเปล่า 1 โถ น้ำ 3 ขวด น้ำแข็ง 1 ค่าเสียหายอยู่ที่ 805 บาท ... โอ๊ะ อร่อย คุ้มค่าคุ้มราคาอีกแล้ว มีความสุขจัง
-พิกัดร้าน-
ร้านอยู่ในตลาดท่าช้าง ไม่ไกลกับที่ว่าการ อ.เดิมบางนางบวช ... สำหรับใครที่สนใจจะไป ไม่รู้จะอธิบายเส้นทางยังไงดี เพราะไปตอนค่ำ และก็หลงทางนิดหน่อย ... ต้องหาที่ว่าการอำเภอให้เจอก่อน แล้วลองถามคนแถวนั้นดู น่าจะแนะนำเส้นทางต่อได้ค่ะ
ป.ล. ภาพอาหาร ไม่แจ่ม ไม่ชัด เพราะถ่ายตอนค่ำแล้ว และไม่ได้ใช้แฟลชด้วย ... มีการปรับสีภาพให้ดขึ้นเล็กน้อย

ท่าจีนริเวอร์โฮม @ สุพรรณบุรี

ที่มาของทริปล่าสุดนี้เริ่มต้นจากที่พักค่ะ "ท่าจีนริเวอร์โฮม" ... เนื่องจากน้องที่เคยทำงานกับคนดีมาชวนคนดีไปเที่ยวสุพรรณ โดยมีข้อเสนอมาว่ามีที่พักแล้ว เป็นโฮมสเตย์เล็กๆ ของเพื่อนเค้าเอง ราคาไม่แพงมาก ... ทริปตะลุยสุพรรณเลยเกิดขึ้น


ไม่เคยเห็นที่พัก ไม่เคยเห็นรูปภาพ เพราะไม่รู้ว่าจะไปพักที่ไหน ชื่ออะไร ถามคนดีก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะน้องจัดการติดต่อให้ ... มารู้ก็ตอนขึ้นรถเตรียมออกเดินทางแล้ว มุ่งหน้าไปตามแผนที่


ไม่มีใครเคยไป แม้แต่น้องที่แนะนำมาก็ยังไม่เคยมา ... ชวนกันหาทางเข้าที่พักกันน่าดู เพราะมีป้ายบอก แต่จำนวนป้ายน้อยไปนิด และป้ายเล็กไปหน่อย ... แต่ก็หาทางจนเจอ เจอแล้วประทับใจมาก ที่พักน่ารักกว่าที่คาดไว้เยอะ


พื้นที่ไม่กว้างมากนัก มีบ้านพักสีสันสดใสอยู่ใกล้ๆ กัน ต้นไม้ร่มรื่นดี และอยู่ติดกับแม่น้ำท่าจีนเลย ... บรรยากาศดี อากาศดี


ได้บ้านพักชื่อ "บ้านอิงน้ำ" มี 2 ห้องนอนเปิดเชื่อมต่อกัน 2 ห้องน้ำ พร้อมระเบียงส่วนตัว ... ด้านนอกบ้านทาสีฟ้าสดใส มีบันไดโค้งเล็กๆ เดินขึ้นได้ 2 ทาง

เตียงในห้องพัก 1


มุมนั่งเล่น


เตียงในห้องพัก 2


ระเบียงนั่งเล่นส่วนตัว


ห้องน้ำในห้องพัก 2 มีเครื่องทำน้ำอุ่นพร้อม


ในห้องมี ทั้งแอร์ และพัดลม ทีวี พร้อมเครื่องเล่นดีวีดี ... น้ำดื่ม 2 ขวด พร้อมแก้วน้ำ ไม่มีตู้เย็น แต่ขอกระติกใส่น้ำแข็งจากบาร์ได้ เติมได้ตลอดด้วย ... มีผ้าเช็ดตัวเตรียมไว้ให้ พร้อมสบู่ และแชมพูขวดเล็กๆ


ท่าจีนริเวอร์บาร์ ... บาร์เล็กๆ ที่อยู่ติดริมน้ำ มีกาแฟ เบียร์ มิกซ์เซอร์ และ กามิกาเซ่ จำหน่าย ... แต่ไม่มีอาหารจานหลัก มีแต่อาหารว่างทานเล่น 4-5 รายการเท่านั้น


ติดกับบาร์เป็นมุมพักผ่อน นั่งเล่นสบายๆ ... มีเรือคายัค พร้อมเสื้อชูชีพให้บริการ


มุมหนังสือ


มุมดีวีดีให้เลือกยืมได้ตามชอบใจ


บ้านพักแต่ละหลังจะทาสีต่างกันไป แดง เหลือง ฟ้า ส้ม ชมพู เขียว ... มีสระน้ำระบบน้ำเกลือขนาดพอเหมาะด้วย ที่นี่ใจดี ให้ลูกค้าใส่กางเกงขาสั้น เสื้อยืดลงเล่นได้


อาหารเช้ารวมอยู่กับราคาห้องพักแล้ว ... เป็นมื้อง่ายๆ ขนมปังปิ้งเอง กาแฟ ไมโล ชงได้เอง แล้วมีข้าวต้มหมูร้อนๆ หอมๆ อร่อยๆ ให้ด้วย


แต่ที่น่ารักมากๆ คือ พนักงานต้อนรับพิเศษ ลาบาดอร์ตัวโตที่วิ่งมารับทันทีที่ลงจากรถ แล้วก็เดินตามไปมาอยู่พักใหญ่ๆ ... ตอนจะออกไปทานข้าวเจออีก 1 ราย แต่เป็นโกลเด้น น่ารักทั้งคู่ แต่เก็บภาพมาได้แค่ตัวเดียว


ติดใจที่พักที่นี่ เก็บเข้าลิสท์ไว้แล้ว ... กะว่าปลายปีนี้ อากาศเย็นๆ หนาวๆ หน่อย จะลองแวะกลับมาพักอีกสักรอบ ดูซิว่าจะบรรยากาศจะเป็นยังไง จะเย็นฉ่ำจับใจรึเปล่า

19.9.51

ร่องรอยที่ระลึก

เกือบ 2 ปีก่อนเคยตกฟุตบาธเท้าพลิกจนเดินเดี้ยงไปหลายเดือน พอหายดีก็ระวังตัวเองเวลาขึ้น-ลงบันได เพราะรู้สึกว่าสักวันคงจะต้องตกบันไดที่ไหนแน่ๆ ... หลังจากนั้นก็มีคำเตือนจากพี่หมอดูให้ระวังบันได ระวังเข่า ข้อเท้า พอได้ยินก็ยิ่งระมัดระวังเวลาเดินขึ้น-ลงบันไดมากขึ้น เตือนตัวเองอยู่ตลอด


แต่แล้วก็พลาดจนได้ ...


วันแรกของการเดินทางไปหัวหิน แวะไปไหว้พระ ตอนคนดีจอดรถก็มองเห็นแม่ชีเช็ดพื้นอยู่ตรงประตูโบสถ์ ก็คิดว่าท่านคงมาเช็ดละอองน้ำฝน ... เก็บข้าวเก็บของเรียบร้อยก็จูงกันเดินขึ้นบันไดปูนไปโบสถ์


ถอดรองเท้า ก้าวเท้าขึ้นบันได 2-3 ขั้น ก้าวเท้าข้ามธรณีประตูที่นูนขึ้นมา ก้มมองเห็นว่ามีช่วงธรณีประตูที่เป็นพื้นไม้อยู่ราวๆ คืบ ... เลยคิดว่าไหนๆ ก็ก้าวแล้ว ขาก็ยาวพอ งั้นก็ก้าวข้ามให้พ้นไปเลยแล้วกัน


พอวางเท้าซ้ายแตะลงบันไดที่เป็นหินขัด ก็ใจหายวาบ ... พอปลายนิ้วแตะปุ๊บ เท้าก็ไถลทันที เท้าซ้ายไถลลื่นยืดเหยียดยาวลงบันได 2 ขั้นไปทันที ... พอเท้าซ้ายไถล เท้าขวาก็ยวบย่อ เสียหลัก ทรุดลง แล้วก็เซไปหาคนดีที่ยืนอยู่ทางขวา ที่พยายามจะช่วยดึงแต่ก็เอาไม่อยู่


เราคนลื่นก็อุทาน "ตายแล้ว ตายแล้ว" คนดีที่พยายามช่วยก็อุทาน "เฮ้ย ไฮ้" หลวงพี่ที่จัดเตรียมของในตู้ที่อยู่ด้านในโบสถ์ก็ร้อง "คุณโยม คุณโยม" ประสานเสียงกันเอิกเกริก ... โชคดีที่ใส่กระโปรงยาวบาน เลยไม่โป๊


พอตั้งตัว ตั้งสติ ยืนได้แบบไม่บุบสลาย หลวงพี่ก็ถามว่าเจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่า ไม่เจ็บ ไม่ขัดยอก กวาดตาดูก็ไม่มีแผล ไม่ถลอก ... หลวงพี่เดินมาดู และบอกให้เดินระวัง เพราะแม่ชีเพิ่งถูพื้น บิดผ้าไม่หมาดพอพื้นเปียกแถมพื้นสีเข้มเลยมองไม่เห็นว่าเปียก ... ที่เห็นแม่ชีแล้วคิดว่าท่านมาเช็ดละอองฝน เป็นอันผิด เพราะท่านเพิ่งถูพื้นเสร็จเลย


พอแม่ชีกลับมาถูพื้นต่อ หลวงพี่ก็เอ็ดนิดหน่อยว่าเตือนแล้วให้บิดผ้าให้หมาด เพราะเราลื่นไถลพรืดไปเมื่อตะกี้ ... ท่านก็มาถามว่าเป็นอะไรรึเปล่า แล้วพอถูพื้นเสร็จก็เปิดพัดลมตัวใหญ่ช่วยเป่าให้พื้นแห้งเร็วขึ้น ... เข้าใจว่า ท่านเพิ่งถูพื้นเสร็จหมาดๆ เรามาถึงค่อนข้างเร็ว พื้นเลยยังไม่ทันแห้ง เลยลื่นไถลให้ตื่นเต้นกันสักหน่อย


ไหว้พระ ถวายสังฆทานเรียบร้อย นั่งรถเตรียมไปจุดหมายต่อไป ก็รู้สึกเจ็บๆ เข่า เลยเปิดกระโปรงดู ... โอ๊ะ ผิวแดงๆ เขียวๆ ช้ำหน่อยๆ ที่ลื่นพรืดเมื่อกี้ ได้ร่องรอยที่ระลึกกลับมาด้วยเหรอ



วันรุ่งขึ้นจากแดงๆ เขียวๆ ก็เป็นอมม่วงอมแดงอมเขียว ... จนกลับมาถึงกรุงเทพฯ ก็ยังมีร่องรอยหลงอยู่นิดหน่อย


แต่ที่เพิ่มมาจากเข่าคือ หลังเท้าไล่ขึ้นมาจนถึงหน้าแข้งที่เจ็บเพิ่มขึ้น ตอนแรกไม่เจ็บ ... มาเริ่มเจ็บนิดๆ ตอนที่อาบน้ำ และรู้ที่มาของอาการเจ็บตอนทาโลชั่น เพราะลูบไปแล้ว แปล๊บๆ นิดๆ ... เลยได้สำรวจจริงจัง ว่ามีร่องรอยจากการลื่นเพิ่มมาอีก


วันแรกก็เห็นไม่ชัด แดงๆ นิดหน่อย ... แต่พอกลับมาถึงกรุงเทพฯ ถึงได้เห็นว่า ร่องรอยที่ได้มานั้น สีสวยไม่เบา เสาร์นี้ก็ครบ 1 สัปดาห์พอดี สีของร่องรอยที่ระลึกก็ยังสวยงามอยู่


เอาไปโชว์สาวๆ ที่ออฟฟิศ พร้อมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีแต่คนขำ ... เล่าไปก็ขำตัวเองเหมือนกัน ว่าทำพระสงฆ์ตกอกตกใจแต่เช้า ดีนะยังแค่ช้ำ ไม่หัก ไม่ร้าว ไม่งั้นคงมีวีรกรรมระหว่างทริปให้จำไม่รู้ลืม

15.9.51

15-9-51

วันที่ 15 เดือน 9 อายุความรักของเราสองคนเพิ่มขึ้นอีก 1 เดือน ... เดือนนี้อายุความรักของเราก็ 78 เดือนแล้ว ถ้านับเป็นปีก็ 6 ปี 6 เดือน ... เดือนนี้เลยมีกิจกรรมพิเศษกว่าเดือนอื่นๆ


เลยถือโอกาสจัดทริป เที่ยว พักผ่อนซะเลย ... วางแผนล่วงหน้าหลายเดือน โดยอาศัย voucher ที่ซื้อจากงานไทยเที่ยวไทยให้เป็นประโยชน์ ... บอกวันเวลากับคนดีไว้ให้ทำตัวให้ว่าง มีทริปจะไปเที่ยว ส่วนรายละเอียดอื่นๆ แอบจัดการเองทั้งหมด


นอนอิ่ม กินอร่อย หัวหิน-ปราณ วันที่1

นอนอิ่ม กินอร่อย หัวหิน-ปราณ วันที่2

นอนอิ่ม กินอร่อย หัวหิน-ปราณ วันที่3


ตั้งใจให้เป็นทริปพักผ่อน ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันเต็มที่ ... แล้วแอบจัดโปรแกรมสปาให้ไว้เป็นพิเศษเป็นของขวัญของเดือนที่พิเศษ ถึงแม้จะรู้ว่าคนดีเขินอายกับการนวดน้ำมันอโรมา แต่เธอราปิสต์ที่เอวาซอนฝีมือดีเยี่ยมจะปล่อยให้พลาดไปได้ยังไง


กินอิ่มตลอด 3 วัน แบบยังไม่ทันรู้สึกหิวก็มีอาหารเติมลงท้องอีกแล้ว ได้พักผ่อนนอนหลับเต็มอิ่ม ... เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจไว้ ... คนดีเว้นวรรคพักจากเรื่องยุ่งๆ เครียดๆ จากการลาออกจากงาน และเตรียมตัวเริ่มต้นทางเดินใหม่ ได้ชั่วครู่ เท่านี้ก็ดีใจแล้ว


ตื่นลืมตาขึ้นมาตอนเช้า กลิ้งไปปลุกคนดี พอคนดีตื่นลืมตาตั้งสติได้สักพักก็หันมา "Happy Anniversary" ... อืม รอบนี้คนดีจำได้ และชิงพูดได้ก่อน ขอบคุณนะคะ


อยู่ข้างๆ กัน จูงมือกันมา 78 เดือนแล้ว ... เดือนหน้าทางเดินชีวิตของคนดีคงจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็จะจับจูงกันเดินต่อไปเรื่อยๆ นะคะ


- รักคนดีที่สุดค่ะ -

นอนอิ่ม กินอร่อย หัวหิน-ปราณ : วันที่ 3

นอนอิ่ม กินอร่อย วันที่2

หลังจากนอนอิ่มมากกว่า 8 ชั่วโมงเป็นคืนที่ 2 ... เช้าตื่นมา ล้างหน้าแปรงฟัน พอหายมัวขี้ตา ก็ได้เวลาเติมพลังอีกแล้ว ... เป็นทริปพักผ่อน กิน นอน จริงๆ


บุฟเฟ่ต์อาหารเช้าที่เอวาซอน อลังการ ละลานตาเหมือนเคย ... เราสองคนแยกกันเดินทางใครทางมันตามความชอบของแต่ละคน ... คนดีเพลินเพลินกับอาหารที่มีให้เลือกหลากหลายชนิด ไส้กรอกก็อร่อย เบคอนก็ดี มันฝรั่งก็ใช้ได้ แล้วยังก๋วยเตี๋ยว ซุปมิโซะ ซีเรียล น้ำผลไม้ เพลินที่สุด


ค่อยๆ เล็ม ค่อยๆ ชิมจานต่างๆ แบบสบายๆ เพราะฝนลงพรำๆ ... โปรแกรมที่จะลงไปคอยคอแช่น้ำในสระสักพักเลยต้องพับไปซะ ปักหลักนั่งอยู่ในห้องอาหารนี่แหละ พอฝนซาก็ชวนกันกลับห้อง เตรียมตัวเก็บกระเป๋ากลับบ้าน ... ทำไมเวลาวันพักผ่อนสบายๆ แบบนี้ถึงเดินผ่านไปเร็วจัง


อำลาจากเอวาซอน ย้อนกลับเข้าหัวหิน ... ระหว่างทางแวะ ร้านแม่เก็บ ร้านขนมหวานชื่อดังประจำหัวหิน เพราะหม่ามี้สั่งซื้อเม็ดขนุนเผือก ... ผ่านร้านนี้หลายทีแต่ไม่เคยแวะ เพราะไม่นิยมทานขนมหวานอื่นๆ นอกจากทองหยิบ แล้วก็เจอทองหยิบร้านโปรดแล้ว เลยเมินร้านอื่นๆ ซะ ... เลยต้องเล็งหาร้านอย่างตั้งใจ จนเจอจุดสังเกต เพราะร้านอยู่ปากซอย หัวหิน 94 เยื้องกับคอนโดเชน


ซื้อของฝากหม่ามี้แล้ว ก็ต้องหาของฝากให้พ่อด้วย ... เดินเข้าตลาดฉัตรไชย หาหอยเสียบไปฝาก เพราะหาทะเลที่อื่นไม่ค่อยเจอ ต้องมาหาที่หัวหินนี่แหละ


ได้ของฝากครบถ้วน ก็ได้เวลาเติมพลังมื้อเที่ยงต่อ ... มื้อนี้ยังยึดวัตถุประสงค์เดิม คือ จานเดียว ทานง่ายๆ และเป็นร้านที่ไม่เคยลอง ... ก็ได้ ข้าวมันไก่ ร้านลมหวล


นอกจากข้าวมันไก่คนละจานแล้ว ก็ได้ ซุปไก่ตุ๋นฟักมะนาวดอง ... กินอิ่มๆ กำลังสบายๆ แต่คนดีก็บ่นว่าท้องตึง พุงเต่ง


อิ่มจากของคาวแล้ว เรายังร่ำร้องหาของหวาน ... ลังเลระหว่างเค้กบ้านใกล้วัง กับ ไอติมร้าน eighteen below ... สุดท้ายก็เลือกไอติม เพราะคาดว่าวันธรรมดา คนคงไม่เยอะเหมือนเมื่อวันเสาร์


ไปถึงร้านก็ถูกใจ เพราะไม่มีลูกค้าคนอื่นๆ เลย มีแค่เราสองคน เลือกนั่งได้ตามชอบใจ ... นั่งคุยเพลินๆ ช่วยกันเล็มไอติมที่สั่งมาชิมจนเรียบ ถ่ายรูปเล่นอีกนิดหน่อย ก็มุ่งหน้ากลับ


ขากลับยิงยาว ไม่มีจุดหมายระหว่างทางเลย ... แวะซื้อมะนาวข้างทาง แวะซื้อของฝากที่ร้านนันทวัน แล้วก็ตรงดิ่งเข้ากรุงเทพฯ


แล้วทริปพักผ่อนสบายๆ ก็หมดเวลาแล้ว กลับเข้าสู่โลกแห่งการทำงานเหมือนเดิม ... ไม่เป็นไร เดือนหน้าก็มีทริปพักผ่อนรออยู่อีก 1 ทริป อดใจอีกนิดเท่านั้น

14.9.51

นอนอิ่ม กินอร่อย หัวหิน-ปราณ : วันที่ 2

นอนอิ่ม กินอร่อย วันที่1

หลังจากนอนอิ่มเต็มที่มากกว่า 8 ชั่วโมง ก็ได้เวลาตื่น และเตรียมตัวสำหรับอาหารมื้อเช้าที่เลือกสั่งล่วงหน้าไว้แล้ว ... ห้องอาหารที่นี่อยู่บนชั้น 4 ขึ้นไปชมวิวสักพัก อาหารก็มาเสิร์ฟ


คนดีเลือก American Breakfast ส่วนเราเลือก Egg Benedict เมนูขึ้นชื่อของที่นี่ ... ทั้งสองเซ็ทเสิร์ฟพร้อม ชา น้ำผลไม้ นมสด ขนมปัง-มัฟฟินช็อคโกแลต ... อร่อยทั้งนั้น จัดการกันเรียบ

ท้องอิ่มเรียบร้อยก็ลงมานอนเอกเขนกดูรายการทีวีที่พลาดไปช่วงกลางสัปดาห์กันต่อ ... แล้วก็ได้เวลาอาบน้ำ แต่งตัว เช็คเอาท์ อำลาที่พักที่แรก เตรียมตัวไปที่พักต่อไป


แต่ก่อนจะเข้าที่พัก ก็ต้องแวะหามื้อเที่ยงก่อน ... วัตถุประสงค์คือ เลือกร้านที่ไม่อลังการ และเป็นร้านที่ไม่เคยไป สรุปได้ที่ร้านกรรณิการ์

อาหารภายในร้าน ทำจากเนื้อไก่เท่านั้น ... เมนูขึ้นชื่อ คือ ไก่ทอดโกศล กับ ปีกไก่ยัดไส้ เลยไม่พลาดที่จะลอง ตามด้วย ขนมจีนน้ำยาไก่ กับ ลาบ ... กินเพลินๆ สบายๆ ไม่อิ่มจนเกินไป เหลือไก่ทอดอีกชิ้น หยิบใส่ถุงเผื่อไว้เป็นมื้อเย็น


เติมพลังแล้ว ก็ได้เวลามุ่งหน้าไปปากน้ำปราณ ... ที่พักของคืนนี้ คือ เอวาซอน หัวหิน ใช้ voucher จากงานไทยเที่ยวไทยอีกเช่นเคย


ตอนเช็คอิน พนักงานมีข้อเสนออัพเกรดห้องมาให้เลือก ... เลยเลือกห้องแบบ Romantic Beachfront เพราะยังไม่เคยพักห้องประเภทนี้ เข้าไปถึงห้องแล้วก็ไม่ผิดหวัง


อลหม่านถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานตามเคย ... แล้วก็ถือโอกาสพักพุง รอเวลาที่จะเติมอาหารเพิ่มเข้าไปอีกแล้ว เพราะ voucher ที่ซื้อมา มี afternoon tea ให้ด้วย

จูงมือกันเดินไปที่ the bar ไปเลือกของว่าง และเครื่องดื่มสำหรับรอบบ่าย ... มีทางเลือกระหว่างขนมไทย กับ ขนมฝรั่ง เลยเลือกขนมฝรั่ง เพราะกลัวว่าจะทำขนมไทยแบบถูกปากชาวต่างชาติ ... แซนด์วิชหลากไส้ คุกกี้ สโคน และ ทาร์ทผลไม้ ที่มาเสริฟ์ ทำเอาอิ่มตื้อหนักไปกว่าเดิม


อิ่มขนาดหนัก ถ้านั่งเฉยๆ คนดีคงหลับ เลยชวนคนดีย่อยด้วยการไปลอยคอในสระว่ายน้ำ ... มีแขกใช้บริการเต็มสระ เลยต้องเอาภาพสระว่างๆ ตอนเช้ามาลงแทน ... ส่วนภาพคนดีที่ร่าเริงกับการเตรียมลงสระ ยินยอมให้เก็บภาพมา แต่ยังไม่ได้ขออนุญาตก่อนจะเอามาลง


ลอยคอเพลินๆ สบายๆ ราวๆ ชั่วโมงนึง ก็ขึ้นจากสระอาบน้ำสระผมล้างตัว ... เตรียมตัวสำหรับกิจกรรมต่อไป นั่นคือ สปา ... จัดโปรแกรมนวดแบบ Holistic ไว้ให้คนดีและตัวเอง เป็นเรื่องพิเศษสำหรับวันครบรอบเดือนนี้


ไปล่วงหน้าเวลานัดประมาณ 30 นาที เพราะตั้งใจไปใช้บริการ เซาน่า กับ สตีม ... คนดีตื่นเต้น ปนเขิน ปนงง ว่าจะจัดการกับตัวเองยังไงดี โชคดีที่มีกันอยู่แค่ 2 คน ไม่มีแขกคนอื่น เลยยึดห้องเปลี่ยนเสื้อ ห้องเซาน่า ห้องสตีมได้เต็มที่ ... แล้วก็นั่งรอเวลา รอพนักงานมาพาไปห้องนวด


นวดน้ำมัน 50 นาที สบ๊าย สบาย เพลินสุดๆ จนอยากจะให้เวลายืดยาวเนิ่นนานออกไปเรื่อยๆ ... สุดท้ายก็ต้องจำลาจากสปาที่แสนสบายกลับเข้าห้องพักตอนเกือบสองทุ่ม


ถึงห้องแล้วก็ชวนกันหม่ำ ทั้งที่ยังไม่หิวเท่าไหร่ ... ตอนแรกตั้งใจจะสั่งซีซาร์สลัดมาหม่ำที่ห้อง แต่เพราะยังไม่รู้สึกหิว เลยจัดให้คนดีได้หม่ำบะหมี่กึ่งที่ชอบ กับ ไก่ทอดที่เหลือจากมื้อกลางวัน แถมด้วยหอยลายกระป๋อง ส่วนเราจัดการหมูฝอย ... จัดการหมดก็ช่วยกันเลือกว่าจะขอยืมวีซีดีเรื่องอะไรมาดูดี


แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการง่วงงุน แต่พร้อมที่จะหลับปุ๋ย ... ปีนขึ้นเตียงนุ่มๆ หมอนนุ่มๆ แล้วซุกตัวให้ผ้าห่ม หลับผล็อยไปตอนยังไม่ห้าทุ่มอีกตามเคย


นอนอิ่ม กินอร่อย วันที่3

กรรณิการ์ @ หัวหิน

ทริปหัวหินครั้งนี้ คุยกันไว้ว่าจะลองหาร้านอาหารใหม่ๆ ที่ไม่เคยชิม เป็นอาหารทานง่ายๆ ไม่อลังการ ... จะได้ไม่อิ่มแน่นจนเกินไป เพราะมีโปรแกรมของหวานแทรกอยู่ด้วย ... เลยต้องทำการหาข้อมูลร้านอาหารในหัวหินเพิ่ม


แล้วก็ได้เจอข้อมูลร้านกรรณิการ์ ที่สะดุดตา โดนใจก็ตรงเมนู ขนมจีนน้ำยาไก่ เพราะคนดีน่าจะชอบ ... พอเอามาเล่าให้ฟังคนดีก็สนใจ จับใส่ลิสท์รายการร้านอาหารประจำทริปทันที แต่ต้องลุ้นว่าร้านจะเปิดมั้ย ถ้าไม่เปิดจะไปร้านไหนแทนดี


เช็คเอาท์ออกจากที่พัก แล้วเลาะเลียบริมทางรถไฟไปเรื่อยๆ ก็เจอป้ายร้านที่ตามหา ... รั้วต้นไม้เขียวๆ กับประตูทางเข้าไม้ สะดุดตา


ทางเข้าอาจจะดูเล็กแคบ แต่พื้นที่ด้านในร้านกว้างขวาง มีโต๊ะให้เลือกนั่งหลายแบบ ตามจำนวนคนที่มา ... มีต้นไม้ต้นโตๆ มีบ่อน้ำเล็กๆ ร้านดูร่มรื่น


ได้โต๊ะนั่งเรียบร้อย ก็เปิดดูเมนูด้านใน ... เอกลักษณ์ของร้านนี้คือ อาหารทุกอย่างทำจากไก่ เมนูมีรูปภาพประกอบ มีราคาชัดเจน


เมนูสารพัดไก่มีให้เลือกพอสมควร ... แต่เพื่อความมั่นใจก็ต้องเลือกจากเมนูแนะนำ "ไก่ทอดโกศล" กับ "ปีกไก่ยัดไส้" ... เป็นสองเมนูที่ลงตัวสำหรับเราสองคน เพราะเราชอบกินเนื้อส่วนอก ส่วนคนดีชอบกินส่วนปีก


นั่งคุย นั่งรอสักพัก อาหารทั้งหมดที่สั่งไปก็ถูกยกมาเสิร์ฟพร้อมกัน ... นั่งสังเกตดูว่าอาหารของโต๊ะอื่นๆ ก็จะยกมาเสิร์ฟพร้อมเซ็ทแบบนี้เหมือนกัน


ไก่ทอดโกศล 2 ชิ้น กับ ปีกไก่ยัดไส้ 1 ชิ้น เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้ม 2 แบบ ... น้ำจิ้มบ๊วยหวานเจี๊ยบ น่าจะเหมาะกับเด็กๆ ส่วนน้ำจิ้มอีกแบบ จะเรียกแจ่วก็ไม่เชิง เพราะรสหวานนำ อมเปรี้ยวนิดๆ ... น้ำจิ้มยังไม่แจ่มจี๊ดโดนใจเท่าไหร่


ไก่ทอดโกศล หนังกรอบ เนื้อนุ่มแน่น ... ปีกไก่ยัดไส้ชิ้นอวบหนา ลองตัดมาชิมสักคำก็เจอ เนื้อไก่สับกับวุ้นเส้นที่ซ่อนอยู่ข้างใน


ขนมจีนน้ำยาไก่ มาพร้อมกับผักเคียง ... เมนูนี้เลือกสั่งได้ตามจำนวนคน มากัน 2 คน แต่สั่งชุดเล็กสำหรับคนเดียว เพราะไม่งั้นจะเยอะเกินไป ได้อร่อย อิ่มสบายๆ


ลาบไก่ ... หน้าตาดูดี แต่รสชาดไม่ชัดเจน ไม่จัดจ้าน แต่ก็ไม่จืดชืด รสชาดนวลๆ กลางๆ แต่ก็ไม่เลวร้าย เล็มไปได้เรื่อยๆ


ไก่ทอด 3 ชิ้น ขนมจีนน้ำยาไก่ชุดเล็ก ลาบไก่ ข้าวเหนียว น้ำแข็ง น้ำเปล่า 1 ขวด ค่าเสียหาย 272 บาท ... อิ่มกำลังสบาย ในราคาที่รับได้


-พิกัดร้าน-
ตั้งต้นจากสถานีรถไฟหัวหินค่ะ หันหน้าเข้าสถานีรถไฟ แล้วเลี้ยวซ้ายเลียบทางรถไฟไปเรื่อยๆ ร้านอยู่ทางฝั่งซ้าย จะมีรั้วต้นไม้เป็นแนว อาจจะมองหาป้ายร้านลำบากนิดนึงเพราะต้นไม้บัง เยื้องกับร้านเป็นร้านขายปลาค่ะ ... จอดรถริมรั้วข้างร้านได้เลยค่ะ ที่จอดริมรั้วร้านมีไม่มากนัก อาจจะต้องหาที่เลยไป หรือ ก่อนจะถึงร้านค่ะ