30.4.54

Japanese Class #5

เว้นวรรคไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่น ติดสงกรานต์ ติดธุระ เลยเลื่อนคลาสมาร่วม 3 สัปดาห์ ... ความรู้ที่มีอยู่น้อยนิด ไม่แน่ใจว่าคงที่ หรือ ถดถอยน้อยลง


จริงๆ ช่วงเว้นวรรคไม่ได้เรียน ก็พกสมุดโน้ตที่จดศัพท์ติดตัวไปไหนมาไหนด้วย หยิบขึ้นมาท่องศัพท์ มาจำตัวอักษร อยู่เรื่อยๆ ... แต่ผลที่ได้ ไม่แน่ใจว่า ได้ศัพท์ติดตัวเพิ่มขึ้น จำตัวอักษรได้มากขึ้้นรึเปล่า ... เพราะเหมือนได้หน้าลืมหลัง จำตัวใหม่ๆ ได้ ก็ลืมตัวเก่าๆ


เข้าเรียนคลาสนี้ด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ว่า sensei จะมีทดสอบรึเปล่า ... แล้วก็โล่งอก เพราะ sensei เปิดหนังสือสอนอักษรตัวท้ายๆ ที่เหลืออยู่ ตัวโอ๊ะ ตัวอึ้น ... แล้วก็เพิ่มเครื่องหมายพิเศษ tenten กับ maru มาให้กลุ้มใจอีก


เพราะเครื่องหมาย 2 ตัวนี้ ทำให้ตัวอักษรจาก 4 วรรคที่เรียนมา ออกเสียงต่างไปจากเดิม ... จะว่าง่ายก็ง่าย เพราะ เครื่องหมายทั้ง 2 ตัว เขียนเติมเข้าไปที่อักษรเดิม เขียนไม่ยาก ... แต่จะว่ายากก็ยาก เพราะการออกเสียงที่ต่างไป ทำให้ต้องจำมากขึ้น


ตัวอักษรเดิมที่เรียนผ่านมาแล้ว ก็ยังจำไม่แม่นสักที ... มาเจอเครื่องหมายพิเศษให้ออกเสียงใหม่ได้อีก ทำเอา ระบบความจำสับสน


คลาสนี้ได้คำศัพท์เพิ่มมา 5 คำ ... ส่วนเวลาที่เหลือ sensei เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นบางช่วงให้ได้ฟังกันเพลินๆ


จบคลาสแบบสบายๆ ไม่เครียด เพราะ sensei ยังไม่แจ้งว่าจะมีทดสอบ ... แต่ก็มึนกับความรู้ที่ได้เพิ่มเข้ามา ต้องกลับมาท่องจำบ่อยๆ ท่องมากๆ น่าจะช่วยได้

ลัดดาแลนด์

ปกติไม่ใช่คนชอบหนังแนวสยองขวัญสั่นประสาทเลย เลือกดูบางเรื่องเท่านั้น เพราะหนังแนวนี้จัดเป็นหนังฉ่าง (ภาษาส่วนตัวไว้เรียกหนังที่มีจังหวะของเสียงมาทำให้ผวา) ... แต่พอเห็นโปสเตอร์หนังเรื่องนี้ ก็ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องดู ต้องดูให้ได้


เหตุผลเดียวที่ตัดสินใจดูหนังเรื่องนี้ คือ พี่ก้อง สหรัถ สังคปรีชา นักร้องขวัญใจของเรา ... ก็พี่ก้องไม่ได้เล่นหนังบ่อยๆ นี่คะ พอรับเล่นแล้วก็ต้องดูสักหน่อย แม้จะเป็นหนังแนวที่ไม่ชอบเล้ยยยยย ก็ตาม


ตั้งใจว่าจะต้องดูให้ได้ แต่ให้ดูรอบค่ำๆ หลังเลิกงานคงไม่ไหว เกิดหลอนติดพันจะลำบาก ... เพราะฉะนั้น ต้องรอบสายๆ บ่ายๆ เท่านั้น งั้นก็ต้องดูวันเสาร์-อาทิตย์นี่แหละ


นัดคิวกับคนดี และบอกความต้องการชัดเจนแล้วว่าต้องดูให้ได้ ... คนดีเองก็จัดคิวไว้ให้เรียบร้อย แต่เพราะติดพันกับงานนุงนังเหลือเกิน สุดท้ายเลยต้องปล่อยให้เราไปดูหนังหลอนๆ เพียงลำพัง เพราะรู้ว่าถ้าเราไม่ได้ดู อาจะมีองค์ลง ปรี๊ดปร๊าดให้ปวดหัวได้


เอาหล่ะซิ ... อยากดูจัด จนต้องดูคนเดียว แล้วช่วงตื่นเต้นตระหนกตกใจ จะไปเกาะใครดีหล่ะเนี่ย ... เอ้า เกาะตัวเองไว้ก็ได้ พร้อมแล้วก็ ลุย






เรื่องย่อ


บ้าน ปัจจัยสี่ในฝันที่ทุกคนอยากเป็นเจ้าของ ธีร์ ก็เช่นกัน เขาก็เหมือนหนุ่มสาวอีกนับแสนนับล้านคนในกรุงเทพฯ ที่ไม่มีปัญญาซื้อบ้าน ลำพังเงินเดือนพนักงานออฟฟิศธรรมดาๆ ของธีร์ การเก็บหอมรอมริบหาเงินมาดาวน์บ้านเป็นภาระสาหัสเกินไป ทุกวันนี้ธีร์เช่าอพาร์ทเมนท์ ซึ่งเป็นปมด้อยที่ทำให้เขารู้สึกผิดต่อทุกคนในครอบครัว ... ป่าน ภรรยาที่แม่ยายพร่ำกรอกหูอยู่ตลอดเวลาว่าเขากระจอกเกินไปสำหรับเธอ ... แนน ลูกสาววัยรุ่นที่ธีร์ไม่เคยได้อยู่ร่วมชายคาเพราะส่งไปให้แม่ยายช่วยเลี้ยงดู ... นัท ลูกชายวัย 5 ขวบ ที่ยังเดียงสาพอจะเห็นพ่ออย่างเขาเป็นฮีโร่


ในวัยย่าง 40 ธีร์คิดว่าตัวเองคงเป็นสามี เป็นพ่อ เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ไม่เอาไหน หากไม่สามารถมีบ้านสักหลังไว้เป็นหลักประกันความสุขของ "ครอบครัว" โอกาสมาถึงเมื่อธีร์ได้รับข้อเสนอเป็นตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายการตลาดที่บริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ... ด้วยเงินเดือนที่มากขึ้น และค่าที่ดินที่ถูกลง บ้านเดี่ยวหลังใหญ่แบบในหนังโฆษณาก็ไม่ใช่ฝันที่เกินเอื้อมอีกต่อไป ธีร์ตัดสินใจทิ้งชีวิตเก่าเพื่อไปตั้งรกรากในบ้านที่เขาเฟ้นแล้วเฟ้นอีกว่าดีที่สุด โดยไม่ฟังคำทัดทานของทั้งเมียและลูก ธีร์เชื่อว่าครอบครัวของเขาจะมีความสุขมากกว่าที่ หมู่บ้านลัดดาแลนด์


บนโต๊ะอาหารในบ้านหลังใหม่ที่อบอวลไปได้ความอบอุ่น ธีร์ยิ้มอย่างภาคภูมิที่ในที่สุดครอบครัวของเขาก็ได้มาอยู่กันพร้อมหน้า ... โดยไม่รู้ว่าในค่ำคืนเดียวกันนั้นเอง มีเด็กรับใช้ชาวพม่าของบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านถูกฆาตกรรมอย่างทารุณ คนร้ายสาดเธอด้วยน้ำกรดจนใบหน้าแหลกเหลวแล้วทุบตีเธอจนตาย ก่อนจำศพไปยัดไว้ให้ตู้เย็น ... "หมู่บ้านไหนๆ ก็มีคนตาย" แต่ไม่ใช่ทุกหมู่บ้านจะได้ประสบกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นใน ลัดลาแลนด์


(ขอบคุณ เรื่องย่อ และ ภาพโปสเตอร์ จาก majorcineplex.com )



โชคดีที่เพื่อนร่วมดูหนังทั้งฝั่งซ้ายและขวา ไม่ออกอาการสะดุ้ง ตกใจ กรี๊ด วี๊ด อะไรมากนัก ... แต่เพื่อนร่วมโรงหนัง อีกฟากนึงนั้น วี๊ดกรี๊ดลั่นโรงแทบจะทุกช็อตที่มีนักแสดงพิเศษ โชคดีจริงๆ ที่ไม่ได้นั่งข้างกัน ไม่งั้นคงผวาตามตลอด


เป็นหนังที่เล่นกับจังหวะ ทั้งภาพ และเสียง ที่ทำเอาคนดูเหนื่อย ... แต่จัดเป็นหนังดราม่า มากกว่าเป็นหนังผี ดูไปเครียดไป เหนื่อยไป


แม้จะมีบางมุกให้ขำ แต่พอหนังจบ ก็ถอนใจยาว โล่งงงง ว่าจบสักที ... เหนื่อยเหลือเกิ้นนนนน

29.4.54

Gizmo : 4 years old

สมาชิกตัวจิ๋วของบ้าน อายุเพิ่มขึ้นแล้ว แม้จะเป็นหมาจิ๋วตัวเล็กๆ แต่อายุไม่เด็กแล้ว ... 4 ขวบของหมาน้อย เทียบกับอายุคนก็ราวๆ 32 แล้ว เป็นหนุ่มแล้วคร้าบ


ตอนนี้กิซโม่หมาน้อย กลายไปเป็นหมาในความดูแลของหม่ามี้กับพ่อไปเรียบร้อย ... ส่วนเรากลายเป็นคนดูแลหมา อาบน้ำ หยอดยา พาไปหาหมอ และซื้ออาหาร ซื้อขนมให้


หม่ามี้กับพ่อ คอยป้อนขนม พาเดินเล่น พาเที่ยว ... เท่านี้กิซโม่ก็รักสุดหัวใจ





ความสุขของหมาตัวเล็กๆ แม้จะอายุเพิ่มขึ้นก็ยังมีความสุขกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหมือนเดิม ... ได้กินขนมบ่อยๆ ได้ชิมอาหารที่คนกิน มีคนนวดให้ มีคนพาเดินเล่น ได้ติดสอยห้อยตามไปเที่ยวที่ต่างๆ ... เท่านี้หมาตัวน้อยๆ ก็มีความสุขเหลือเกินแล้ว


ครบ 4 ขวบ ไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีของขวัญ ไม่มีพาเที่ยว ... แค่ป้อนขนม ลูบ อุ้ม เกา นวด กิซโม่ก็พอใจแล้ว

24.4.54

Workshop สีอะครีลิคบนแผ่นไม้ : ทะเล


หมวยบีส่งลิงค์กิจกรรมเวิร์คชอปสีอะครีลิคบนแผ่นไม้ ของครูลิงใจดี มาให้ ... พร้อมถามว่าสนใจไปเล่นสนุกกันมั้ย ... ดูวัน-เวลาแล้ว ยังไม่ติดนัดอะไร เลยตกลงใจอย่างง่ายดาย


นัดเจอหมวยบีที่เวิร์คชอปเลย ร้านยิ้มละไม รัชดา ซ.3 ร้านของครูลิง ... หมวยบีถึงก่อน เราตามหลังไปอีกพักใหญ่ แต่เวิร์คชอปรอบสีน้ำเช้ายังไม่เรียบร้อย เลยได้ยืนสังเกตการณ์กันพักใหญ่


14.00 เริ่มต้นเวิร์คชอป รอบนี้มีนักเรียน 5 คนเท่านั้น นั่งกันสบายยยย ... ครูลิงแจกภาพประกอบอารมณ์ทะเล มีประภาคาร กับ หอย ให้เลือกตามชอบใจ ... จากนั้นก็แจกอุปกรณ์ ดินสอ ยางลบ กระดาษร่าง แผ่นไม้ สีอะครีลิค




เรากับหมวยบี นั่งโต๊ะเดียวกัน ลงมือไล่ๆ กัน ไม่ร่างภาพลงกระดาษหรอก ลงแผ่นงานกันเลย ... ก็ครูลิงบอกว่า ลงแค่โครงก็พอ รายละเอียดไว้ตอนลงสี


ได้โครงแล้ว ก็ลงสีขาวให้เต็มพื้นที่ที่จะลงสี เพื่อให้สีขาวเป็นพื้นสำหรับการลงสีอื่นๆ เพื่อสีจะได้ไม่จมไปในแผ่นไม้ และสีไม่เพี้ยน ... ขั้นตอนนี้ ง่าย สบายยยยย แต่เพื่อความปลอดภัยของเสื้อผ้า ครูลิงแจกผ้ากันเปื้อนให้นักเรียนสวมคลุมไว้ก่อน


สีพื้นพร้อมแล้ว ก็ลงมือผสมสีอะครีลิค แล้วบรรเลงลวดลายบนชิ้นงานได้เลยค่ะ ... ครูลิงบอกว่า ลงได้เต็มที่ สีอะครีลิค ผิดพลาดลงสีทับได้ แก้ได้ ง่ายกว่าสีน้ำ ... เอ้า ลุยยยยยยยย




นักเรียนเริ่มลงสีกันพักนึง ครูลิงก็ขอตัวออกไปข้างนอกสักหน่อย ... เรากับหมวยบี ลงสีกันไป ปรึกษากันไป กลุ้มใจกันไป ว่าผลงานจะรอดมั้ย ... หันไปดูอีกตก ผสมสี ลงสี กันสวยๆ ทั้งนั้น กลับมามองงานตัวเองก็ต้องถอนใจสักเฮือก


พอครูกลับมา เดินดูผลงาน ก็ให้กำลังใจนักเรียนว่าใช้ได้ ... แต่นักเรียนทั้งหลาย ไม่มั่นใจในฝีมือตัวเองนัก


เราเริ่มลงสีกับหอยลายเสือ (เรียกเองนะคะ เพราะไม่รู้ว่าชื่ออะไร เห็นลายคล้ายลายเสือเลยเรียกแบบนี้) ค่อยๆ ลองผสมสี ลงสี จิ้มไปทีละนิด ทีละหน่อย จิ้มไป ก็ถอนใจไป ว่ามันจะรอดมั้ย ... ครูก็ให้กำลังใจว่าใช้ได้ เติมรายละเอียดสักหน่อย ก็สวย ... จริงเหรออออออออ


งม ง่วน อยู่กับหอยลายเสือเป็นนาน จนครูต้องบอกว่าพอได้แล้ว ไปลงสีอีกชิ้นเถอะ ... เอาหล่ะซิ หอยสีชมพู เลือกชิ้นนี้เพราะสะดุดตากับสีนี้ แต่จะผสมสีออกมาได้ชมพูสวยเหมือนแบบมั้ย


ผสมรอบแรกเข้มไป แต่ก็ได้ลงเป็นพื้นสำหรับส่วนสีเข้มพอดี ... แล้วค่อยปรับผสมสีให้อ่อนลงอีกหน่อย พอสีที่ลงไว้แห้ง ก็ลงสีทับเพิ่มได้ ... ทิ้งรอสีแห้งอีกสักพัก ครูลิงก็มาช่วยเสริม


ครูลงสีป้ายๆ นิดหน่อย ทั้งหอยลายเสือ และหอยสีชมพู ความสวยงามก็เริ่มฉายชัด ... ทำไม้ ทำไม ครูปาดไม่กี่ปรื๊ด ก็สวยแล้ว ... ครูดูงาน เก็บงานให้ ก็แนะว่า แสง เงา เข้าตรงไหน ต้องเน้นน้ำหนัก ปรับสีตรงไหนยังไง ... รับฟังคำแนะนำเข้าหัวไว้ แต่ไม่แน่ใจว่าจะประยุกต์ใช้ได้เป๊ะเมื่อไหร่


แล้วครูก็ส่งงานกลับคืนมาให้ลงเงาตามแนวร่าง และแต่งเติมจุดเล็กๆ น้อยๆ อีกสักหน่อย ... ไม่นานนักผลงานก็เสร็จเรียบร้อย


มองใกล้ๆ ยังไม่ถูกใจนัก ... แต่เมื่อมองไกลๆ หรือ มองจากรูปถ่าย ก็ไม่เลวนะเนี่ย ... ครูบอกว่าน่าจะหันมาเอาดีทางสีอะครีลิค เพราะดูเรียนแล้วไม่เครียดเท่าสีน้ำ


พอชิ้นงานแห้งสนิทครูลิงก็ทำการเจาะรูติดตัวแขวนที่ด้านหลัง และเจาะรูแผ่นไม้ ให้เติมขอเกี่ยว ... จากนั้นก็แจกถุงพลาสติคให้ใส่ชิ้นงานกลับบ้านได้




วู้ฮู้ ผลงานรอบนี้ออกมาใช้ได้ เวิร์คชอปครั้งนี้ ไม่เครียดเท่าครั้งก่อนๆ และก็ทำชิ้นงานเสร็จเร็วกว่าครั้งก่อนด้วย ... ไม่ได้มาเรียนศิลปะแบบนี้นาน มาเรียนทีก็สนุก ตื่นเต้น และนึกอยากกลับมาหัดวาดเองที่บ้านบ่อยๆ


แต่ติดตรงที่ วาดเอง หัดเอง ลงสีเอง ไม่มีที่ปรึกษา ผลงานจะออกมาเป็น ศิลเปรอะ มากกว่า ศิลปะ หล่ะค่า

23.4.54

Fitness - Thai Massage - Buffet

หัวข้อบล็อก 3 อย่าง มาอยู่รวมกันในวันเดียว ... เหมือนจะดี หรือ เหมือนจะไม่ดี น้อ


Fitness - กลับมาเข้าฟิตเนสอีกครั้งค่ะ หลังจากร้างลาไปนาน จนตัวเบ่งบานอู้ฟู้ฟูเกินจะทนตัวเองไหว ... ร่างกายไม่ฟิต แต่เสื้อผ้าจะฟิตหมดแล้ว เพราะกินเท่าเดิม หรืออาจจะกินมากขึ้น แต่ออกกำลังกายน้อยลง เพราะฉะนั้น ก็ต้องมาออกกำลังกายเพิ่ม จะได้เบิร์นแคลลอรี่ส่วนเกินออกไปบ้าง


มองหาฟิตเนสที่ถูกใจอยู่หลายที่ สุดท้ายมาลงตัวที่เก่า ที่เดิม ที่เคยใช้บริการ ... ฟิตเนสเล็กๆ ในโรงแรมขนาดเล็ก ไม่ไกลบ้าน มีอุปกรณ์ออกกำลังกายไม่มากนัก แต่มีสระว่ายน้ำ และที่สำคัญราคาค่าสมาชิก สบายกระเป๋าสุดๆ


พอสำรวจ หาข้อมูล ดูสถานที่จริงกันแล้ว ก็ตัดสินใจสมัครสมาชิกแบบ 6 เดือนไป ... สมัครปุ๊บก็เริ่มเล่นปั๊บ เริ่มตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย.


เลิกงานปุ๊บ ก็หิ้วกระเป๋า ไปเข้าฟิตเนสออกกำลังกายกัน ... แม้แต่วันเสาร์ก็ยังจัดเวลาช่วงสายๆ แวะไปสักหน่อยค่ะ


Thai Massage - ออกกำลังกายเสร็จแล้ว อาบน้ำ แต่งตัว ย้ายไปร้านนวดประจำกันค่ะ ... เราเองหลังตึง และ เจ็บเท่า ส่วนคนดีเจ็บข้อมือ ชวนกันไปใช้บริการนวดไทยแก้อาการกัน


บ่า หลัง ไหล่ สะบัก ที่ตึง และกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ที่ล้าจากการออกกำลังกาย ได้นวดไทย คลายเส้นแบบนี้ ช่วยได้เยอะค่ะ ... แม้จะเจ็บจี๊ดซี้ดซ้าดบางจุด แต่พอนวดเสร็จแล้วก็ตัวเบาๆ สบายดี ... ส่วนคนดีที่เจ็บข้อมือมาหลายวัน อาการก็หายเรียบร้อย


Buffet - มื้อนี้คุณพิไลเป็นเจ้ามือเลี้ยงวันเกิดย้อนหลังให้เรากับเจ้าน้องชายค่ะ ... เจ้ามืออยากจะพาไปกินปูทาราบะ แต่เราหาร้านที่คุณพิไลดูจากรายการทีวีไม่เจอ ... สุดท้ายก็มาลงเอยที่ โออิชิ บุฟเฟ่ต์ เพราะเจ้ามือมีบัตรลดสำหรับผู้สูงอายุ


ไม่ได้กินปูทาราบะ แต่มาเจอปูอัดอลาสก้า กับสารพัดเมนูแทน ... แม้จะไม่อร่อยเด็ดขาดบาดจิต แต่มีเมนูให้เลือกชิมหลากหลาย ก็ชดเชยกันได้


เช้าออกกำลังกายมาหน่อย นวดพอให้สบายตัวสักนิด แต่มื้อเย็นมาจัดบุฟเฟ่ต์แบบเต็มสูตร ... แล้วมันจะช่วยอะไรมั้ยเนี่ย

16.4.54

Big Birdy's Family Trip : เกาช้าง #3

ย้อนดู เมื่อวาน กันก่อน


วันสุดท้ายของทริปนี้แล้ว เวลาผ่านไปเร็วจริง ... วันนี้ตื่นแต่เช้าเหมือนเคยค่ะ ตื่นมาจัดการมื้อเช้า และจัดแจงเก็บเสื้อผ้า สัมภาระ


มื้อเช้าวันนี้ก็บุฟเฟ่ต์เหมือนเคย สมาชิกกินกันเต็มที่มากกว่าเมื่อวานเพราะไม่ต้องห่วงว่าจะเมาเรือ เลยใช้เวลานั่งหม่ำมื้อเช้าค่อนข้างนาน ... อิ่มแล้วเดินกลับห้องพัก เก็บสมบัติเตรียมเช็คเอาท์


ระหว่างทางเดินกลับ หางตาเห็นแวบๆ ว่าเหมือนจะมีตัวอะไรปรากฎออกมาจากหญ้า เลยเดินชะลอฝีเท้าลง ... หัวโผล่มาก่อน แหลมๆ นึกว่าจิ้งเหลน แต่พอตัวปรากฎออกมาด้วยเท่านั้นแหละ เท้าหยุดกึก ชะงัก ก่อนจะก้าวถอยหลังกรูดไปชนคนดีที่เดินตามมา คนดีถามว่าเป็นอะไร "งูงูงูงูงูงูงูงูงูงู"


ไม่เคยเจองูตามธรรมชาติจะจะตา ห่างกันไม่ถึง 5 เมตรแบบนี้มาก่อน ทำเอาคนกลัวงูขึ้นสมองเข้าขั้นโฟเบียอย่างเรา สมองโล่ง สั่งการไม่ถูก ... ยืนนิ่งลังเลอยู่พักว่าจะเอายังไงดี จะเดินไปตามทางนั้นก็กลัวงูจะเปลี่ยนใจย้อนกลับมา จะเดินอ้อมก็ไม่แน่ใจว่าจะมีพรรคพวกงูอยู่ทางนั้นอีกรึเปล่า ... แต่เลือกเดินอ้อมดีกว่า เพราะอย่างน้อยยังห่างจุดเกิดเหตุ และยังไม่เห็นอะไรให้ใจเสีย


กลับเข้าห้องพักได้ ก็จัดแจงเก็บเสื้อผ้า และสมบัติหลายแหล่ลงกระเป๋า ... เก็บเรียบร้อยก็นอนเอกเขนกอ่านหนังสือรอสมาชิกคนอื่นๆ พร้อม ... จวนเจียนจะ 10 โมง สมาชิกก็พร้อมจะเดินทางกลับแล้ว


เช็คเอาท์เรียบร้อย มุ่งหน้าไปท่าเรือทันที ที่ต้องรีบไปเพราะเกรงว่าคิวที่จะข้ามกลับไปฝั่งคนจะเยอะ ไม่อยากรอนาน ... ไปถึงท่าเรือ จอดรถเข้าคิวรอราวๆ 20 นาที ก็ได้ลงเรือข้ามกลับมาฝั่งค่ะ


ขึ้นฝั่งได้ รถคันที่ 3 ก็ขึ้นมาขับนำทางพาไปร้านอาหารสำหรับมื้อเที่ยง ... วกวนไปตามทางพอสมควรก็ถึง อ่างเก็บน้ำเขาระกำ มานั่งทานส้มตำ ไก่ย่าง หมูกระทะ ริมลำธาร


บรรยากาศดี แต่นั่งทานไม่สะดวก เพราะเป็นศาลาเล็กๆ นั่งล้อมวงลำบาก ... แล้วยังต้องบริการตัวเอง เดินไปสั่งเอง เสิร์ฟอาหารเอง เดินกันหลายเที่ยว ทำเอาเหงื่อหยด ... ส่วนอาหาร มีไก่ย่างที่รสดี อร่อย ส้มตำ ลาบ ตับหวาน หมูกระทะ ก็รสชาติธรรมดา ไม่ชวนปลาบปลื้ม ... เหมาะสำหรับไปนั่งเล่น นอนเล่น เอกเขนก เพลินๆ มากกว่าจะไปนั่งทานอาหารจริงจังค่ะ


อิ่มเรียบร้อย ก็ออกตระเวนซื้อของฝากค่ะ ... จุดแรกแวะร้านเจ๊อ้อ ร้านนี้เคยแวะซื้อแล้วประทับใจปลาหมึกบดปรุงรส น้ำพริกเผากุ้ง กับ น้ำพริกกระปุก ... จุดสองแวะร้านแตงโมริมทาง ได้แตงโมเหลือง-แดง กลับบ้านไปหลายลูก ... จุดสามร้านทุเรียนริมทาง ร้านนี้เราไม่ลงเพราะแพ้ทางกันค่ะ กลิ่นทุเรียนนี่สู้ไม่ไหวจริงๆ


ได้ของฝากกันถ้วนหน้า อัดแน่นเต็มรถ ก็ได้เวลาแยกย้ายค่ะ ... แบ่งสมาชิกขึ้นรถ 3 คัน สำหรับ 3 จุดหมายปลายทาง แล้วร่ำลากัน


ตรงดิ่งกลับกรุงเทพฯ ... เราที่มีอาการป่วยอยู่ ก็สะเงาะสะแงะไปตามประสา หลับบ้างตื่นบ้าง ... ส่วนคนดีรับหน้าที่คนขับ ก็ขับยาว


มาเที่ยวทางตะวันออกแบบนี้ เลยได้แวะส่งเราที่บ้านก่อนจะตรงกลับบ้านกันไป ... จบทริปแบบหมดสภาพ เพราะเหนื่อย และเปื่อย


ตอนร่ำลาก่อนจะแยกย้าย ก็มีเสียงถามว่า "ทริปหน้าไปไหน" ... เอ่อออออออ นั่นซิคะ ไปไหนดี

15.4.54

: 109 เดือน :

เป็นวันครบรอบเดือนแรก ที่เราสองคนพากันลืมทั้งคู่ ... เสียประวัติสุดๆ


เพราะวันที่ 15 ของเดือนนี้ อยู่ในช่วงเทศกาลหยุดยาว แล้วเรายังมีทริปออกตะลอนกันด้วย จำวันจำคืนไม่ถูกว่าวันอะไร วันที่เท่าไหร่กันแน่ ... เลยลืมกันสนิททั้งคู่ ไม่มีแม้แต่จะบอก Happy Anniversary กัน


แต่เป็นวันที่อยู่ใกล้ๆ กัน 24 ชั่วโมงเต็มๆ ลงดำน้ำ ลอยคอเล่นน้ำอยู่ใกล้ๆ กัน คอยมองหากันว่าอยู่ตรงไหน ... และไม่ลืมบอก "รัก" กัน เหมือนทุกวัน


ไม่ต้องรักกันจี๋จ๋าหวานจ๋อย แค่มีคนดีอยู่ใกล้ๆ ก็อุ่นใจแล้ว ... ตะลอนเที่ยว ตะลอนทัวร์ เดินไปข้างๆ กันแบบนี้นานๆ นะคะ


รักคนดีที่สุดค่า

Big Birdy's Family Trip : เกาะช้าง #2

ย้อนดู เมื่อวาน กันก่อน


หกโมงเช้า สมาชิกทยอยตื่น อาบน้ำเตรียมตัวสำหรับมื้อเช้า และกิจกรรมดำน้ำของวันนี้ ... เพิ่งรู้ว่า สมาชิกของบ้านคนดี ล้วนมีประวัติเมารถ เมาเรือ กันเป็นประจำ ต้องมาดูกันว่าทริปนี้จะมีคนเมากี่คน


ออกไปจัดการเพิ่มพลังด้วย บุฟเฟ่ต์ ไข่ดาว ขนมปัง ไส้กรอก แฮม เบคอน ขนมปัง ข้าวต้ม ข้าวผัด กับข้าวอีกหลายอย่าง สลัด ผลไม้ ... สมาชิกก็กลับเข้าห้องพัก เตรียมตัว รอรถจากทัวร์มารับ


แปดโมงกว่า รถสองแถวจากศรัทธาทัวร์มารับ ขับวกวนไปตามทาง ขึ้นๆ ลงๆ เขา ทำเอาสมาชิกหลายคนเริ่มมึน ... พอไปถึงท่าเรือบางเบ้า ก็เดินไปลงเรือกันเลยค่ะ ทริปนี้เราใช้บริการของ ศรัทธาทัวร์ เกาะช้าง


เรือไม้ลำใหญ่ มีนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติ จับจองที่นั่งบนเรือไปบ้างแล้ว ... กลุ่มเราไปเล็งหาทำเลที่นั่ง สักพักเรือก็ออก นั่งเรืออยู่เกือบชั่วโมงก็ถึงจุดหมายแรกค่ะ


คนดีที่มีประวัติเมาเรือ กินยาแก้เมาเตรียมพร้อมไว้แล้ว ลงเรือเลยยิ้มหน้าบานได้ แต่สักพักก็หลับเอาแรง ก่อนจะตื่นมาลงดำน้ำ ... กลับขึ้นมาจากกัตจัง กลายเป็นพุดเดิ้ลตกน้ำซะอย่างนั้น


สมาชิกบ้านคนดี มีหลายคนที่ว่ายน้ำไม่คล่อง ว่ายน้ำไม่เป็น และไม่เคยลงดำน้ำแบบนี้มาก่อน ... เลยเป็นทริปดำน้ำที่ห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่รู้จะเข้าไปดูแลคนไหนดี อยากดำน้ำดูปะการังก็อยาก ห่วงสมาชิกก็ห่วง ... โชคดีที่ทีมลูกเรือรับหยี่อี๊ไปช่วยดูแล พาดำน้ำไปแล้วคน ส่วนสมาชิกคนอื่น พอแนะนำสักหน่อย ก็ปล่อยให้ลองเอง แล้วคอยดูเป็นระยะ


ดำจุดแรกประมาณ 45 นาที กลับขึ้นเรือมา ก็มีมื้อเที่ยงบนเรือ เห็นผัดกับข้าวกันสดๆ ร้อนๆ ... ยังไม่ทันได้เริ่มกิน เรือก็จอดที่จุดที่ 2 ปล่อยให้นักท่องเที่ยวกินข้าว แล้วลงไปลอยคอ เล่นน้ำ ดำน้ำ ชมวิว กันอีก 45 นาที


จุดนี้หนุ่มน้อยของทริป หลานชายของทุกคน อยากจะลงเล่นน้ำด้วย ... มีชูชีพยางส่วนตัวติดมา พ่อเค้าเลยฝากเราจับลงน้ำด้วย เพราะพ่อเองว่ายน้ำไม่คล่อง ไม่เคยดำน้ำ ลำพังจะดูแลตัวเองก็เหนื่อยแล้ว ถ้าต้องดูแลลูกชายคงจะสาหัส เลยฝากเราประคบประหงมแทน


ตอนลงบันไดเรือ หนุ่มน้อยก็ร่าเริงดี แต่พอลงน้ำปุ๊บเจอน้ำกระเด็นเข้าไปหน่อย ร้องจ้ากกกกกกกก ลั่นทะเล ไม่อยากจะไปต่อแล้ว อยากจะขึ้นอย่างเดียว ... ป่าป๊า อาแปะ อาโกว และป้า ช่วยกันกล่อม ก็ยังร้องลั่นนนน "ม่ายยยยยย อาววววววว แล้ววววววว" ต้องกล่อมกันอยู่นานกว่าจะเงียบ ... พอเงียบแล้ว ได้ไปน้ำตื้นๆ ไปนั่งเล่นทราย ที่นี้ก็ไม่อยากจะขึ้นเรืออีก


กลับขึ้นเรือมา ได้สับปะรดชื่นใจล้างปาก ให้สดชื่น ... ลงครีมกันแดดเพิ่มอีกหน่อย เรือจอดอีกแล้ว อะไรกันเนี่ยยยยย จุดที่สามแล้วเหรอ ไวจริง ... ลงดำน้ำสักพัก ก่อนจะหันมารับหนุ่มน้อยลอยคอเล่นน้ำอีก


45 นาทีผ่านไป กลับขึ้นเรือมาเติมพลังด้วยบาร์บีคิวอร่อยๆ กับมันฝรั่งเผา ... แล้วก็นั่งเรือกันอีกพักใหญ่ จนคิดว่ากำลังกลับเข้าฝั่ง แต่พักเดียว ทีมลูกเรือก็มาบอกว่า ถึงจุดที่ 4 เกาะหวาย


จุดดำน้ำ กับ สมาชิกบางส่วน ... ทริปนี้น้องชายคนดีทำเสื้อประจำทริปแจกสมาชิกด้วย


ลงไปลอยคอเล่นน้ำริมหาดกับเด็กอีกรอบ แต่รอบนี้ได้แผลกลับมาด้วย เพราะหนุ่มน้อยลอยคอเล่นตรงที่ยืนถึง แล้วลองลอยตัวเอง เกิดม้วนหน้าทิ่มจิ้มน้ำ รีบถลาไปรับหลาน ... เข่าเลยครูดกับเศษซากปะการังที่พื้นทราย ได้แผลถลอก แสบๆ คันๆ


กลับขึ้นเรือรอบนี้ โซ้ยอี๊ หยี่อี๊ หิ้วมาม่าคัพที่ซื้อบนเกาะหวายมาให้หลานๆ ด้วย ... กำลังจ้วงมาม่าคัพอย่างเพลิดเพลิน ก็เกิดสงครามน้ำขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว


ลูกเรือของเรือ 3-4 ลำที่อยู่ติดๆ กัน สาดน้ำข้ามเรือกันไปมา มีทั้งแบบใช้อุปกรณ์ตักน้ำสาดกัน และ บรรจุน้ำลงถุงแล้วปาใส่เรือ ทำเอานักท่องเที่ยวทั้งไทยและฝรั่งแตกตื่นฮือฮา ... พอตั้งตัวได้ทีนี้ก็ลุยสู้กันน่าดู


สาดใส่กันตั้งแต่เรือเทียบท่า จนเรือออกตัว แล้วยังตามไปสู้กันต่อในทะเลอีกพักใหญ่ ... ก่อนจะกลับเข้าฝั่งตอนห้าโมงเศษๆ ดวงอาทิตย์กำลังเคลื่อนตัวกลับลงน้ำแล้ว


กลับขึ้นฝั่ง เดินจากท่าเรือไปขึ้นรถที่จุดเดิมที่ลงรถเมื่อเช้า เจ้าหน้าที่เตือนให้เก็บของสำคัญลงถุงดำ กันน้ำซะ เพราะระหว่างทางกลับ เราจะต้องเผชิญกับขบวนเล่นน้ำสงกรานต์แน่ๆ ... แค่รถเคลื่อนตัวออกจากท่าเรือไม่เท่าไหร่ ก็โดนน้ำสาดโครมเข้ารถแบบไม่ทันตั้งตัว ที่จวนจะแห้งก็เปียกมะล่อกมะแล่กกันอีก


แล้วก็โดนสาดน้ำโครม โครม โครม ไปตลอดทาง ... ทำได้แค่ตั้งตัวรับ แต่ต่อสู้อะไรไม่ได้ เพราะไม่มีอาวุธอะไรติดมือกันเลย ... อยู่กรุงเทพฯ ไม่เคยเล่นสาดน้ำ แต่มาโดนรุมสาดน้ำบนรถสองแถวที่เกาะช้างซะอย่างนั้น


ถึงโรงแรมแบบชุ่มฉ่ำตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนเพิ่งขึ้นจากดำน้ำมาหมาดๆ ... เพราะเปียกกันถ้วนหน้า เลยต้องทยอยกันอาบน้ำ ครั้นจะนั่งรอห้องน้ำแบบหนาวสั่น เลยชวนกันลงไปลอยคอในสระว่ายน้ำรอเวลาซะก่อน


พอสมาชิกทยอยอาบน้ำเรียบร้อย ก็ต้องหาร้านอาหารสำหรับมื้อเย็นค่ะ เพราะมื้อนี้ไม่รวมอยู่ในแพคเกจ ... ขนสมาชิกขึ้นกระบะคันเดียว ไปตระเวนหาร้านอาหาร ... ไปร้านแรกที่ขึ้นชื่อ เห็นรถจอด เห็นคนนั่งรอแล้ว แววว่าจะไม่ได้กิน เพราะคิวยาวววว เลยย้อนกลับไปร้านโล่งๆ ที่ไม่มีลูกค้านั่งเลย


จำชื่อร้านไม่ได้ค่ะ จำได้แต่ว่ามีไก่หมุน และมีโลโก้ช่อง 3 เลยเสี่ยงดวงร้านนี้หล่ะ เพราะสั่งอาหารปุ๊บ ได้กินปั๊บแน่ๆ ... รสชาติอาหารก็ใช้ได้ค่ะ ไก่หมุนอร่อยมากกกกกกก ผัดฉ่าทะเลก็เยี่ยม บางจานอาจจะไม่โดดเด่น แต่ก็ไม่แย่นัก นับว่าเป็นการเสี่ยงดวงที่โชคดี


อิ่มแล้วก็กลับเข้าที่พัก ห้องนึงตั้งวงคิดเลข ส่วนอีกห้องหลับสลบหมดแรง ... เรากับคนดี จัดอยู่ในห้องหลังค่ะ เพราะเหนื่อย เมื่อย เพลีย และง่วงตั้งแต่ยังไม่สี่ทุ่ม


เราต้องคว้ายาลดไข้ และยาลดน้ำมูก มาโด๊ปก่อนนอนกันไว้ก่อน ... เพราะไม่รู้ว่าโปรแกรมพรุ่งนี้จะเป็นยังไง จะไปไหน ต้องรักษาสภาพตัวเองไว้สักหน่อย


ส่วนพรุ่งนี้จะไปไหน ติดตาม ที่นี่ ค่ะ

14.4.54

Big Birdy's Family Trip : เกาะช้าง #1

ปกติช่วงสงกรานต์จะเก็บตัวอยู่บ้าน ไม่ออกไปไหน มี 2 ปีหลังที่เลือกไปเข้าวัดปฎิบัติธรรม ... ปีนี้ก็ตั้งใจว่าจะลายาวเข้าวัด 9 วัน แต่แผนเปลี่ยนกระทันหัน เพราะมีทริปของบ้านคนดีค่ะ


สมาชิกบ้านคนดีจะได้หยุดยาวก็ช่วงสงกรานต์ น้องชายคนดีเลยติดต่อเพื่อนที่ทำทัวร์ วางแผนชวนสมาชิกที่บ้านไปเที่ยว เกาะช้าง ... เราเลยได้ติดสอยห้อยตามไปด้วยเช่นเดียวกับทริปอื่นๆ แต่ต่างกันตรงที่ทริปนี้ไม่ต้องเป็นหัวหน้าทัวร์ค่ะ


ถึงแม้ไม่ได้เป็นหัวหน้าทัวร์ แต่คนดีก็เหมือนจะต้องเข้าไปจัดการเรื่องนัดต่างๆ อยู่ด้วย ทั้งนัดรถ นัดคน ... ทริปนี้คนดีนัดรวมตัวสมาชิกที่บ้านตอนตี 4 แต่กว่าสมาชิก 12 ชีวิต จะมาพร้อมหน้ากันเตรียมออกเดินทางได้ก็ ตี 5 นิดๆ


รถ 2 คัน ขับตามกันไปตามเส้นมอเตอร์เวย์ แล้วตัดผ่านเส้น 344 ไปแกลง ก่อนจะมุ่งหน้าไปจุดนัดพบรถคันที่ 3 และสมาชิกอีก 3 คน ในปั๊มที่เข้าเขต จ.ตราด ... ถนนโล่ง ขับรถง่าย แวะพักระหว่างทาง เติมน้ำมัน เติมแก๊ส เข้าห้องน้ำ เป็นระยะ


รถ 3 คัน ผู้ใหญ่ 14 เด็ก 1 รีบไปต่อคิวลงเรือเฟอร์รี่ข้ามเกาะ ... คิวเฟอร์รี่รถไม่เยอะ คนไม่แยะอย่างที่กังวล แป๊บเดียวก็ได้พักรถขึ้นไปชมวิวกันด้านบน


โฉมหน้าสมาชิกบางส่วน ระหว่างพักผ่อนบนเรือ ... งานนี้มากันเกือบครบ น้า หลาน พี่ น้อง เขย สะใภ้ ว่าที่สะใภ้ ใครเป็นใคร ไล่ลำดับกันจนงงค่ะ


นั่งเรือแป๊บเดียวก็ถึงเกาะ ลงประจำที่นั่งบนรถแล้วมุ่งหน้าไปที่พัก เกาะช้างรีสอร์ทแอนด์สปา ... เป็นรีสอร์ทที่มีพื้นที่อยู่ 2 ฝั่ง คือ ฝั่งติดทะเล และ ฝั่งติดเขา ... เราได้ห้องพักแบบ Rooms for group อยู่ฝั่งติดเขา เป็นห้องรวมที่มีฟูกปูเรียงกัน นอนได้ห้องละ 7-8 คน


ในห้องมีทีวี ตู้เย็น ตู้เสื้อผ้า เครื่องปรับอากาศ ผ้าเช็ดตัว พร้อมเครื่องใช้ในห้องน้ำ ... ห้องน้ำแบ่งเป็น ห้องสุขา 2 ห้อง ห้องอาบน้ำ 2 ห้อง และอ่างล้างหน้า 2 อ่าง สามารถเข้าใช้ห้องน้ำได้พร้อมๆ กัน ถ้ามาเป็นกลุ่ม ... สนใจดูห้องพักได้ที่ Koh Chang Resort and Spa ทริปนี้ไม่ได้ถ่ายรูปสักเท่าไหร่ เพราะสมาชิกหนาแน่นเกินจะมัวแต่ถ่ายภาพค่ะ


เรามาถึงก่อนเที่ยงนิดหน่อย ห้องพักพร้อมให้เข้าพักแค่ห้องเดียว อีกห้องแม่บ้านกำลังจัดการอยู่ ... เลยขนสัมภาระเข้ามาเก็บไว้ที่ห้องก่อน แล้วก็ปักหลักเปิดวงเปิบข้าวเหนียว ไก่ทอด หมูทอด ที่โซ้ยอี๊เตรียมมา ... แล้วยังมีซุปหน่อไม้ที่เตรียมเครื่องมาปรุงสดๆ กันที่นี่ ... เป็นมื้อ brunch ที่อิ่มท้องครบทั้งคาวหวาน เพราะมี สาลี่ กับ มะละกอ ตบท้ายด้วย


อิ่มแล้วก็เลือกกิจกรรมตามถนัดค่ะ เอนหลังงีบ ดูทีวี ดูดีวีดี เล่นเกม และตั้งวงคิดเลข ... ส่วนเรา หยิบหนังสือที่พกมาอ่าน ก่อนจะหลับยาว ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเช้า หรือเพราะพิษไข้ ที่ทำเอาหลับไปพักใหญ่


พอบ่ายแก่ๆ ก็ย้ายขบวนออกไปนั่งรับลมกันริมหาด เล่นน้ำบ้าง ถ่ายรูปบ้าง เอนหลังชมวิว แล้วแต่ชอบ ... บางส่วนก็ออกสำรวจหาร้านขนม ร้านค้าใกล้ๆไว้เป็นขุมเสบียง


เกือบๆ ทุ่ม ก็มีรถสองแถวของร้าน ไอยราซีฟู้ด มารับ ... เป็นมื้อที่อยู่ในแพคเกจที่ซื้อมา เราเลือกอาหารกันไว้แล้ว ไปถึงเลยรอไม่นาน ... ร้านนี้ทางเข้าร้านแคบ ที่จอดรถน้อย แต่มีคนมาเยอะ เพราะอยู่ในทำเลที่วิวน่าจะดี แต่เรามาค่ำแล้ว ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืด


อาหารที่เลือกไว้ทยอยออกมาเสิร์ฟ รสชาติไม่เลว แต่เสียตรงที่เติมไม่ได้ เพิ่มไม่ได้ ... ปริมาณอาหารที่ให้มากับจำนวนคนดูไม่ค่อยสัมพันธ์กันนัก กินกันเกลี้ยงแบบไม่อิ่มเท่าไหร่


จัดการอาหารหมดแล้ว ก็ลงเรือของทางร้าน ล่องเข้าไปตามป่าโกงกางข้างๆ เพื่อเข้าไปดูหิ่งห้อย ... เป็นการล่องเรือชมหิ่งห้อยที่บรรยากาศหลอนๆ พิกล แม้จะไม่มืดสนิท แต่ก็เงียบ วังเวง และบรรยากาศสองข้างทางก็ชวนหลอน มีหิ่งห้อยมาโชว์ตัวน้อยนิด เพราะไม่ใช่ฤดู ... ใช้เวลาล่องเรือราวๆ 30 นาที ก็กลับขึ้นฝั่ง ขึ้นรถกลับโรงแรม


บางส่วนก็อาบน้ำเข้านอน บางส่วนตั้งวงบวกเลข และบางส่วนออกไปตามหา 7-11 เพื่อเติมท้องให้อิ่มสมบูรณ์ ... เราสองคนจัดอยู่ในหมวดหลังสุดค่ะ


จากนั้นก็แยกย้ายกันเข้านอน เตรียมตัวพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้ ... เราจะไปดำน้ำกัน จะสนุก ตื่นเต้น รึเปล่า ติดตาม ที่นี่ ค่ะ

13.4.54

สวัสดี สงกรานต์ 54

วันแรกของเทศกาลปีใหม่ไทย วันสงกรานต์ วันหยุดยาวที่คนไทยรอคอยเริ่มต้นแล้ว ... เย้


แต่ตื่นเช้ามาพร้อมกับอาการไม่ค่อยปกติ เจ็บคอ ระคายคอ และคัดจมูกนิดหน่อย สัญญาณของอาการหวัดเริ่มปรากฎตัว ... ไม่เข้าใจทำไมต้องป่วยช่วงเทศกาลด้วย


แต่ถึงจะมีอาการเริ่มป่วยก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเราไม่มีแผนจะออกไปลุย ไปเล่นสาดน้ำอยู่แล้ว ... จัดการเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเตรียมไปเที่ยวเกาะช้าง พอคนดีมารับก็ชวนกันออกไปหม่ำข้าว ไปทำธุระ และไปช้อปปิ้งที่ยูเนี่ยนมอลล์ ... ได้ของเรียบร้อยก็ตรงเข้าบ้านคนดี


ถึงแม้จะไม่ชอบไปลุยสาดน้ำ แต่ก็ชอบบรรยากาศของวันสงกรานต์ ... เห็นคนพกปืนฉีดน้ำ พกอุปกรณ์เล่นน้ำ พอมาเจอหน้ากัน ก็เกิดสงครามน้ำย่อยๆ ที่ทั้ง 2 ฝ่ายสนุกสนานและยิ้มให้กัน


เราเป็นคนดูยังสนุกเลย ... ถ้าเล่นสาดน้ำอย่างเดียวก็ชอบนะคะ แต่พอมีแป้งผสมมาด้วยแล้ว ไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ เพราะแป้งมักมาพร้อมกับอาการเจ็บตัวที่น่าจะเพิ่มมากขึ้น และโอกาสในการถูกคนแปลกหน้าลวนลาม ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ... เพราะฉะนั้น เลิกเล่นสงกรานต์ซะ ขอเป็นคนดูอย่างเดียว


แม้จะเป็นคนดู แต่เวลาออกไปข้างนอกก็จะพกปืนฉีดน้ำเล็กๆ ติดรถไปด้วย ... เอาไว้ซุ่มโจมตีแก๊งค์เด็กๆ ค่ะ ชอบดูเด็กๆ สนุกสนานตื่นเต้นกับการเล่นน้ำ ฉีดน้ำใส่คู่ต่อสู้ ... แม้จะซุ่มโจมตี แต่ก็เลือกคู่ต่อสู้ที่มีอาวุธ และอาวุธสูสีกันนะคะ ไม่รังแกเด็กไร้อาวุธ และไม่เสี่ยงกับแก๊งค์ใหญ่ที่อาจจะทำให้เราเพลี่ยงพล้ำ


ปีนี้เป็นปีที่การเล่นน้ำคึกคักน่าดู จากบ้านเราไปบ้านคนดี เจอกลุ่ม ก๊วน ขบวน เล่นน้ำ หลายแบบ หลายสไตล์ หลายจุด ... แค่นั่งดูไปบนรถก็เพลินดี


ในซอยบ้านคนดีก็ตั้งขบวนยาวตั้งแต่ปากซอย รถติดทั้งก๊วนสาดน้ำ และติดขบวนแห่พระด้วย ... เห็นคุณยายคนนึงที่ลูกหลานเข็นรถออกมารอให้คุณยายได้สรงน้ำพระ ... ที่แก้มคุณยายมีแป้งประอยู่สักหน่อย ในมือก็ถือพวงมาลัยอยู่ เดาว่าน่าจะมีใครมาขอประแป้ง และมาขอรดน้ำดำหัวขอพร ... ภาพแบบนี้ทำเอายิ้มกว้างงงงงงง


พอเข้าบ้านคนดีก็จัดการธุระนั่นนี่ ก่อนจะหลับผล็อยไปเพราะพิษไข้ ... หลับสนิท หลับลึก หลับยาว เหมือนสลบ หลับตั้งแต่บ่ายแก่ๆ จนค่ำ ตื่นมาเพราะหิวโหย ก่อนจะต่อว่าคนดีว่าทำไมไม่เรียกกินข้าวเลย ... คนดีบอกเรียกแล้วแต่เราบอกไม่กิน อ้าวววว จำไม่ได้เลยแหะ


ข้าวไม่ได้กิน เลยกินยาลดไข้ไปเม็ด อาบน้ำ ดูทีวี แล้วก็เข้านอนต่อ ... เตรียมตัวเที่ยวรับสงกรานต์


แม้จะไม่ชอบเล่นน้ำ แต่ก็ชอบเทศกาลสงกรานต์ เทศกาลที่เด็กตัวเล็กๆ ไปจนคุณย่าคุณยาย สนุกสนานกันได้ถ้วนหน้า ... สวัสดีปีใหม่ไทย สวัสดีวันสงกรานต์ ขอให้เบิกบาน สดชื่น ฉ่ำใจ กันทุกๆ คนเลยค่ะ

9.4.54

ผมใหม่ สีใหม่

แวะไปหาช่างทำผมคู่ใจให้ทำอะไรใหม่ๆ ให้ ช่วงก่อนปีใหม่ แต่ได้ ผมใหม่ ทรงเดิม กลับมากันทั้งคู่ ... ผ่านไป 3 เดือนกว่าๆ อดรนทนไม่ได้กับผมตัวเองทั้งคู่ ได้เวลานัดคิว แวะไปฝากหัวไว้ให้มือช่างคู่ใจอีกที


คนดีที่เพิ่งออกทุกข์ และไม่ได้ตัดผมมาพักใหญ่ เส้นผมยาวพอที่น่าจะทำอะไรใหม่ๆ ได้แล้ว ... ส่วนเราผมยาวขึ้น แต่ปลายผมแห้ง แตกปลายบ้าง เห็นแล้วหงุดหงิดใจ ไม่รู้ว่าช่างจะทำอะไรให้บ้าง แต่ยังไงก็จะขอให้ซอยผมออกสักหน่อยแล้วกัน


โทรนัดเป็นคิวแรก รีบไปก่อนเวลานัด เพราะเราทั้งคู่ไม่รู้ว่าช่างจะอนุมัติทำอะไรให้บ้าง ... พนักงานในร้านคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ทักทายกันใหญ่ ถามไถ่ว่ามาทำอะไร ตอบเหมือนกันว่า "ยังไม่รู้ แล้วแต่พี่เค้าค่ะ" ... พนักงานเลยบอกให้นั่งรอสักครู่ พี่เค้าแวะไปทำธุระเดี๋ยวก็มา


ระหว่างรอ เตียงสระว่าง คนดีเลยได้ไปสระผมก่อน เพราะยังไงก็จะซอยผมแน่ๆ ... ส่วนเราที่ยังไม่รู้ว่าจะได้ทำอะไรบ้าง เลยต้องนั่งรอไปก่อน ... นั่งอ่านหนังสือรอพักเดียวก็ได้ยินเสียงคุ้นๆ หู เห็นพี่เค้าตรงไปทักคนดี ก่อนจะเดินมาหาเรา


เจอหน้ากันก็ถามคำถามเดิม "สวัสดีครับ วันนี้จะทำอะไร" เราก็ตอบแบบเดิมคือ "ทำอะไรได้บ้างคะ" แล้วก็หันหลังให้พี่เค้าทำพิธีกรรมประจำ คือ เช็คผม ... คำตอบที่ได้หลังเช็คผมคือ "เดี๋ยววันนี้เคลือบสีโทนน้ำตาลแดงให้ แค่เคลือบสีจะไม่ทำร้ายผมมากเกินไป กับทำไฮไลท์สักหน่อย ให้มีอะไรสักนิด แล้วพี่จะซอยผมออกสักหน่อย ความยาวผมกำลังดี แต่พี่ไม่ดัดให้นะ เพราะสภาพผมดีขึ้นแล้ว ไม่อยากทำเคมีทำร้ายผมอีก" ... ค่า พี่ว่าอย่างไหนหนูก็ว่าอย่างนั้นหล่ะค่ะ แค่ได้ยินว่าได้ทำสีผมสักหน่อยก็ดีใจแล้ว


ได้รับคำอธิบายจบ ก็ไปสระผม แล้วมานั่งประจำที่เริ่มต้นด้วยการทำไฮไลท์ด้วยแผ่นดีดก่อน ... จากนั้นก็ลงสีเคลือบ ทิ้งไว้ ล้างออก ไดร์แห้ง ซอยออก ... ปิดท้ายด้วยพี่ช่างหยิบที่หนีบผม มาม้วน ตวัด ปัดปลายผมตรงๆ ให้มีลูกเล่นเพิ่มขึ้น


เซ็ทผมให้ซะสวยนิ้งเกินหน้าเกินตาชุด ... ไฮไลท์ประปรายกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ช่วยให้ผมเรียบๆ ดูมีอะไรขึ้นมาสักนิด ค่อยยังชั่ว


ส่วนคนดีที่ไปสระผมก่อน และเป่าผมแห้งรอซอยผมออก ก็ลุกเดินกลับไปล้างผมอีกรอบ เพราะต้องเข้าสู่ขั้นตอนการดัด ซึ่งพี่ช่างประชำ ลงมือม้วนผม หยอดน้ำยาให้ด้วยตัวเองเลย ... ผ่านขั้นตอนการดัดแล้ว ยังมีทำสีอีกนิด และเติมไฮไลท์อีกหน่อย ... คราวนี้คนดีเริ่มทำผมก่อนเรา แต่กลายเป็นเสร็จทีหลัง


ได้ผมดัดสไตล์เกาหลีกลับมาอีกครั้ง มาพร้อมกับไฮไลท์สีเขียวๆ ที่อนาคตจะกลายเป็นสีทอง ... ได้ผมทรงใหม่ที่คล้ายเดิม แต่ลอนดัดเล็กกว่าเดิม


แฟนใหม่หน้าเดิมที่ดูไปดูมาคล้ายกัตจัง น่ารักแปลกตาดี ... ชอบจัง

Japanese Class #4

คลาสนี้เป็นคลาสที่มีทดสอบ ... เลยเป็นคลาสที่นักเรียน เครียด กังวล และอึดอัดก่อนจะเริ่มคลาส


เราเอง ท่องศัพท์ 50 คำ ตามโจทย์ที่ได้ และหัดเขียนพยัญชนะ 25 ตัว ที่จะต้องใช้ในศัพท์ 50 คำนี้ ... ท่องมาก แต่ดูเหมือนไม่เข้าหัวเลย ได้หน้าลืมหลัง ได้หลังลืมหน้า ... ท่องจนเหนื่อย และหงุดหงิด เป็นไงเป็นกัน ไปลุยตอนทดสอบเลยแล้วกัน


เซ็นเซ เริ่มการทดสอบ จากบอกศัพท์ภาษาญี่ปุ่นมา 10 คำ แล้วให้เขียนคำแปลภาษาไทย ... ตามด้วย บอกศัพท์ภาษาไทย แล้วให้เขียนพยัญชนะญี่ปุ่นอีก 10 คำ


เป็นการทดสอบที่ครึกครื้นเฮฮามาก เพราะมีนักเรียน 4 คน นั่งประชันหน้ากัน ส่วนเซ็นเซนั่งคุมอยู่หัวโต๊ะ ... เซ็นเซสั่งห้ามใบ้ ห้ามลอก ห้ามช่วย ห้ามเปิดสมุด แต่นักเรียนที่อาวุโสกว่าเซ็นเซ ก็พยายามช่วยกันเท่าที่ทำได้ ... คำไหนที่เรามั่นใจก็พยายามจะใบ้เล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าไม่มั่นใจก็ไม่กล้าใบ้เหมือนกัน กลัวจะพากันผิด


ครบ 20 ข้อ เราก็รีบส่งกระดาษคำตอบเลย จะได้หายอึดอัดสักที ... แล้วก็รอลุ้นตอนเซ็นเซตรวจ


ผลคือ ได้ 17 เต็ม 20 ฮูเรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร ... ส่วนแรกผิดไป 1 ข้อ เพราะจำคำแปลไม่ได้จริงๆ เป็นคำที่จำสลับสับสนตลอด ... ส่วนที่สอง ผิดไป 2 ข้อ เพราะเขียนพยัญชนะสลับที่กัน ผิดง่ายๆ ไม่น่าเล้ยยย


ทดสอบกันไปเรียบร้อย รู้ผลคะแนนกันแล้ว ก็เริ่มเรียนกันต่อค่ะ ... ได้พยัญชนะเพิ่มอีก 8 ตัว ya yu yo ra ri ru re ro กับคำศัพท์อีก 20 กว่าคำ


สอนจบ เซ็นเซบอกว่า ครั้งหน้าจะทดสอบการเขียนพยัญชนะที่เรียนมาทั้งหมด ... ตายละวา เรียนมาทั้งหมด 43 ตัวแล้ว 25 ตัวแรกที่เรียนไป ฝึกท่อง ฝึกเขียน จนเริ่มคุ้น แต่ก็ยังจำสับสนบ้าง ... ส่วน 28 ตัวที่เหลือ จัดเป็นขั้นแอดวานซ์ เพราะบางตัว ต้องม้วน ต้องตวัด แล้วยังมีหลายตัวที่เขียนคล้ายกัน แต่ตัดม้วนออก หรือ เพิ่มขีด ลดขีด ก็กลายเป็นอีกตัว


แล้วเซ็นเซยังบอกว่า ถ้าเรียนศัพท์ครบ 150 คำ ก็จะได้เวลาทดสอบอีกรอบ ... 50 คำแรกที่สอบไปแล้วก็ผ่านไป มาท่อง 100 คำใหม่แทน


เป็นการเรียนภาษาที่ต้องท่องศัพท์ ควบคู่ไปกับการฝึกเขียนพยัญชนะ ... ไม่ง่ายเล้ยยยยยยยยยยยยยยย

8.4.54

รุ่งอรุณ

นิยายเล่มใหม่ของกิ่งฉัตร ในสไตล์ที่คุ้นเคย คือ ตัวเอกของเรื่องนี้เคยปรากฎตัวในเรื่องอื่นมาก่อน แล้วตัวเอกของเรื่องอื่น ก็มาเป็นตัวประกอบของเรื่องนี้ ออกมาให้ติดตามอีกแล้วค่ะ ... เล่มนี้มาในแนวสืบสวน สอบสวน ให้ได้ขบคิด และลุ้นตาม


รุ่งอรุณ เป็นเรื่องราวความรักของ ทินกร นักโบราณคดีหนุ่มหล่อที่มีรอยยิ้มอบอุ่นดั่งแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ น้องชายคนเล็กของ ดุจจันทร์ (นางเอก จาก ลำนำจันทร์) และ ดุจดาว (นางเอก จาก หิมะกลางทะเลทราย)


เมื่อ พิพัช สามีของดุจจันทร์ เดินทางมาติดต่องานที่ลาสเวกัส ดุจจันทร์และลูกๆ ทั้งสาม รวมถึงทินกร จึงติดสอยห้อยตามมาเยี่ยมเยียนดุจดาวและครอบครัวด้วย แต่แล้วเมื่อพี่สาวบังคับให้ทินกรไปเยี่ยมพ่อบังเกิดเกล้า เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เขาต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นในบ้านพ่อ


และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาต้องไปพัวพันกับเหตุการณ์ร้ายๆ และที่สำคัญ หัวใจของเขาต้องเข้าไปพัวพันกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ทำให้ใจของเขาแปลกไปจากเดิม


( รูป และ เรื่องย่อ จาก http://www.amarinpocketbook.com/ )


เราซึ่งเป็นแฟนนิยายกิ่งฉัตร อ่านนิยายเล่มนี้ด้วยความเพลิดเพลิน ... เพราะรู้จักและคุ้นเคยกับ ดุจจันทร์ และดุจดาว มาก่อนแล้ว เมื่อถึงคราวของน้องชายคนเล็กก็สนุกและชวนติดตามค่ะ


หนังสือความหนาไม่มาก อ่านได้เพลินๆ ไม่นานก็จบ ... จบเร็วจนรู้สึกว่าเร็วจัง เร็วไปมั้ย กำลังเพลินเชียว แต่จะว่าไปก็ดีนะคะ เพราะไม่ยืดเยื้อ จนอึดอัดขัดใจ


อ่านจบเร็ว ตอนนี้ก็ได้แต่รอต่อไปว่า นิยายเล่มใหม่ของกิ่งฉัตรจะคลอดเมื่อไหร่ ... รอ ร้อ รอ กันต่อไปค่ะ ระหว่างรอ ก็หยิบนิยายเล่มอื่นมาอ่านไปพลางๆ ก่อน ยังมีนิยายในสต็อกให้รออ่านอีกเพียบบบ

7.4.54

ตำนานสมเด็จพระนเรศวร 3


1 ในหนังที่ติดตามดู แม้จะเว้นวรรคฉายไปนานเกิน แต่ก็ยังติดตามรอ ... ลงโรงฉายแล้วก็ต้องรีบจัดเวลาไปดู


จริงๆ ตั้งใจจะดูวันหยุด วันจักรี แต่ชะล่าใจไม่โทรจองไว้ก่อน พอไปถึงหน้าโรงปรากฎว่าคนคับคั่ง เหลือแต่ที่นั่งแถวหน้าๆ รอบถัดไปก็ค่ำเกิน เลยเปลี่ยนใจไม่ดู ... ขยับมาดูเย็นวันธรรมดาก็ได้


รีบโทรจองตั๋วตั้งแต่สายๆ ... เลิกงานก็รีบตรงดิ่งไปโรงหนังทันที เพราะจองรอบ 18.00 น. เอาไว้ เพราะคาดว่าความยาวหนังน่าจะไม่น้อย ถ้าดูรอบค่ำกว่านี้ กว่าหนังจะเลิกคงดึก


ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 3 ยุทธนาวี ... เนื้อเรื่องดำเนินต่อจากภาค 2 สงครามระหว่างอโยธยากับหงสายังไม่สิ้นสุด


หลังจากสมเด็จพระนเรศ ประกาศเอกราชที่เมืองแครง พระเจ้านันทบุเรงก็เกรงว่าการแข็งข้อของอโยธยาจะเป็นเยี่ยงอย่างให้เหล่าเจ้าประเทศราชที่ขึ้นกับหงสาลอกเลียน ตั้งตัวกระด้างกระเดื่องตาม ... แต่เพราะยังติดพันศึกอังวะ จึงส่งทัพพระยาพะสิม และพระเจ้าเชียงใหม่นรธาเมงสอ เข้าประชิดอยุธยา


ขณะเดียวกันนั้น เจ้ากรุงละแวก ก็ได้ลอบส่งจารชนชาวจีน พระยาาจีนจันตุ มาลอบสืบความ แต่ถูกจับพิรุธได้ จนต้องลอบตีสำเภาหนีกลับกรุงละแวก ... สมเด็จพระนเรศนำทัพเรือออกตามจนเกิดยุทธนาวี แต่พระยาจีนจันตุก็หนีรอดได้ ... เจ้ากรุงละแวกเลยเปลี่ยนพระทัยหันมาสานไมตรีกับอโยธยา ส่งพระอนุชา พระศรีสุพรรณ มาช่วยอโยธยาทำศึกหงสา แต่ดูเหมือนพระศรีสุพรรณจะมาเป็นหอกข้างแคร่ มากกว่าจะมาเป็นสหายร่วมรบ


สมเด็จพระนเรศ เห็นว่ากำลังทัพอโยธยาเป็นรองทัพพม่า จึงทรงปรับยุทธศาสตร์การรบ ไม่ปล่อยให้ทัพพระยาสิม และ นรธาเมงสอ มารวมกำลังตีล้อมอโยธยา ... ทรงจัดทัพออกรับศึกในแขวงหัวเมือง ตีทัพพระยาสิมก่อน แล้วเทกำลังตีทัพนรธาเมงสอภายหลัง


หนังยาวร่วม 3 ชั่วโมง ทำเอาเผลอหลับไปช่วง ... ถ้าถามว่าไม่สนุกเหรอ ก็บอกไม่ถูกค่ะ เพราะหนังแนวอิงประวัติศาสตร์แบบนี้ ก็เคยเรียนมาบ้างแล้ว จำได้เลาๆ เหมือนมาดูทบทวนความรู้ที่มีอยู่ ว่ามีติดหัวอยู่แค่ไหน


มีคนถามว่าดูแล้วเป็นยังไง ก็ตอบว่า "เป็นพระนเรศวรอ่ะ" ไม่ได้กวนนะคะ เพราะไม่รู้จะอธิบายยังไงจริงๆ ... บอกได้แค่ว่า ฉาก คอสตูม โปรดัคชั่นอลังการ ก็คุ้มค่าตั๋วแล้วค่ะ


อีกความรู้สึกที่เกิดขึ้นชัดระหว่างดูหนังคือ หดหู่ใจค่ะ เห็นคนมาวิ่งไล่ฆ่ากันแล้วใจเหี่ยว ... สงคราม ทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักกัน กลายเป็นศัตรูกัน เจอหน้าก็ต้องฆ่ากันให้ตายไปข้างเพื่อให้เรามีชีวิตรอด เฮ้ออออออ

6.4.54

ดวงใจเจ้าเอ๋ย

เว้นว่างห่างเกิน กับการเขียนบล็อกในหมวดหนังสือไปนาน ทั้งที่อ่านหนังสือจบไปหลายเล่ม หลายเรื่อง ... รอบนี้อ่านจบไม่นาน นึกขึ้นได้ เลยเอามาเขียนถึงสักหน่อย


ดวงใจเจ้าเอ๋ย ผลงานของ "ดวงตะวัน" 1 ในนักเขียนที่ติดตามอ่านประจำ ... ออกวางแผงในช่วงงานสัปดาห์หนังสือพอดี ... ซื้อมาปุ๊บ ก็รีบเปิดอ่านปั๊บ


จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อสาวน้อยผู้ซึ่งขี้แย ขี้แพ้ แหย ฝ่อ ฯลฯ ต้องมาอยู่ร่วมบ้านกับสี่หนุ่มสี่สไตล์ พวกเขาจะเหวี่ยง วีน เม้ง และเปลี่ยนแปลงเธอให้กลายเป็นสาวมั่นสุดเจ๋งได้หรือไม่ หรือว่า...เธอเองนั่นแหละ ที่จะทำให้ดวงใจของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

(ภาพและคำโปรยจาก http://www.dtawanbooks.com/ ค่ะ)


เห็นคำโปรยแบบนี้ ใจเสียเลยค่ะ เพราะส่วนตัวไม่ชอบนางเอกที่หงุงหงิง งอแง อ่อนแอ สนิมสร้อย อ่านแล้วขัดใจว่าอะไรจะนางเอ๊ก นางเอก ขนาดนั้น ... แล้วดูแววว่าจะมาสไตล์คล้ายซีรี่ส์เกาหลี ที่นางเอกไปอยู่ท่ามกลางหนุ่ม 4 คน 4 สไตล์ ที่จะช่วยกันดึงบุคลิกใหม่ของนางเอกออกมา ... ตายแล้วฉัน อ่านไปจะหงุดหงิดไปมั้ยเนี่ย


มีช่วงให้หงุดหงิด ขัดใจนางเอกอย่างที่คาดค่ะ แต่พอนางเอกได้รับการประสิทธิประสาทวิชาจนกลายเป็น "เด็กตุ้ม" แล้ว ก็อ่านเพลิน ... แล้วตัวละครที่ได้ใจเราไปเต็มๆ ก็ "ป้าตุ้ม" นี่หล่ะค่ะ น่ารัก ถูกใจที่สุด


อ่านเล่มนี้จบ ก็หยิบนิยายเล่มใหม่ของนักเขียนคนโปรดอีกคนมาอ่านต่อทันที ... เล่มไม่หนานัก คาดว่าคงใช้เวลาไม่นาน หวังว่าจะไม่ลืมมาเขียนบันทึกเก็บไว้อีก

5.4.54

งานกาชาด ปี 54

ปกติไม่ค่อยชอบไปเดินในที่ที่มีคนเยอะๆ เพราะขี้หงุดหงิด ขี้รำคาญ ... เวลาเจอคนพลุกพล่านวุ่นวาย คนนั้นอยากไปทางนู้น คนนู้นอยากไปทางโน้น เจอคนเดินตัดหน้าไปมา หรือ อยู่ๆ ก็หยุดซะอย่างนั้น ทำเอาจะปรี๊ดแตก


แต่สำหรับ งานกาชาด แม้จะไม่ชอบคนเยอะ แต่ก็ชอบไปเดินเล่นค่ะ ... ปีนึงมีครั้งเดียว ถ้าไม่ติดทริป ติดงาน หรือติดธุระอื่นๆ ก็ต้องหาเวลาไปเดินเล่นสักวัน


ปีนี้ติดธุระหลายวัน คาดว่าจะไม่ได้ไป แต่แล้วก็จัดสรรเวลาไปจนได้ค่ะ ... ที่ได้ไป เพราะที่บ้านคนดีจะไปเดินงานนี้ค่ะ เราเลยได้ติดสอยห้อยตามไปด้วย


เลิกงานรีบกลับบ้านเก็บเสื้อผ้าไปบ้านคนดี ไปสมทบกับสมาชิกที่รออยู่ ... หยี่อี๊ โซ้ยอี๊ น้องชายคนดี+แฟนน้องชายคนดี ... สมาชิกพร้อมหน้า ก็ออกเดินทางกันได้ค่ะ แต่งานนี้เอารถไปไม่เหมาะ ไปรถสาธารณะดีกว่า


ผู้ใหญ่ 6 คน ชวนกันนั่งรถตุ๊กๆ เป็นประสบการณ์ขำๆ เหมือนย้อนวัยไปเป็นเด็ก เพราะต้องจัดระเบียบร่างกายให้นั่งไปได้พร้อมหน้า ... เบียด ก่าย เกาะ เกี่ยว กว่าจะไปถึงงานได้ ก็ทำเอาเหน็บกิน


ไปถึงค่อนข้างค่ำ รีบเดินลัดเลาะหลบคนไปชมร้านค้าต่างๆ ... สอยดาว จับไข่ ซื้อสลาก ยิงปืน และที่ขาดไม่ได้คือ ซื้อโอวัลตินเดินดื่มเพลินๆ


รางวัลที่ได้มาปีนี้ดีกว่าปีก่อนๆ นิดนึง ตรงที่ซุ้มแรก จับได้กระเป๋า ซุ้มต่อมา ก็ได้ ผงซักฟอก แป้ง ดูคุ้มค่ากับมูลค่าที่เสียไป ... เพราะปีก่อนๆ ได้แต่บะหมี่กึ่ง กับ น้ำอัดลมกระป๋อง


เพราะไปถึงค่อนข้างค่ำ เดินเล่นเพลินๆ แป๊บเดียวก็หมดเวลา 5 ทุ่ม ซะแล้ว ... เครื่องกำลังติด กำลังเพลิน ก็ต้องกลับบ้านแล้ว ว้าาาา


เดินออกจากงานจริง แต่เรายังไม่กลับบ้าน ใช้พลังงานเดินไปเยอะ ต้องไปแวะเติมพลังก่อนค่ะ ... มื้อนี้น้องชายคนดีแนะนำ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ แถวประตูผี


มีทั้งก๋วยเตี๋ยวหมู ก๋วยเตี๋ยวปลา รสเผ็ดจัดจ้านสุดๆ กินไปซี๊ดปากไป กินยังไม่ทันหมดชาม เหงื่อตก ปากเจ่อ ซัดน้ำจนพุงกาง ... อิ่มแบบเหงื่อตกแล้ว ก็จัดระเบียบร่างกายขึ้นรถตุ๊กตุ๊กกลับบ้านกันค่ะ


เสียดายที่ปีนี้มีเวลาเดินนิดเดียว อดใจไว้รอปีหน้าค่อยไปเดินเล่นกันใหม่ ... นอกจากเดินเพลินแล้ว ยังได้ทำบุญด้วย สนุก และสุขใจ แบบนี้ ช้อบ ชอบ

2.4.54

Japanese Class #3

เรียนไป 2 คลาสแล้ว แต่ยังรู้สับสนกับตัวพยัญชนะ การเขียนพยัญชนะ และคำศัพท์ที่ได้เรียนรู้มา ... ก่อนจะเริ่มคลาสที่ 3 เลยต้องทบทวนความจำ เตรียมตัวกันสักหน่อยค่ะ


เพราะกลับมาเรียนช่วงค่ำวันเสาร์เหมือนเดิม ... สายๆ ก่อนที่คนดีจะมารับไปตะลอนทำธุระ เลยได้โอกาสทบทวนศัพท์ หัดเขียนพยัญชนะที่เรียนมา และลอกศัพท์ 40 กว่าคำที่ได้มาลงสมุดบันทึกเล่มเล็กเก็บไว้ท่องจำ ... ทวนแล้ว ท่องแล้ว ก็ยังแค่พอคุ้นหูคุ้นตาอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้กระเตื้องขึ้นเท่าไหร่เล้ยยยย


ถึงเวลาเริ่มเรียน เซ็นเซให้ปิดสมุดแล้วถามศัพท์ที่เรียนไปแล้ว ... ตอบผิดมากกว่าถูก ตามคาด ... เซ็นเซเห็นแบบนี้แล้วเลยบอกข่าวดีว่า คลาสหน้าจะมี test คำศัพท์ ไทย-ญี่ปุ่น และ ญี่ปุ่น-ไทย 20 คำ จาก 50 คำ ที่ได้เรียนไป ให้ท่องซะ


แล้วก็เข้าสู้การเรียนกันต่อ ... คลาสนี้ได้พยัญชนะเพิ่มอีก 15 ตัว na ni nu ne no ha hi fu he ho ma mi mu me mo


รู้จักพยัญชนะเพิ่มขนาดนี้ คำศัพท์ที่ได้เรียนคลาสนี้เลยเพิ่มมาแบบเท่าตัวเลย ได้ศัพท์ใหม่ๆ เพิ่มมาอีก 50 กว่าคำ ... อ่านกันจนมึน


เดชะบุญ ที่เซ็นเซเลือกสอบแค่ 20 คำ จาก 50 คำแรกที่สอนไป ... ถ้าเลือกจาก 100 คำ หล่ะก็ ผลการทดสอบคงออกมาน่าขายหน้าแน่ๆ


เป็นสัปดาห์ที่ต้องท่องศัพท์ และหัดเขียนพยัญชนะอย่างจริงจัง ... ก็เป็นนักเรียนที่อาวุโสสุดในคลาส ถ้าได้คะแนนน้อยที่สุดคงน่าขายหน้าแย่ ... ต้องรอลุ้นผลคลาสหน้าว่าจะออกมาเป็นยังไง ตอนนี้ก็หมั่นท่องศัพท์เอาไว้ดีที่สุด

1.4.54

กลับฐานที่มั่นเดิม

หลังจากเก็บของ ย้ายฐานที่มั่น มาราวๆ 2 เดือนนิดๆ ก็ได้เวลาย้ายกลับมาประจำการที่เดิมแล้วค่ะ


พื้นที่ชั้นล่างของออฟฟิศที่โดนทุบ รื้อ และตกแต่งใหม่เป็นจุดแรก ... จากที่โดนทุบซะจำเค้าเดิมไม่ได้ ก็ค่อยๆ มีความคืบหน้าเป็นรูปเป็นร่างเป็นห้องให้เห็นขึ้นมาเรื่อยๆ จนเกือบจะเรียบร้อย ก็ได้เวลาย้ายสมาชิกลงมาประจำการ เพื่อจะทำการปรับปรุงชั้นบนต่อ


เราเองไม่ลำบากเก็บของเท่าไหร่ เพราะของที่เก็บตอนย้ายขึ้นยังอยู่ในกล่อง ในหีบ ในห่อ พร้อมจะย้ายลงอยู่แล้ว ... ส่วนสาวๆ ที่นั่งประจำการชั้นบน ก็เอิกเกริกวุ่นวายสักหน่อย เพราะต้อง รื้อ คัด จัด แยก เก็บของเตรียมย้ายลง


แม้เราไม่ต้องวุ่นวายเก็บของ แต่ก็ต้องวุ่นกับสารพัดช่างต่อ ทั้งช่างแอร์ ช่างตู้สาขาโทรศัพท์ และช่างคอมฯ ที่มาเซ็ทระบบแลน ... ต้องจัดลำดับเข้ามาเตรียมงานให้พร้อม


สาวๆ เองก็แต่งตัวเตรียมพร้อมลุย พร้อมยก พร้อมย้าย พร้อมมอม ... ช่วงเช้าเคลียร์งานกันเรียบร้อย พอบ่ายก็ปิดการสื่อสารทั้งหมด ทำการย้ายโต๊ะ ย้ายของ ลงมาจัดที่นั่งตามมุมต่างๆ ชั้นล่าง


กว่าจะจัดการทุกอย่างลงตัว เรียบร้อย และใช้งานได้ ก็วุ่นวาย เวียนหัว และ เหนื่อยยยยยย มากกกกกกก