30.7.54

ภารกิจ พิษณุโลก


จู่ๆ ก็มีพิเศษนอกสถานที่ค่ะ ... เรื่องของเรื่อง คือ คนดีต้องไปแก้ไขงานให้ลูกค้าที่พิษณุโลก เลยอยากจะหนีบเราไปเป็นเนวิเกเตอร์นำทางด้วย

จริงๆ คนดีก็ไปพิษณุโลกหลายรอบแล้ว พอจะคุ้นเคยทางอยู่บ้าง แต่ไปคนเดียวก็อ้างว้างไปสักนิด เลยอยากมีใครไปด้วยให้อุ่นใจ ... เราเองก็อยากจะไปด้วย แต่ติดคิวหมอนัด พาหมาโม่ไปตรวจตาอีกรอบ เอายังไงดีหล่ะ

คนดีเลยวางแผนสำรอง ชวนโซ้ยอี้ไปเป็นเพื่อน จะได้พาแวะไหว้พระด้วย ... ส่วนเราก็ทำการตกลงกับหม่ามี้ ให้รับหน้าที่พาหมาโม่ไป แล้วหนีบเจ้าน้องชายไปด้วย แต่ถ้าคิวเจ้าน้องชายไม่ว่าง เราก็คงต้องสละหน้าที่ตุ๊กตาหน้ารถ

สรุปว่าล็อคคิวเจ้าน้องชายได้ เราก็เลยไปได้อย่างสบายใจ ... คนดีเลยมีเพื่อนร่วมทาง 2 คน อุ่นใจสุดๆ

ออกเดินทางแบบเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน กว่าจะออกเดินทางก็แปดโมงกว่า แล้วแวะปั๊มเป็นระยะ ... รถไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ แต่แวะกินขนม แวะเข้าห้องน้ำ แวะให้โซ้ยอี้ได้ยืดแข้งยืดขาบ้าง ... กว่าจะถึงพิษณุโลกก็บ่ายโมงนิดๆ

มาถึงแล้วก็ต้องแวะไหว้พระพุทธชินราชกันตามธรรมเนียมค่ะ ... ไหว้พระเรียบร้อย ก็ช้อปปิ้งประดาของฝากทั้งหลาย ซื้อครบถ้วนตามรายการแล้วก็ได้เวลาเติมพลัง

เลือกร้านประจำร้านเดิม ก๋วยเตี๋ยวห้อยขา ริมน่าน ... ผ่านมาแวะทางนี้ทีไร แวะกินร้านนี้ทุกที แล้วก็สั่งเมนูเดิมๆ


ตราบใดที่รสชาติยังถูกปากเหมือนเดิม หรือ ไม่ย้ายร้านหนีหายไปไหน ก็คงจะอุดหนุนกัน เป็นลูกค้าประจำกันไปเรื่อยๆ หล่ะค่ะ

อิ่มแล้วก็ได้เวลาทำงานค่ะ ตอนแรกตั้งใจว่าจะตรงเข้าไปที่ไซท์งานเลย จัดการงานจบ แล้วค่อยเข้าที่พัก ... แต่เราสองคนสงสารโซ้ยอี้ที่จะต้องไปนั่งแกร่วรอในไซท์งานที่ยังไม่เรียบร้อย เลยสรุปว่าจะส่งโซ้ยอี้ไปพักผ่อนก่อน แม้โซ้ยอี้ยืนยันว่าจะไปด้วยก็ตาม

ที่พักครั้งนี้สุ่มเสี่ยงหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ท ดูสภาพจากรูป และข้อมูลที่เจอก็ลองเสี่ยงดู ... เข้าที่พักแบบงมหาทางไป เพราะแผนที่ไม่ชัดเจน เกือบหลง เกือบเลยอยู่หลายตลบ จนต้องโทรถามทางกับทางโรงแรม

แล้วก็ไปถึง โรงแรมไอยรา แกรนด์ พาเลซ จนได้ ... เลี้ยวเข้าซอยไปมาดูลึกลับสักหน่อย แต่สภาพอาคาร สถานที่ สภาพห้อง เห็นแล้วสบายใจค่ะ


ใหม่ สะอาด ไม่พลุกพล่าน แต่ก็ไม่วังเวงจนเกินไป ... อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบถ้วน แอร์ ทีวี ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น อุปกรณ์อาบน้ำ พร้อม ... สำรวจห้องเรียบร้อย ก็ปล่อยให้โซ้ยอี้ได้พัก ส่วนเราสองคนก็ลุยงานกันต่อ

สองคนมุ่งหน้าไปไซท์งานที่เต็มไปด้วยช่าง และผู้รับเหมา แล้วยังมีทีมพนักงานที่เข้าไปจัดสต็อกสินค้า เตรียมตัวขายอีก ... เราสองคนจัดเป็นผู้รับเหมาเหมือนกัน แลกบัตรเข้าไซท์งาน ไปติดต่อพีซีที่ดูแลลูกค้ารายนี้เพื่อเข้าไปแก้ไขงาน

ไปปีน ไปเจาะ ไปยิง ไปเชื่อม ไปติด วุ่นวายกับ 1 ป้ายสินค้า และ 2 ชั้นโชว์สินค้า อยู่ร่วมๆ 2 ชั่วโมง ... มึน เหนื่อย เมื่อย ร้อน และหิวววววว

จัดการงานเรียบร้อยก็รีบมารับโซ้ยอี้ทันทีค่ะ ... ผู้โดยสารขึ้นรถครบแล้ว ก็ออกตระเวนหาร้านอาหารกัน เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เลือกแบบสุ่มเสี่ยง เพราะไม่รู้จะกินอะไร ที่ไหนดี ลองหาข้อมูลจากร้านแนะนำทั้งหลายแล้ว ก็มีตัวเลือกเยอะเหลือเกิน

สุดท้ายสุ่มเลือกร้านอาหารที่เป็นแพอยู่ริมน้ำ ... เลือกได้แล้วก็กางแผนที่หาทางไปกันค่ะ แต่หลงวกไปวนมาอยู่หลายตลบกว่าจะถึงร้าน เพราะเส้นทางที่เลือกใช้นั้น มีปิดบางส่วนเป็นถนนคนเดินพอดี ก็เลยต้องหาเส้นทางอื่น กว่าจะหาทางใหม่ไปถึงได้ ก็หิวไส้กิ่ว

พอเลี้ยวเจอะ ร้านแพอาหาร ฟ้าไทย แล้วเห็นมีที่จอดรถว่าง ก็ปราดไปจอดเลยค่ะ ... แหมมมม ถนนคนเดินอยู่เยื้องกับร้านพอดิบพอดี ถ้าไม่ต้องวนอ้อมหาทางมา ก็คงถึงไปนานแล้ว

ถึงร้านตอนหิวๆ ก็ต้องพึ่งพนักงานช่วยแนะนำอาหารให้หล่ะค่ะ เพราะหิวจนตาลาย เลือกไม่ถูก ... แล้วก็โชคดีจริงๆ ที่เจอพนักงานมืออาชีพ แนะนำอาหารได้เป๊ะมากๆ จานไหนดี จานไหนเด็ด จัดมานำเสนอครบถ้วน ทั้ง ต้ม ผัด ทอด ถามส่วนประกอบ และความแตกต่างก็ให้คำอธิบายได้ชัดเจน ปลื้มมมม


รอไม่นานอาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟค่ะ ยอดฟักแม้วน้ำมันหอย  อร่อยอย่างที่ควรจะเป็นค่ะ ... ลูกชิ้นปลากรายลวก  เนื้อนุ่มไปนิด ไม่เหนียวหนึบเคี้ยวมัน ... ลาบปลาเค้า  รสชาติใช้ได้ค่ะ แต่มากินตอนมืดๆ แบบนี้ กินไป ก็ต้องระวังก้างไป ... แกงส้มผักรวมปลาช่อน เข้มข้น ถูกปาก แต่พอเจอะก้างเข้าไป ก็หยุดกินเนื้อปลา ซัดแต่ผักกับน้ำแกง ... และ น้ำพริกเกาะติด จานนี้ถูกปากถูกใจเป็นที่สุด เป็นจานเด่นโดนใจของโต๊ะเราเลย คนดีกวาดน้ำพริกซะเกลี้ยงไม่ให้เหลือติดถ้วยเลย

อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาพักผ่อน สอบถามเส้นทางกลับไปโรงแรมให้ชัดเจน จะได้ไม่ต้องหลงไปมาให้เสียเวลาอีก ... เรามีปัญหาการมองเส้นทางในความมืด แล้วสายตาสั้นอีก แว่นตาก็ไม่ได้ติดไป อ่านป้ายอะไรไม่ถนัดเลย

เลาะมาเข้าเส้นที่คุ้นตาแล้ว ก็กลับถึงโรงแรมเรียบร้อย ... เข้าห้องพักได้ ก็ทยอยอาบน้ำ แล้วก็สลบไปทีละรายค่ะ

เช้าวันรุ่งขึ้นตื่นมาเจอฝนพรำฉ่ำชื่นใจ เลยกว่าจะตื่น กว่าจะลงมากินข้าว ก็ยืดยาดอยู่พอสมควร ... กินกันไปคุยกันไป เพลินจนเกือบเที่ยง ก็รีบเช็คเอาท์มุ่งหน้ากลับค่ะ มีแผนไปแวะซื้อของฝากระหว่างทางกันต่อ
 
เป็นทริปที่เกิดแบบปุบปับ แต่เดินทางแบบเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน ... ไม่แน่ใจว่ามาทำงาน หรือ มาเที่ยวกันแน่

29.7.54

ตามกระแสปรุงฉัตร


ช่วงนี้ละคร เมียแต่ง กำลังฮิตค่ะ ... และที่โดดเด่นเด้งเข้าตาก็คงไม่มีอะไรเกินไปกว่าสีปาก ของปรุงฉัตร ที่สีสดใส ลอยเด้งเป็นสีปากแบบ 3D ตลอด


ตามดูละคร แบบดูไปก็ชื่นชมฝีมือการแต่งหน้าของช่างแต่งหน้าด้วย ... เพราะแต่งหน้าแบ่งคาแรคเตอร์ระหวห่าง ปรุงฉัตร กับ อรุณประไพ ชัดเจน


ปรุงฉัตร จัดหนัก จัดเต็มทั้งตา แก้ม ปาก โดยเฉพาะสีปากที่มีทั้ง แดง ชมพู ส้ม สดใสเด่นเด้งตลอด ... ส่วนอรุณประไพ ปากสีหวานๆ ตาเบาๆ แต่เป็นตาเบาแบบมีเหลือบนิดๆ มองเพลินๆ


เช้าวันนึงระหว่างนั่งแต่งหน้าแบบครบสูตร เพราะบ่ายมีนัดไปประชุมกับลูกค้า ก็ควานเจอลิปสติกสีแดงที่มีอยู่ในกรุ ... ลืมไปแล้วว่าตัวเองมีลิปสีแดงกับเค้าด้วย เพราะซื้อมานาน แล้วหาโอกาสทาไม่ได้สักที


เอาหล่ะ วันนี้ใส่เสื้อดำ ลงสีตาไม่หนักพอดี งั้นก็คว้าลิปแดงมาลงซะเลย ... ใครถามจะได้บอกว่าตามกระแสปรุงฉัตร เพราะร้อยวันพันปี ไม่เค้ย ไม่เคย ทาลิปแดงเลย ... เพราะคิดว่าถ้าจะทาปากแดง ต้องเป๊ะ เสื้อ หน้า ต้องลงตัวไปด้วยกัน วันนี้เหมาะหล่ะ


ผลปรากฎว่า สาวๆ ที่ออฟฟิศกิ๊วก๊าวถูกใจ ว่าปากแดงได้ใจมาก ... ส่งไปให้คนดีดู ก็ถูกใจ ... อัพรูปขึ้น fb ก็มีเสียงทักทายแบบอุ่นหนาฝาคั่ง แม้จะมีบางเสียงบอกว่าดูโหด แต่เสียงชมก็ไม่น้อย ... รอดแล้วเรา แสดงว่าทาปากแดงก็เกิดอยู่


ช่วงบ่ายออกไปประชุมกับลูกค้า เกรงว่าทาจัดปากแดงเต็มพิกัดไป ลูกค้าจะตกใจว่าแต่งหน้าไปข่มขวัญรึเปล่า ... เลยจัดการเปลี่ยนสีปากใหม่ เลือกใช้สีสุภาพ กลางๆ เอาไว้ จะได้ไม่ดูดุดันนัก


ผลมาอย่างที่เห็นค่ะ สุภาพ เรียบร้อย เบาๆ จนดูจืดไปสักหน่อย ... สงสัยจะเป็นเพราะชินกับปากแดงมาครึ่งค่อนวันแล้ว พอเจอปากสีเดิมๆ เรียบๆ เลยดูจืดไปถนัดใจ


ส่งรูปไปให้คนดีดูอีกรอบ ก็ได้คำตอบกลับมาว่าซีดไป ชอบแบบรอบเช้ามากกว่า ... โอ้ว ติดใจปากแดง แบบจัดเต็มเหรอคะ


นานๆ ทาลิปสติกสีแดงสักที ก็เพิ่มสีสันให้ชีวิตดีนะคะ

27.7.54

ฉลองครบรอบแต่งงาน

พอจะรู้อยู่ว่าวันครบรอบแต่งงานของหม่ามี้กับพ่อตรงกับวันที่เท่าไหร่ ... แต่ไม่ค่อยได้มีส่วนร่วมนัก เพราะเค้าแอบไปฉลองกันเอง หรือไม่ก็ไปกับเพื่อนๆ


แต่ปีนี้พ่อมากำชับไว้ว่า เย็นวันที่ 27 ไปกินข้าวฉลองครบรอบแต่งงานกัน พ่อเลือกร้านไว้แล้ว ... บอกมาแบบนี้ ก็จัดการเคลียร์คิวรอไว้ทันทีค่ะ


ตอนแรกเห็นว่าจะไปร้านโคขุน แต่ไปๆ มาๆ กลายมาเป็น บุฟเฟ่ต์อาหารญี่ปุ่น ที่ ไดอิจิ โรงแรม ดิ เอมเมอรัลด์ ... จะร้านไหนก็ไม่มีปัญหาค่ะ


นัดเจอกัน 18.30 น. ที่ร้านเลยค่ะ พ่อจะไปจากที่ทำงาน ... หม่ามี้ ไปพร้อมเรากับคนดี ... เจ้าน้องชายกับแฟน ก็ไปเจอที่นั่น


หม่ามี้ เรา คนดี กำลังจะเดินเข้าประตูโรงแรม ก็เจอเจ้าน้องชายมากับแฟนพอดี เลยได้ยกพลไปพร้อมกัน ... ไปถึงห้องอาหารก็เจอพ่อนั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้ว ... สมาชิกพร้อมหน้า ก็ลุยตักอาหารกันเลยค่ะ


ที่บ้านเราชอบไปบุฟเฟ่ต์ เพราะเลือกตักอาหารได้ตามชอบใจ ใครชอบอะไร มากน้อยแค่ไหน ก็รับผิดชอบกันเอง ... มาแลกกันชิมบ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่ไม่มีตักเผื่่อกันมาแน่นอน เพราะยึดกฎกันว่า ใครตักคนนั้นรับผิดชอบ

เดินเลือกอาหาร ตักอาหาร มานั่งกินกันไป คุยกันไป เรื่อยๆ เพลินๆ ... ข้อดีของที่นี่คือไม่จำกัดเวลานั่งทานอาหารค่ะ ทานได้เรื่อยๆ สบายๆ ตามแต่ท้องจะรับไหว ... แต่สองทุ่มกว่า ก็ท้องเต่ง พุงตึง ครบถ้วนทั้งอาหารคาว อาหารหวานค่ะ


อิ่มกันถ้วนหน้าก็ได้เวลากลับ แต่ก่อนจะกลับมีเซอร์ไพรส์เล็กๆ จากพ่อ ให้หม่ามี้ ... เป็น ช่อดอกกุหลาบสีแดง 38 ดอก มาเติมความพิเศษให้วันพิเศษค่ะ


ครบรอบ 37 ปี บังเอิญได้นั่งโต๊ะหมายเลข 37 พอดี ส่วนดอกไม้แถมเกินมา 1 น่าจะบวกเพิ่มเพื่อเอาไว้ ... กุ๊กกิ๊ก เล็กๆ น้อยๆ ช่วยให้สดชื่นดี


โชคดีที่ หม่ามี้กับพ่อเจอกัน ตกลงปลงใจใช้ชีวิตด้วยกัน ถึงได้มีเราเกิดมาเป็นตัวเป็นตนแบบนี้ ... และโชคดีที่รักกันกุ๊กกิ๊กหนุงหนิง ไม่มีปัญหาใหญ่โต จนต้องแยกย้ายกันเดินคนละทาง


ได้มานั่งเป็นพยาน เห็นความรักเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่มายาวนานแบบนี้ ก็พลอยทำให้หัวใจชุ่มชื่นตามไปด้วย ... รักหม่ามี้กับพ่อ ค่ะ

26.7.54

กิ๊ก+ป๋า @ สปาเก็ตตี้เฮ้าส์

คุณกิ๊กของเรา ไม่ได้เป็นแค่กิ๊กเท่านั้น แต่ยังเป็น "ป๋า" ด้วยค่ะ


จากเดิมที่ได้ตำแหน่งกิ๊ก ก็ตามนิยาม "มากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน" ... ส่วนตำแหน่งป๋า ก็เพราะ "ป่ารักเด็ก" ค่ะ รักเด็กตัวจริงเสียงจริง ตั้งแต่เด็กตัวเล็กตัวน้อย ไปยันเด็กโตนั่นหล่ะค่ะ


และที่สำคัญที่ควรจะได้เป็น ป๋า ก็คือ "น้ำใจ" ล้นเหลือค่ะ ... สาวๆ ที่ออฟฟิศ ได้รับของกำนัลจากป๋าเรื่อยๆ หล่ะค่ะ ส่งของกินขนมนมเนยมาเผื่อแผ่ถึงสาวๆ เป็นระยะ


ล่าสุดสาวฝนบ่นคิดถึง ไม่ได้เจอกันนาน บอกผ่านสายโทรศัพท์ไปว่า "เมื่อไหร่พี่จะมาเลี้ยงข้าว" ... เท่านั้นหล่ะค่ะ วิญญาณป๋ามาเลย บอกเรามาว่านัดวันกินข้าวกันได้เลย ถามน้องเลยว่าอยากกินอะไร วันไหนบอกมา


พอบอกสาวฝน กับ สาวบี สองสาวตาโตตกใจว่าจริงเหรอ ... อะฮ้า ไม่รู้จักป๋าซะแล้ว


นึกหาร้านอาหารว่าจะกินอะไรกันดี สุดท้ายก็ลงตัวที่ สปาเกตตี้เฮ้าส์ ... เลิกงานแล้วมารวมตัวกันที่ออฟฟิศ ก่อนจะขึ้นรถไปด้วยกันคันเดียว จะได้นั่งเม้ามอยกันเต็มที่ แล้วยังประหยัดน้ำมัน และไม่ต้องกังวลเรื่องที่จอดรถด้วย


ขนมปังกระเทียม สลัดทูน่า ผักโขมผัดเบคอน ตับทอดกระเทียม สปาเก็ตตี้หอยลาย สปาเก็ตตี้ปลาเค็ม สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า สปาเก็ตตี้ผัดขี้เมาทะเล ... (ไม่มีรูปนะคะ เพราะที่ร้านไม่ให้ถ่ายรูปค่ะ) ไม่แน่ใจว่าจำรายการอาหารครบรึเปล่า เพราะสั่งมาอย่างละจานบ้าง สองจานบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือ หมดเรียบทุกจาน


กินไป เม้าท์ไป ดูละครค่ำไป อิ่มท้องตึง ก็ต้องคิดตังค์ค่ะ ... บิลมา ป๋าควักกระเป๋าจ่าย ก่อนจะยืนยันหนักแน่นไม่รับตังค์จากสาวๆ ทำเอาสองสาว กับคนดี งุนงงไม่แน่ใจว่าจริงเหรอ


ก็บอกแล้ว ว่ากิ๊กฉันอ่ะไม่ธรรมดา ... กิ๊กฉันเนี่ย ป๋าสุดๆ

24.7.54

Arrietty

หลังจากกลับมาเป็นขาประจำดูหนังในโรงหนงของเครือเอเพ็กซ์ ก็ได้เห็นหนังตัวอย่างน่าสนใจหลายเรื่อง ที่เข้าฉายแบบ Exclusive เฉพาะที่นี่เท่านั้น ... หนึ่งในนั้นก็คือ Arrietty นี่หล่ะค่ะ


Arrietty ... มหัศจรรย์ความลับคนตัวจิ๋ว

เป็นอนิเมชั่น จาก สตูดิโอ จิบลิ ที่เล่าถึงเรื่องราวของคนตัวจิ๋ว ... มีสาวน้อย อาริเอตี้ สาวตัวจิ๋ว อายุ 14 ที่อาศัยอยู่กับพ่อแม่ในมุมเล็กๆ ของบ้านหลังหนึ่ง

ครอบครัวคนตัวจิ๋วจะทำการ ขอยืม ของต่างๆ จากข้าวของเครื่องใช้ในบ้านของมนุษย์ ซึ่งจะต้องหยิบยืมไปโดยไม่ให้เป็นที่สังเกต ... และต้องระวังตัว อย่าให้มนุษย์เห็น เพราะถ้ามนุษย์เห็นเมื่อไหร่ คนตัวจิ๋วก็ต้องย้ายที่อยู่ ไปตั้งรกรากที่ใหม่

แล้ววันนึง โช หลานชายเจ้าของบ้านก็ย้ายเข้ามารักษาตัวที่นี่ แล้วก็บังเอิญเห็นอาริเอตี้เข้า ... จะเกิดเรื่องราวอะไรกับครอบครัวคนตัวจิ๋วของอาริเอตี้บ้าง





(ขอบคุณคลิปจาก Mlovemovies )


เป็นอนิเมชั่นสวยๆ ที่เล่าเรื่องราวง่ายๆ ดูได้เพลินๆ ค่ะ ... สำหรับเราที่กำลังเรียนภาษาญี่ปุ่น ก็เป็นการหัดฟังเสียงให้คุ้นๆ หูไปด้วย ตลอดเรื่อง ฟังเข้าใจแค่ประโยคเดียว


ดูหนังจบแล้วก็ชวนให้สงสัยว่า จะมีคนตัวจิ๋วแบบนี้อยู่จริงรึเปล่าน้อ

23.7.54

Gizmo : น่าสงสาร

ถึงกำหนดตรวจตาของกิซโม่อีกแล้วค่ะ ... แผลที่มีจะดีขึ้นรึเปล่าน้อ


รีบออกจากบ้านคนดีแต่เช้า เพราะต้องรีบมายื่นบัตร รับบัตรคิว ... คนดีแวะมารับหม่ามี้ กับ หมาโม่ ที่บ้านแล้วตรงไป รพ. พอส่งเราเรียบร้อย คนดีก็เลยไปทำงานต่อเลย ... ขอบคุณนะคะที่มาส่ง


ขนาดไปยื่นบัตรก่อน 8 โมง ยังได้คิวหกสิบกว่า ... หาที่นั่งรอปักหลักกันอย่างจริงจัง ให้หม่ามี้ได้หม่ำข้าวเช้า ส่วนเราก็อ่านนิยายที่ติดไปเรื่อยๆ


ปักหลักนั่งรอตรงแถวโรงอาหาร เลยได้ลมเย็นๆ สบายตัว และสบายใจเพราะไม่ต้องเห็นหมาแมวป่วยผ่านหน้าไปมาตลอดเวลา ... แต่ก็มีรอบๆ ตัว เพราะทุกคนก็รอคิวตรวจกันอยู่ หม่ามี้เลยได้นั่งคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน


ถึงคิวตรวจ รอบนี้ เราเป็นคนจับตัวหมาโม่เอาไว้ คุณหมอจับย้อมสี ส่องตาเหมือนเดิม แผลยังคงมีอยู่ แต่อาการดีขึ้น ทำการตรวจวัดน้ำตา ก็มีเพิ่มมากขึ้น ... คุณหมอขอลอกเยื่อตาอีกครั้ง เพื่อเร่งให้เนื้อเยื่อสมานแผล


เพราะเป็นคนช่วยคุณหมอ กับผู้ช่วย จับหมาโม่นอนบนเตียงตรวจ เลยได้เห็นขั้นตอนการลอกตาชัดเจน ... หลังจากหยอดยาชา คุณหมอก็เอาคอตตอนบัดเขี่ยที่ตาเลย เห็นชัดๆ ว่าเยื่อตาลอกออก เห็นแค่นี้ก็สงสารหมาโม่จับใจ ... แต่ยังไม่จบ คุณหมอเอาเข็มสะกิดที่ตาให้เป็นรอยแผลเล็กๆ เพื่อเร่งการสร้างเนื้อเยื่อ เห็นแล้วยิ่งสงสาร ลองคิดว่าถ้าเป็นเราคงทั้งเจ็บทั้งกลัว


หมาโม่ตัวน้อย โดนจับให้นอนนิ่งๆ ไม่คราง ไม่ร้อง ไม่หงุงหงิง อะไรเลย ... หม่ามี้เดินมาดู พอเห็นเข้าก็ถอยกลับไปตั้งหลักด้านหลัง เพราะถ้าดูคงเสียน้ำตาแน่ๆ ... เราเองที่เป็นคนจับ ก็ได้แต่กล้ำกลืนน้ำตาเอาไว้ สงสารหมาน้อยที่สุด


เห็นแบบนี้แล้ว ไม่แปลกใจเลย ถ้าหมาโม่จะโกรธ จะงอนเรา เพราะถูกจับให้ทำเจ็บๆ แบบนี้ ... เห็นแล้วก็รู้สึกว่าเหมือนพาหมาโม่มาเจ็บ แต่มันเป็นเรื่องจำเป็น เพราะถ้าไม่เจ็บก็ไม่หายนี่ ได้แต่หวังว่าอาการจะดีขึ้น เพราะถ้าไม่ดีขึ้น คงต้องโดนผ่าตัดแน่ๆ


ลอกตา สะกิดแผลเรียบร้อย คุณหมอก็นัดเจออีกทีสัปดาห์หน้า ... แล้วสั่งยาหยอด กับ ยากิน ช่วยลดปวด และการอักเสบ


หายดีเร็วๆ นะ หมาโม่

22.7.54

Japanese Class #14

กิจวัตรหลักประจำค่ำๆ วันศุกร์ เหมือนเดิมค่ะ ... เรียนภาษาญี่ปุ่น


คลาสที่แล้ว นั่งเรียนแบบเหงาหงอยตามลำพัง ... คลาสนี้ไม่เหงาแล้วค่ะ เพราะคนดีกับน้องชายคนดี กลับมาเรียนด้วยแล้ว ขาดก็แต่แฟนน้องชายที่ติดงานมาไม่ได้


คลาสนี้ sensei ทบทวนของคลาสที่แล้วให้ก่อน เพราะการเขียนตัวเลขที่เราเรียนไปยาวเหยียด มีทั้ง ฮิรากานะ และ คันจิ ... ถ้าจะข้ามไปไม่ทวนให้สักหน่อย เกรงว่านักเรียนที่ขาดจะงุนงง


เราเรียนแล้ว เลยสบาย นั่งดู นั่งให้กำลังใจ คอยช่วยบ้าง คอยขำบ้าง ... พักใหญ่ sensei ก็เริ่มบทเรียนใหม่ ให้ทำความรู้จักกับ katakana ค่ะ


เริ่มต้นที่การหัดเขียนตัวอักษรเหมือนเดิมค่ะ ... แต่เริ่มเรียนได้แค่หน่อยเดียว ก็หมดเวลา จบการสอน เก็บไว้ต่อคลาสหน้า


sensei บอกว่า คลาสหน้าจะมีการสอบวัดผลครั้งสุดท้าย มีทั้งแบบปรนัย และ อัตนัย ทั้งเรื่องคำศัพท์ และ การเขียนตัวอักษร ... ได้เวลาท่องศัพท์ให้แม่นนนนนนน อีกแล้วค่ะ

21.7.54

Gizmo : เจ็บตา

จากที่กิซโม่มีอาการตาขวาปริบๆ ทำตายิบหยี ไปหาหมอตรวจตา ได้ยากลับมาหยอดตา ได้ยากลับมากิน ... ดูอาการภายนอก ก็ยังเห็นทำตาปริบๆ ยิบหยีอยู่ ก็ไม่รู้ว่าอาการข้างในเป็นยังไงบ้าง ... หวังว่าจะดีขึ้นเน้อ


ครบกำหนด 3 วัน ที่คุณหมอนัดตรวจตาอีกที ... วันนี้ขอออกจากออฟฟิศก่อนเวลาเลิกงานสักหน่อย เพราะต้องรีบไปรับบัตรคิว ไม่อยากนั่งรอตรวจนานค่ะ


เราเข้าไปยื่นบัตร รับบัตรคิวก่อน ปล่อยให้หม่ามี้พาหมาโม่เดินเล่นเย็นใจ ... กลับออกมาอีกที หมาโม่ได้เพื่อนใหม่แล้ว เป็นชิวาว่าตัวจิ๋วเหมือนกัน โม่ทำเมินไม่สนใจเค้า เจ้าของเลยคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ก่อนเค้าจะขอตัวเข้าตรวจ


ส่วนหมาโม่ของเราก็เหมือนเดิมค่ะ ชะเง้อคอยืดคอยาวมองชาวบ้าน อยากทำความรู้จักไปทั่ว ทำตาโตบ้าง ตาหรี่ยิบหยีบ้าง สลับกันไป ... แต่พอถึงคิวเข้าตรวจก็จ๋อยสนิทค่ะ


คุณหมอส่องตา ย้อมสีตรวจตาเหมือนเดิม ... ผลที่ได้นั้น คือ แผลเดิมที่มี รอยแผลยาวขึ้น และมีแผลเพิ่มขึ้นอีกจุดนึงด้วย ... แผลรอบนี้ผลมาจากหม่ามี้ที่ใจอ่อน ไม่ใส่คอลลาร์เอาไว้ตลอด หม่ามี้สงสารโม่ เห็นว่ากินลำบาก นอนไม่สบาย เลยแกะคอลลาร์ออกให้ ซึ่งทำให้โม่มีโอกาสเกาตาตัวเอง จนเป็นแผลเพิ่มขึ้นได้ ... ได้ยินคุณหมอบอกว่ามีแผลเพิ่ม หม่ามี้เลยจ๋อยยยยยย ตามหมาโม่ไปด้วย


คุณหมอเลยทำการตรวจวัดค่าน้ำตาของโม่เพิ่ม ... ก็พบว่าน้ำตาน้อย ตาค่อนข้างแห้ง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้แผลหายช้าด้วย เลยขอพาหมาโม่ไปให้คุณหมอเฉพาะทาง ตรวจดูเพิ่ม


คุณหมออุ้มโม่หายไปสักพัก ก็พากลับมาคืน มาบอกว่า จะต้องทำการลอกเยื่อตา เพื่อกระตุ้นให้การสร้างเยื่อตาเพิ่ม เผื่อจะช่วยให้แผลสมานเร็วขึ้น ... หมอว่ายังไงก็ตามนั้นเลยค่ะ ถ้าจะทำให้ดีขึ้น ก็จัดเลยค่ะ


คุณหมออุ้มโม่หายไปสักพัก แล้วก็อุ้มมาคืน ตอนส่งคืนคุณหมอบอกว่า "ถ้าจะหยอดตายากนะคะ เพราะถีบสู้น่าดูเลย" ... ใช่เลยค่ะ หยอดตากันลำบากยากเย็นมาก เพราะมุดหน้ามุดตา ดิ้นหนี และถีบสู้ตลอด


รอบนี้คุณหมอย้ำให้ใส่คอลลาร์เอาไว้แตลอด แล้วสั่งยาหยอดตาเพิ่มอีกตัว ซึ่งต้องหยอดตาทุก 2 ชั่วโมง เพื่อช่วยรักษาแผล ... ค่ายาขวดเดียว เกือบ 900 โอ้ววววว ยาแพงจริง


กลับบ้านรอบนี้ หม่ามี้จัดการประดิษฐ์คอลลาร์เอง โดยเอาใบปลิวขายบ้านมาตัดตามแบบคอลลาร์ที่พ่อซื้อจากคลินิคมาให้ ... หม่ามี้บอกว่าคอลลาร์แบบพลาสติคแข็งเกินไป ค้ำคอหมาโม่ น่าสงสาร เลือกกระดาษแบบนิ่มกว่าหน่อยจะสบายกว่า


คราวนี้หม่ามี้ไม่ยอมใจอ่อนอีกแน่ๆ เพราะรู้แล้วว่า ถ้าใจอ่อนแล้วแผลเพิ่ม ... ต้องมารอดูผลกันว่า แผลจะดีขึ้นรึเปล่า เพราะคุณหมอนัด อีก 2 วันให้มาตรวจดูผลอีกที


เฮ้อออออออ สงสารหมาโม่หมาน้อยจริงๆ เลย

18.7.54

Gizmo : ตายิบหยี

ใกล้จะเลิกงาน มีสายโทรเข้าจากหม่ามี้มาเป็นมิสคอลอยู่ ... โทรกลับไปถามว่ามีเหตุอะไรพิเศษรึเปล่า คำตอบที่ได้คือ "หมาโม่ตาเจ็บหล่ะลูก"


หม่ามี้บอกว่า เห็นหมาโม่ทำตายิบหยีมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้ดูรอบตาแดงๆ และมีน้ำตาซึมออกมา น่าจะพาไปให้หมอตรวจสักหน่อย ... ลองส่องตาหมาโม่ดู ก็คิดว่า พาไปให้หมอตรวจดีกว่า เพราะตาโตเบ้อเร่อแบบนี้ นับเป็นจุดอ่อนที่ต้องระวังเป็นพิเศษ


พาไป รพ.สัตว์ ม.เกษตร ยื่นบัตรตรวจ รับบัตรคิว แล้วก็นั่งรอ ... ระหว่างรอก็นั่งมอง หมา แมว หลายพันธุ์ หลายสี เดินผ่านไปมา นั่งฟังชื่อแต่ละตัวก็เพลินดี


ระหว่างรอตรวจ กิซโม่ก็สนอกสนใจกับเพื่อนสี่ขาใกล้ๆ ตัว และที่เดินผ่านหน้า ... ทำตาโต ยืดคอ ทำจมูกฟุดฟิด ครางหงิงๆ อยากจะไปเล่น ไปรู้จักกับเค้าไปทั่ว


นั่งรออยู่พักใหญ่ ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเข้าตรวจ ... ทีนี้หล่ะ ที่เคยทำตาโต คอยืด คอยาว ก็กลายเป็นก้มหน้าก้มตา ถอยกรูดมายืนอยู่ริมเตียงตรวจ เอาตัวอิงเอาหัวซุกหม่ามี้ไว้


คุณหมอจับเปิดตา ส่องไฟดู แล้วก็ทำการย้อมสีตา เพื่อดูแผล ... ผลคือ มีรอยแผลที่กระจกตา สั่งให้ใส่คอลลาร์ และสั่งยาให้ไปหยอดตา แล้วนัดตรวจอีกที 3 วันข้างหน้า


ตรวจเรียบร้อยก็ให้หม่ามี้พาโม่ไปเดินเล่นให้สบายใจ ส่วนเรารอจ่ายตังค์ และรับยา ... ได้ยามาหยอดตา 3 ตัว เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน แล้วยังมียากินอีก 1 ด้วย ... หม่ามี้เลยมีงานเพิ่มเพราะต้องหยอดตาหมา ลูกชายตัวเล็กสุดที่รัก


ภารกิจเรียบร้อย ออกไปเจอหมาโม่วิ่งเล่นอย่างร่าเริง ... ลั้นลาแบบนี้ได้ก็เบาใจ อย่าให้ตาโตๆ ของหมาตัวเล็กๆ เป็นอะไรมากเล้ยยยยย

17.7.54

Harry Potter and the Deathly Hallows Part 2

แผนดูหนัง กับ ช้อปปิ้ง วันหยุดพลาดไป เพราะคนดีป่วย ... ส่งเข้านอนพัก รพ. รักษาอาการสักหน่อย วันนี้ก็ออกมาจัดการเก็บแผนเดิมค่ะ


ที่ต้องรีบมาเพราะว่า หนังที่เราสองคนอยากดู คือ Harry Potter and the Deathly Hallows Part ค่ะ ... รอคอยดู HP 7.2 ตอนจบ ตอนสุดท้ายจริงๆ แล้ว มาร่วมครึ่งปี ก็ตอน 7 ภาคแรก กับ ภาคสอง นี่เว้นช่วงนานเกิ้น


รีบตื่นแต่เช้าเข้าไปสยามค่ะ เพราะตั้งใจจะไปดูที่สกาล่า ...ไปถึงหน้าโรงหนังแบบฉิวเฉียดเวลาฉาย แต่ก็สบายใจได้ว่ามีที่นั่งว่างแน่ๆ แล้วเป็นที่นั่งราคาพิเศษด้วยค่ะ เพราะรอบเช้าวันเสาร์-อาทิตย์ ลดราคาเหลือ 80 บาท ทุกที่นั่ง ทุกที่นั่งจริงๆ ค่ะ เพราะที่นั่งที่เราเลือกนั้น ปกติราคา 120 บาท ก็ลดเหลือ 80 บาทด้วย เริ่ดที่สุด รักเครือเอเพ็กซ์จริงๆ เลย


การผจญภัยครั้งสุดท้ายจริงๆ แล้ว ของ 3 เพื่อนสนิท ที่ยังต้องตามหาฮอครักซ์ที่เหลืออยู่ ... การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ ครั้งสุดท้าย จะปิดฉากลงที่ฮอกวอตส์


เพลิดเพลิน ตื่นตา ตื่นใจ ลุ้นตามไปด้วย แม้เราจะเคยอ่านหนังสือมาแล้ว แต่ก็จำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ครบถ้วน ... นับเป็นการดูหนังที่คุ้มค่ามากกกกกก เพราะภาพที่เห็นในหนัง ตอบโจทย์จากจินตนาการที่อ่านจากหนังสือได้ ... และที่สำคัญ ได้ดูหนังฟอร์มยักษ์ หลังจากลงโรงฉายเพียง 3-4 วัน ในราคาคนละ 80 บาทเท่านั้น คุ้มยิ่งกว่าคุ้มค่ะ


ดูหนังจบแล้วก็ตะลอนช้อปปิ้งกันต่อค่ะ ... มีของใช้ กับ เครื่องสำอาง หมด 2-3 ชิ้น ต้องซื้อตุนไว้ เดินเล่น เดินดูของจาก CTW ไปต่อ โรบินสัน รัชดา ... คนป่วยพาคนไม่ป่วยตะลอนช้อปปิ้งสมใจซะจนเกือบจะหายป่วยเลยค่ะ


ขอบคุณคนดี ที่ชดเชยแผนที่พลาดไปอย่างสมบูรณ์ค่ะ ... ดีใจจริงๆ ที่มีคุณเป็นคู่หูไปไหนต่อไหนด้วยกันแบบนี้ ขอบคุณค่ะ

15.7.54

: 112 เดือน :

เศษเล็กๆ ของเราสองคนเดือนนี้ ตรงกับวันหยุดพอดี วางแผนจะไปดูหนัง กินข้าว ช้อปปิ้ง เอาไว้ยาวเหยียด ... ผลปรากฎว่า ผิดแผน อดหมดทุกรายการ


เพราะคนดีมีอาการปวดท้องตั้งแต่เย็นเมื่อวาน ปวดเป็นระยะ เรื่อยๆ จนค่ำ กินยารักษาอาการเองอยู่สักหน่อย ... แต่ราวๆ ตีสี่ ปวดมากจนทนไม่ไหว ตื่นมาปลุกเรา พร้อมกับเอ่ยปากว่าอยากไปหาหมอ ... คนไม่ชอบไป รพ เอ่ยปากเองแบบนี้ แสดงว่าคงปวดมากจริงๆ


คนปวดท้องมาก ลงไปแปรงฟัน เปลี่ยนชุดใหม่ ใส่เสื้อยืด กางเกงขายาว ... คนสบายดี หยิบกางเกงยีนส์ขาสั้นมาใส่ กับเสื้อยืดที่ใส่นอนตัวเดิม แล้วแค่ล้างหน้า กับ บ้วนปาก


คนสบายดีบอกให้เรียกแท๊กซี่ไป แต่คนปวดท้องมากบอกจะขับรถไปเอง ... คนปวดท้องมากคว้าถุงเท้ากับคอนเวิร์สคู่ใจจะมาใส่ คนสบายดีทักว่าใส่ crocs หรือ รองเท้าแตะที่ถอดง่ายๆ ก็พอ คนปวดท้องมากบ่นงึมงัมว่ากะแค่ใส่รองเท้ามันจะเสียเวลาอะไรนัก ... คนสบายดีได้แต่งง อ้าว ปวดท้องมากไม่ใช่เหรอเนี่ย


ขับรถไปถึง รพ. ติดต่อเวชระเบียน รอบัตรคิว เข้าพบหมอเวรที่ห้องฉุกเฉิน ... คนดีที่ใช้เวลาแปรงฟัน แต่งตัวเต็มยศ ปวดท้องจนยืนรอบัตรไม่ไหว เดินกระย่องกระแย่งไปหาที่นั่ง ... ต้องรอนานหน่อย เพราะมีหนุ่มน้อยไม่สบายมาพบหมอ ก่อนหน้าเราจะมาถึงกันพักเดียว


พอถึงคิวเข้าตรวจ หมอซักถามอาการ และประวัติอื่นๆ ตรวจดูจากสภาพการที่เป็นแล้วก็วินิจฉัยว่า "กระเพาะอาหารอักเสบ" ... เพราะคนดีกินอาหารไม่เป็นเวลา มื้อล่าสุดที่ได้กินไปคือ 11 โมง ของวันพฤหัส จนถึง ตี 5 ของวันศุกร์ มีนมขวดเล็กเพิ่มไปอีกขวดแค่นั้น


หมอถามว่าปวดมากมั้ย ทนไหวรึเปล่า ถ้าปวดทนไม่ไหวจะสั่งฉีดยาให้ แต่ถ้าพอทนได้ก็เป็นยากินอย่างเดียว ... คนดีปวดมากขอฉีดเลย แต่พอขึ้นนอนบนเตียงเตรียมฉีดยา ใจก็ร่วงหายไปตาตุ่ม


เพราะจุดที่จะฉีดยาคือ ข้อพับแขน ... เป็นจุดอ่อนของร่างกาย เพราะหาเส้นยาก เจาะเลือดตรวจสุขภาพทีไร เป็นต้องโดนควานให้เจ็บทุกที เลยแหยง ... พอรู้ว่าต้องฉีดยาเข้าตรงนี้ขวัญเลยลอยกระเจิง อาการเป็นอย่างที่เห็นในรูปค่ะ


ฉีดยาเรียบร้อย จ่ายตังค์ รับยากิน ก็กลับบ้านกันได้ ... ก่อนกลับแวะตลาดเช้าตรงวัดแขกสักหน่อย แวะซื้อของกินกันเอง แล้วซื้อฝากน้องๆ ที่บ้านด้วย ... กลับถึงบ้านก็กินข้าว กินยา เรียบร้อย ก็เข้านอนค่ะ


สิบเอ็ดโมงนิดๆ คนดีบ่นปวดท้องอีกแล้ว ดูเวลารีบจับกินยาก่อนอาหาร ... รอเวลายาออกฤทธิ์ แล้วลงไปกินมื้อเที่ยง กินยาหลังอาหาร แล้วรีบจับให้นอนพักต่อ ... ราวๆ บ่ายสองโมง คนดีตื่นมาบ่นปวดท้องอีก จากเดิมที่ปวดท้องเหนือสะดือ เปลี่ยนไปปวดท้องใต้สะดือ ลองสอบถามอาการดูให้แน่ใจว่า ไส้ติ่งรึเปล่า ... ดูแล้วก็ไม่น่าใช่ เพราะปวดทั่วกันหมด ไม่ได้ปวดเฉพาะฝั่งขวา


จับให้กินยาลดการปวดเกร็งในท้องอีกเม็ด แล้วให้นอนพักต่อ ... ราวๆ สี่โมงเย็น คนดีตื่นเพราะทนปวดไม่ไหว เอ่ยปากชวนไปหาหมออีกรอบ ... รอบนี้เราอาบน้ำ แต่งตัวพร้อม เก็บของพร้อม เพราะเดาได้ว่า ต้องโดนแอดมิทแน่ๆ


คนป่วยขับรถไป รพ. เองเช่นเคย แต่รอบนี้จอดบนอาคารจอดรถเรียบร้อย ก่อนจะกระย่องกระแย่งมาติดต่อเวชระเบียน แล้วถูกส่งเข้าไปนอนรอให้ห้องฉุกเฉินเลย ... เพราะมาตรวจรอบเช้าแล้ว แต่ยังไม่หาย เลยถูกส่งไปนอนรอให้หมอมาดูอาการ


ระหว่างรอหมอ ก็มีเจ้าหน้าที่มาถามอาการ สักพักคุณหมอก็มาดูอาการ ถามอาการ ตรวจสภาพ ... คนป่วยขึ้นเตียงนอนแล้วเหมือนช็อค นอนนิ่ง ไม่ตอบอะไร ... คนสบายดีเลยเล่าอาการเป็นฉากๆ ตามลำดับเวลา แบบละเอียดที่สุดเท่าที่จะจำได้


คุณหมอดูอาการแล้วก็ไม่แน่ใจ เพราะจุดที่ปวดท้องรอบเช้าหาย แต่ย้ายมาปวดจุดอื่น ... ประกอบกับคนดีมีอาการ "กระเพาะปัสสาวะอักเสบ" นิดหน่อย แต่ไม่ได้แจ้งหมอเมื่อเช้า ... คุณหมอเลยขอให้แอดมิทนอนดูอาการว่าจะเป็น "ไส้ติ่งอักเสบ" รึเปล่า


พอสั่งแอดมิทแล้ว เจ้าหน้าที่ก็รุมเลยค่ะ มีทั้งยื่นเอกสารห้องพัก เอกสารรับรองค่าใช้จ่าย เอกสารตรวจเลือดเผื่อต้องผ่าตัด ต้องเก็บปัสสาะวะเผื่อตรวจฉี่ แล้วก็ต้องให้น้ำเกลือ ... คนดีนอนตาปริบๆ ใจเสีย เพราะไม่เคยต้องนอน รพ.


พอโดนเข็มน้ำเกลือเข้าไป คนป่วยยิ่งจ๋อย นอนนิ่งสนิท ... ก่อนจะถูกส่งตัวไปเอ็กซเรย์ปอด ส่งขึ้นห้องพัก ... พอส่งคนดีเข้าห้องเรียบร้อย เราก็ไปจัดการเอกสารที่ต้องให้เจ้าหน้าที่เพิ่ม ไปหยิบของที่รถ และขอแวบไปซื้อมื้อเย็น


กลับเข้าห้องมา เตียงคนไข้ว่าง อ้าว คนไข้หายไปไหน ... นั่งรอสักพักก็กลับมา ถูกพาไปอัลตราซาวด์ค่ะ เพราะคุณหมอดูผลเลือด กับผลปัสสาวะแล้ว ค่าที่ได้มามีความเสี่ยงที่จะเป็นไส้ติ่ง คุณหมอเลยขออัลตราซาวด์เผื่อเช็คให้ชัดเจน ... ถ้าผลอัลตราซาวด์ออกมาว่าไส้ติ่งอักเสบแน่ๆ คืนนี้ก็เข้าห้องผ่าตัดได้เลย


คนไม่เคยป่วย นอน รพ. เจอรุมเร้าขนาดนี้ และได้ยินแบบนี้ เลยยิ่งซีด ... ปวดท้องก็แย่แล้ว ใจร่วงหายไปอีกต่างหาก นอนนิ่งไม่ขยับเลย ... เห็นแบบนี้ทั้งขำ ทั้งสงสาร


กลายเป็นวันพิเศษที่ต้องมาฉลองกันใน รพ. เป็นประสบการณ์ใหม่ ... จะสบายดี หรือ จะป่วย ก็รักเหมือนเดิมทุกวันนะคะ คนดี

10.7.54

ทริป ส ว บางสะพานน้อย #2

ย้อนไปดูการเดินทางวันแรก ที่นี่ ค่ะ


มาทริป ส ว แบบนี้ ไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกค่ะ เพราะบรรดา ส ว ตื่นมาเอิกเกริกทุกทีค่ะ ... ทริปนี้ใกล้ๆ 6 โมง ก็ตื่นกันแล้วค่ะ ตื่นมาส่งเสียงจ้อกแจ้ก ชี้ชวนกันดูดวงอาทิตย์ขึ้น


เรานอนเงี่ยหูฟังสักพัก ก็จับความได้ว่า มองเห็นไม่ชัด เพราะมีเมฆบัง เราเลยไม่ตื่นลุกมาดู นอนต่อดีกว่า ... แต่นอนได้ไม่นานหรอกค่ะ เจ็ดโมงก็ตื่นแล้ว เพราะทั้งเสียง ส ว คุยกัน และกลิ่นอาหารมื้อเช้าลอยมา


ตื่นมาอาบน้ำ แต่งตัว เก็บของเตรียมตัวพร้อม แล้วออกไปหม่ำมื้อเช้าค่ะ ... เป็นมื้อเช้าที่ปรุงกันเอง พ่อโชว์ฝีมือเอง เอาข้าวผัดที่เหลือจากเมื่อคืนมาอุ่น แล้วทอดไข่ดาวเพิ่ม ... ตอนแรกพ่อตั้งใจจะทำไข่กระทะ แต่ไม่ได้แวะซื้อเครื่องเคียง และส่วนผสมเพิ่ม เลยเหลือแต่ไข่ดาว ... อุปกรณ์ที่ขนมาได้ใช้ แม้จะไม่เต็มประสิทธิภาพอย่างที่ตั้งใจก็ตาม


อิ่มมื้อเช้าแล้ว แยกย้ายกันอาบน้ำ เก็บของเตรียมกลับ ... แต่งตัวเรียบร้อย เก็บของเรียบร้อย แต่ก็ยังกลับไม่ได้ค่ะ เพราะปูที่สั่งไว้ยังไม่มาสักที ... รอ ร้อ รอ อยู่จนสิบโมง ปูก็มาส่งค่ะ


ปูนึ่ง 3 กิโล ที่พอยกมาวางปุ๊บ ก็โดนทุกคนรุมล้อมประทุษร้าย ... ทุบ ตี ฉีก ทึ้ง ส่งเข้าปากกันหนุบหนับ ปูสดๆ นี่เนื้อหวานนนนนนนน อร่อยยยยยย โดยไม่ต้องพึ่งน้ำจิ้มค่ะ


จัดการปูเรียบร้อยสมใจแล้ว ก็ขนของขึ้นรถ ออกเดินทางกันต่อค่ะ ... เป้าหมายต่อไป ร้านหนูโภชนา แถวบ้านกรูดค่ะ


เล็งร้านนี้ไว้เป็นมื้อเย็นเมื่อวาน แต่ติดที่ระยะทางเลยสลับมาเป็นมื้อเที่ยงแทน ... แต่ละคนได้ปูนึ่งรองท้องมาแล้ว พอมาถึงเลยตรงดิ่งไปซื้อของฝากก่อน ... หน้าที่สั่งอาหารก็ตกอยู่ที่เรากับพ่อ


ส้มตำทะเล กุ้งแช่น้ำปลา ปลาทรายทอดกระเทียม พล่ากุ้ง ปลาสำลียำมะม่วง ยำเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ต้มยำโป๊ะแตก และ ปลากระพงนึ่งมะนาว ... รสชาติอาหารใช้ได้นะคะ แต่รู้สึกว่าหวานโดดขึ้นมากว่ารสอื่นสักหน่อย เหมือนเมื่อก่อนจะครบรสกลมกล่อมกว่านี้


อิ่มแล้วก็ยิงรถยาวเข้าหัวหินค่ะ ... ตอนแรกหม่ามี้อยากแวะด่านสิงขรอีก แต่เราเอาขนมหวานมาเบี่ยงเบนความสนใจ ... โดยการเสนอว่า แวะไปซื้อขนมร้านแม่เก็บ กินไอติมเจ้าอร่อยที่หัวหินดีกว่า ... หม่ามี้เลยยอม


ไปถึงร้านแม่เก็บก็เกือบบ่ายสามแล้ว ขนมเด่นๆ หมดไปหลายอย่าง ... เสียใจเล็กน้อย รีบไปกินไอติมกันดีกว่า ระหว่างทางไปร้านไอติม ก็มีเสียงลอยมาว่า อยากกิน ลอดช่องสิงคโปร์ลุงดำ


ตัดปัญหาด้วยการแวะ ร้านชายไอศครีม ก่อน สั่งไอติมกันคนละถ้วยบ้าง สองถ้วยบ้าง ตามแต่ชอบค่ะ ของเราเป็น เผือกล้วน ... อิ่มจากไอติมแล้ว ก็แวะไปร้านลอดช่อง ตบท้ายให้หายอยาก แบ่งกัน 2-3 คน ถ้วยนึง เพราะท้องตึงกันถ้วนหน้า


ภารกิจอิ่มท้องเรียบร้อย ก็เตรียมตัวกลับบ้านได้แล้วค่ะ ... แต่ก่อนจะกลับก็ต้องแวะซื้อของฝากอีกหน่อย เพราะขบวน ส ว ชุดนี้ ชอบซื้อของกันเหลือเกินค่ะ ทั้งร้านของฝาก และ เพิงริมทาง ... ปล่อยผู้ใหญ่ซื้อของไป เราซึ่งเป็นก๊วนเด็กแถวหลัง ก็หลับกันเพลิน


ขามาย่นระยะทางจากแผนเดิมไปพอสมควร พอขากลับก็วิ่งวนส่งผู้โดยสารกันสนุกค่ะ ... เริ่มจากรายแรก ส่งอาที่บ้านโป่ง ราชบุรี ... แล้วเลยต่อไปส่งน้าอีกคนที่ ท่ามะกา กาญจนบุรี


นานๆ มาที ทางไม่ค่อยคุ้น แล้วยังมืดอีก เลยเล็งทางกันลำบาก เกือบหลง เกือบเลย เหมือนเคยค่ะ ... นั่งรถกันเหนื่อย จนต้องแวะหาร้านฝากท้องมื้อเย็น จริงๆ ควรจะเรียกมื้อค่ำ เพราะกว่าจะได้กินก็ 2 ทุ่มแล้วหล่ะค่ะ


เจอร้านระหว่างทาง มีรถจอดคึกคักอยู่หน้าร้าน หน้าตาร้านดูสะอาดสะอ้าน ใหญ่โต เลยเลี้ยวรถเข้าไป แม้ชื่อร้าน กบทอด จะทำให้หวั่นใจก็ตาม


เลือกเมนูง่ายๆ กินง่าย กินเร็ว ... ปลาช่อนเลาะก้างทอดน้ำปลา ปลาอินทรีย์เค็มทอดยำ ทอดมันปลากราย ยอดฟักแม้วผัดน้ำมันหอย ไก่รวนเค็ม ต้มยำปลาคัง ... อร่อยทุกอย่างค่ะ


เราโปรดปรานปลาอินทรีย์เค็มอยู่แล้ว พอเจอเมนูนี้เลยสั่งมายีคลุกข้าว แล้วกินกับผัดผัก และกับอื่นๆ เพลิ้น เพลิน ค่ะ ... เป็นร้านบังเอิญเจอที่น่าประทับใจมากค่ะ พ่อถึงกับหมายมั่นว่าจะหาโอกาสกลับมาชิมอีก


ส่งผู้โดยสารต่างจังหวัดเรียบร้อย ก็ได้เวลาเข้ากรุงเทพฯค่ะ ... ส่งผู้โดยสารแถว กรุงเทพ-นนท์ 1 ราย ลาดปลาเค้า 1 ราย ลาดพร้าวอีก 1 ราย ... ส่งท้ายจุดสุดท้ายที่สุทธิสาร ตอนเที่ยงคืนพอดีเป๊ะ


เป็นอีกทริปที่นั่งรถตะลอนเหนื่อย พอๆ กับ กินเหนื่อยค่ะ ... ทริป ส ว เป็นแบบนี้ทุกที นั่งรถเยอะ กินแยะ และหลงเล็กน้อย ... ได้ยินแว่วๆ ว่า ทริปหน้าจะไปกาญจนบุรี ยังไม่รู้ว่าจะเที่ยวตรงไหน พักที่ไหน แต่ก็พอเดาได้ว่า เหนื่อยแน่ๆ ฮู้วววววววว

9.7.54

ทริป ส ว บางสะพานน้อย #1

คณะ ส ว รวมตัวกันมีทริปตะลอนทัวร์อีกแล้วค่ะ ... คาดว่าจะเป็นทริปที่เหนื่อยตั้งแต่ยังไม่เริ่มเดินทาง เพราะแค่ฟังแผนการเดินทาง ก็ท้อแล้ว


จุดหมายอยู่ที่ บางสะพานน้อย แต่พ่อมีแผนที่จะแวะรับ อาคนแรกที่บ้านโป่ง ราชบุรี แล้วไปรับน้าอีกคนที่ท่ามะกา กาญจนบุรี ... พอหม่ามี้ได้ยินแผนนี้ ก็นึกอยากจะกินก๋วยเตี๋ยวไข่ ที่ราชบุรีด้วย และอยากจะแวะไปเดินชมตลาด ที่ด่านสิงขร ... เราฟังแผนแล้วจะเป็นลม เพราะแค่นั่งรถขาไปอย่างเดียวคงไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมงแน่ๆ


บ่มงึมงัมอยู่หลายวัน ว่าจะเอาจริงเหรอ สุดท้ายแผนก็เปลี่ยนค่ะ ... น้ากับอาทั้งสองคนจะเข้ามาตั้งต้นที่บ้านเหมือนเคย โล่งอกไปเปลาะนึง ... แต่เวลาล้อหมุน ยังคงเป็น ตี 4 เหมือนเดิม


เลิกเรียนภาษาญี่ปุ่นตอน 5 ทุ่มกว่า ให้คนดีเคลียร์งานอีกหน่อยก็เที่ยงคืน แล้วมีคุยธุระต่อกับน้องชายอีกพักใหญ่ ... กว่าจะออกจากบ้านคนดี หาแท๊กซี่กลับมาบ้านเราได้ ก็เกือบตี 2 พอดี ... คนดีอาบน้ำมาจากบ้านแล้ว ก็เข้านอนเลย ส่วนเราอาบน้ำเสร็จนอนไปได้ชั่วโมงนิดๆ ก็มีเสียงมาเคาะประตูเรียก ... ไปวิ่งผ่านน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ก็แต่งตัวเตรียมพร้อม


กว่าจะรวมตัวสมาชิก ส ว ครบ ออกเดินทางได้ก็ ตี 5 พอดี ... ส ว 7 คน ขึ้นรถได้ก็เม้าท์กันเพลิน เรากับคนดี และหมาโม่ ที่เป็นเด็กแถวหลัง ขึ้นรถได้ก็หลับแข่งกัน


มาตื่นก็ตอนถึงร้านข้าวแกงแม่ล้วน แถวเพชรบุรี ... ลงรถไปเติมพลังด้วยข้าวราดแกงกันคนละจาน ก็กลับมาขึ้นรถ ส ว ก็เม้าท์กันต่อ ส่วนเด็กแถวหลังก็หลับกันต่อ


ตื่นอีกรอบตอนถึงจุดหมายแรก ด่านสิงขร ... พอรู้มาบ้างว่าเป็นตลาดริมชายแดน ไทย-พม่า และขึ้นชื่อเรื่อง กล้วยไม้นานาพันธุ์


พอไปถึง ภาพที่เห็นก็ไม่ต่างจากที่คาดไว้ค่ะ เป็นตลาดที่ขายของทั่วไป ... ที่เห็นเยอะๆ ก็เป็นกล้วยไม้นานาชนิด ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหลาย และพืชผักผลไม้สารพัด ... ตอนไปถึงอากาศดี๊ดี ลมเย็น สบาย เดินชมตลาดได้เพลินๆ ได้ของติดไม้ติดมือมาคนละนิด คนละหน่อย


ช้อปปิ้งพอใจแล้ว ก็ได้เวลาหม่ำมื้อเที่ยงค่ะ ... ย้อนจากด่านสิงขร กลับเข้ามาที่ตัวเมืองประจวบฯ กันค่ะ เพราะร้านที่พ่อเล็งไว้สำหรับมื้อนี้ คือ ร้านรับลม ค่ะ


จัดเป็นร้านดัง เพราะเราไปถึงก่อนเที่ยงพักใหญ่ ก็มีลูกค้านั่งรออยู่หลายโต๊ะแล้ว พอเที่ยงลูกค้าก็ทยอยเข้ามาเต็มทุกโต๊ะ ... อาหารที่สั่งไป ต้องรอนานสักหน่อย เพราะต้องทยอยออกมา ... ในรูปเป็นส่วนนึงที่สั่งไปค่ะ ถ่ายรูปเก็บมาไม่หมด เพราะเกิดเหตุหมาโม่ แหกกระเป๋า มุดหนี วิ่งจู๊ดดดด ออกไปให้ต้องไล่ตามจับกัน


เหนื่อยจากการไล่ตามหมาน้อย ก็กลับมาหม่ำต่อค่ะ ... รสชาติอาหาร อร่อยค่ะ จานที่เป็นผัดฉ่า เผ็ดร้อนถึงใจสุดๆ แกงส้มมาน้ำใสๆ แต่เครื่องเข้มข้น ... เก็บร้านนี้เข้าลิสท์ร้านโปรดไว้เลยค่ะ


อิ่มแล้วก็ขึ้นรถ เดินทางกันต่อค่ะ ... ตามสไตล์ทริป ส ว ต้องแวะไหว้พระ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ จากร้านรับลม ไม่ไกลศาลหลักเมือง ก็ต้องแวะกันสักนิดค่ะ


นอกจากจะได้สักการะศาลหลักเมืองแล้ว พอดีมีเต้นท์ตั้งชวนหล่อเทียนพรรษาอยู่ด้านหน้า ... ขบวน ส ว เลยได้โอกาส ทำบุญเพิ่มอีกหน่อย ... ทำบุญเรียบร้อย ก็เดินทางกันต่อค่ะ ยังต้องไปอีกไกล


เด็กแถวหลังพอขึ้นรถได้ ก็เข้าสู่โหมดเดิมค่ะ หลับแข่งกันทั้งคนทั้งหมา ... เรามารู้สึกตัวตื่นเพราะรู้สึกรถโคลงไปมา ปรือตามาดูก็เห็นว่ากำลังขึ้นเขา เดาได้เลยว่า กำลังขึ้นมา เขาธงชัย แน่ๆ


เราเองเคยขึ้นมาบนนี้หลายครั้งแล้ว เพราะบ้านเพื่อนอยู่ที่บางสะพานน้อย แวะมาเที่ยวหลายหน มาทีไร ก็ขึ้นมาไหว้พระ สักการะเสด็จเตี่ย และชมวิวบนนี้ทุกที ... วิวสวย อากาศดี เหมือนเดิมค่ะ


ภารกิจบนเขาเรียบร้อย หม่ามี้ กับ ป้า น้า อา ก็ชวนกันไปช้อปปิ้งตลาดนัดตรงด้านล่าง ที่เห็นก่อนขึ้นเขา ... ตุนเสบียงกินเล่น กินจริงจัง เผื่อไว้หลายขนาน ... ได้ช้อปปิ้งสบายใจ ก็เดินทางกันต่อค่ะ ต้องไปเสาะหาบ้านพักที่พ่อจองไว้สำหรับทริปนี้

จากเขาธงชัยแถวบ้านกรูด กว่าจะไปถึงบางสะพานน้อย ก็ต้องงมทางกันพอสมควร เราเคยมาเมื่อนานแล้ว จำทางได้เลาๆ เลือกใช้ทางเลาะไปด้านใน ... แต่เลาะไปเลาะมาพ่อเริ่มไม่วางใจ เลยวนออกไปวิ่งถนนหลักอย่างเพชรเกษมดีกว่า


ผลปรากฎว่า ทางที่เราเลือกจะเลาะมาก็น่าจะมาโผล่ตรงใกล้ทางเข้าที่พักมากกว่า ป้า น้า อา บนรถ เลยส่งเสียงแซวพ่อเล็กน้อย ... เกือบหลง เกือบเลย เป็นเหตุประจำสำหรับทริป ส ว ค่ะ และแล้วเราก็ถึงที่พักสำหรับทริปนี้ บ้านปริมรีสอร์ท


เป็นที่พักที่เจ้าของบ้านทำเอง ไม่เชิงรีสอร์ท แต่ก็ไม่เชิงโฮมสเตย์ มีบ้านพักอยู่ 4-5 หลัง เราได้บ้านพักหลังใหญ่สุดค่ะ มี 2 ห้องนอน ... หน้าตาบ้านพักอาจจะไม่สวย ไม่เก๋ แต่จุดเด่นของที่นี่คือ อยู่ติดกับชายหาดเลยค่ะ บรรยากาศดี วิวดี จากบ้านพักมองเห็นทะเล สบายยยยยยย


ภายในห้องพักมี ฟูกนอน หมอน ผ้าห่มพร้อม ... มีทีวี พัดลม แต่ไม่มีผ้าขนหนูนะคะ ... ห้องน้ำมีทั้งในห้อง และนอกห้อง ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ต้องอาบน้ำแบบเย็นสดชื่น ... มีตู้เย็นกับน้ำดื่มให้ ไม่มีอาหารเช้า ไม่มีห้องอาหาร แต่สามารถขับรถออกไปสักหน่อย ไปสั่งอาหารร้านใกล้ๆ ได้ค่ะ


ตอนแรกตั้งใจจะกินอาหารร้านอร่อยแถวบ้านกรูด แต่พอเจอระยะทางที่ห่างกันร่วม 60 กม. ก็เปลี่ยนแผนมาฝากท้องร้านแถวนี้ดีกว่า ... เราอยากกินปูนึ่ง แต่ปูหมด ทางร้านบอกเป็นช่วงเช้าได้มั้ย ขึ้นจากเรือมาสดๆ แล้วจะเอามาส่ง


โอเค รอได้ค่ะ มื้อเย็นก็กินอะไรง่ายๆ อย่าง ปลาสามรส กุ้งอบ หมึกนึ่งมะนาว ผัดผัก และข้าวผัดปลาเค็มไปก่อน ... อิ่ม อร่อย แบบสบายๆ


อิ่มแล้วก็ดูทีวี อาบน้ำ เตรียมเข้านอน ... อากาศดี๊ดี นอนหลับสบายค่ะ แม้จะไม่มีแอร์ แต่ก็นอนสบาย ตกดึกจัดว่าหนาวเลยหล่ะค่ะ


ขอนอนพักเอาแรงก่อนนะคะ ส่วนวันรุ่งขึ้นจะมีอะไร ติดตาม ที่นี่ ค่ะ

8.7.54

Japanese Class #13

คลาสเรียนภาษาญี่ปุ่นครั้งที่ 13 เลขเฮง Lucky Number ... เฮงจริงๆ ค่ะ เพราะคลาสนี้เหลือเราเป็นนักเรียนเพียงคนเดียว


คนดีนั่งอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่ได้เรียนด้วย เพราะต้องเคลียร์งาน เคลียร์เอกสาร เคลียร์แบบส่งให้ลูกค้า ... น้องชายคนดีเองก็ติดพันอยู่กับงาน ต้องเคลียร์อีกนาน น่าจะกลับมาเรียนไม่ทัน ... แฟนน้องชายคนดีเองก็ติดพันช่วยงานอยู่ด้วย


เห็นหน้า Sensei แล้วสงสาร เพราะตั้งใจมาสอน มาเจอนักเรียนติดงานกันหมด ... เราเลยบอกว่าเรียนคนเดียวก็ได้ค่ะ


คลาสนี้ Sensei สอนเรื่องตัวเลขต่อค่ะ ... คลาสที่แล้วเรียน หลักหน่วย หลักสิบ หลักร้อย ไปแล้ว ... คลาสนี้มาต่อที่ หลักพัน หลักหมื่น หลักแสน หลักล้าน และหลักสิบล้าน


ดูเหมือนจะเรียนง่ายนะคะ แต่ก็ยาก ท่องจำอ่ะ ไม่ยากเท่าไหร่ค่ะ แต่ยากตรงต้องเขียนนี่ซิคะ ... ตอนแรกคิดว่าเขียน Kanji ยาก แต่พอเป็นตัวเลขที่มีหลักเยอะๆ แล้ว Kanji เขียนง่ายกว่า Hiragana เยอะ ค่ะ


เป็นคลาสที่ต้องจดลงสมุดเยอะมาก ... เรียนแบบแน่นๆ เต็มๆ จดอย่างสนุกสนาน จดไปราว 5-6 หน้าได้ สงสารคนดีกับน้องๆ ที่จะต้องมาจดตามจริงๆ เลย


เรียนจบตรงเวลาแบบไม่เหนื่อยมาก แต่มึนงงกับตัวหนังสือเหลือเกินค่ะ

7.7.54

Transformer 3 : Dark of The Moon

หนังเข้ามาร่วมสัปดาห์ กว่าจะจัดคิวไปดูได้ ... จะพลาดได้ยังไงหล่ะคะ ก็ดู ทั้งภาค 1 ภาค 2 มาแล้ว ภาค 3 เข้าฉายแบบนี้ ยังไง้ ยังไง ก็ต้องดู


ภาคนี้นอกจากจะมีหนังในระบบ Digital แล้ว ยังมีแบบ 3D 4D ให้เลือกด้วย ... แต่เราขอผ่านค่ะ ขอดูแบบธรรมดา ราคาสบายกระเป๋า ที่เครือเอเพ็กซ์ดีกว่า


แต่แล้วความตั้งใจที่ไปอุดหนุนเครือนี้จำต้องงด เพราะเวลารอบฉายไม่สะดวกค่ะ เลยหันไปซบ SF ... รอบนี้คนดีน่ารัก เพราะเสร็จจากงานไปถึง CTW ก่อน เลยจัดการจองตั๋วไว้เรียบร้อย ... เราที่จับรถ MRT ต่อ BTS ตามไปสมทบ พอไปถึงก็หาอะไรหม่ำ แล้วก็เตรียมตัวดูหนังได้เลยค่ะ


( ขอบคุณภาพโปสเตอร์จาก movienang.com )

เรื่องย่อ

แซม วิทวิคกี้ กำลังย่างก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ เริ่มต้นความสัมพันธ์กับสาวคนใหม่ และ หางานทำอย่างจริงจัง ... แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาสถานะการเป็นมิตรกับ ออพติมัส ไพรม์ เอาไว้


เบื้องหลังของภาคนี้ มีเรื่องราวของการแข่งขันทางอวกาศระหว่าง สหภาพโซเวียต กับ สหรัฐอเมริกา เมื่อในอดีตอยู่ด้วย ... ซึ่งส่งผลกับสงครามระหว่าง ดิเซ็ปติคอน กับ ออโต้บอท ด้วย


หนังตื่นตา ตื่นใจ ตามสไตล์ทรานส์ฟอร์มเมอร์หล่ะค่ะ ... ส่วนตัวรู้สึกว่า ภาคนี้มันส์สุด สนุกสุด ดูมีเนื้อหา ที่มาที่ไป เป็นเหตุเป็นผล ... ฉากต่อสู้ แปลงร่างของหุ่นทั้งหลาย แม้จะวูบวาบ แต่ไม่วุ่นวาย ลายตา แม้จะยังงุนงง จำไม่ได้ว่าหุ่นตัวไหนอยู่ฝั่งไหน แต่ก็ไม่มึนเท่าภาคก่อน


ดูมัน ดูเพลิน หนังจบมาแล้วยังอยากดูต่อ ... ถ้ามีภาค 4 ออกมา ก็ยังจะตามมาดูอีกหล่ะค่ะ

5.7.54

ของจากญี่ปุ่น

บล็อกหน้าที่แล้วพาดพิงถึงคุณกิ๊กนิดหน่อย ... บล็อกหน้านี้ก็ยังพาดพิงถึงอีกค่ะ เพราะคุณกิ๊กถูกส่งตัวไปอบรมที่ญี่ปุ่นราวๆ 20 กว่าวัน เราเลยได้โอกาสทำรายการฝากซื้อแนบไปด้วย ... ประดาของที่่ได้กลับมานั้นมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ


เริ่มจากรายการ ของซื้อฝาก ที่คุณกิ๊กมีน้ำใจ เห็นแล้วนึกถึง และหอบหิ้วกลับมาให้ ... ขอบคุณมากค่ะ


แยกชิ้นดูชัดๆ ... ถุงผ้า Stitch เห็นแล้วกรี๊ดกร๊าดถูกใจ เพราะได้ใช้แน่ๆ ... สติกเกอร์ Stitch ไม่กล้าแกะใช้ค่ะ เสียดาย เก็บไว้ก่อน ... Pretz รสวาซาบิ ลองชิมแล้ว อร่อยแบบแปลกๆ หวานนิดๆ แล้วมีเผ็ดซ่าที่ปลายลิ้นนิดๆ


KitKat กล่องเขียว ที่ลองชิมแล้วแต่ไม่รู้ว่าเป็นรสอะไร กลิ่นหอมๆ รสหวานๆ อร่อยดีค่ะ ... KitKat กล่องดำ เข้าใจเอาเองว่าน่าจะเป็นดาร์คชอคโกแลต เพราะดูจากสีและรูปบนกล่อง แต่ยังไม่ได้ลองแกะชิม เลยสรุปไม่ได้ว่าความเข้าใจของตัวเองนั้นถูกรึเปล่าค่ะ


มาต่อกันที่ ของฝากซื้อ ที่คุณกิ๊กรับรายการ ไปตามหามาให้ แล้วได้มาครบซะด้วย ... ขอบคุณมากๆๆๆ ค่ะ


สารพัดอาหารเสริมของ DHC ... ล้วนเป็นรายการอาหารเสริมที่ DHC ประเทศไทย ยังไม่นำเข้ามาจำหน่าย จำไม่ได้แล้วค่ะว่าสั่งอะไรไปบ้าง ตอนลิสท์รายการก็ไม่คิดว่าจะได้มาครบ ทำเผื่อเหลือเผือขาดไป ... เปรียบเทียบราคาขนาดบรรจุ สำหรับทาน 20 วัน 30 วัน และ 60 วัน ไปให้คุณกิ๊กตามหา


เป็นการฝากซื้อของแบบที่สั่งไปว่า ได้แค่ไหนแค่นั้น เจอก็เอา ไม่เจอก็ปล่อยผ่านเลย ไม่ต้องตามล่าหา เพราะเกรงใจ เอาแบบที่คนไปสะดวกและสบายที่สุด เพราะคุณกิ๊กไม่ได้ไปอยู่เมืองใหญ่อย่างโตเกียว ... คุณกิ๊กบอกว่า บังเอิญเจอร้านที่ขายของ DHC ครบถ้วน เลยสบาย สอยมาได้ครบ


บอกคุณกิ๊กไปว่า ถ้า DHC ไม่มี หรือหาไม่ได้ ไม่เป็นไรเลย แต่ของที่ขอให้มีติดมา เพราะมั่นใจว่าน่าจะหาไม่ยาก คือ KitKat รสชาเขียว ค่ะ ขอ 1 กล่องใหญ่ ที่มี 10 กล่องเล็ก ... นิตยสารญี่ปุ่นที่แถมกระเป๋า จะเป็นเล่มไหนก็ได้ เลือกมาให้เลย ฝากซื้อไปเล่มเดียว แต่คุณกิ๊กจัดมาให้ 2 เริ่ดดดด


แล้วยังมี ของฝากหิ้วไปหิ้วมา จาก King Power ด้วยค่ะ ... เหมือนเป็นธรรมเนียมที่ถ้ามีใครไปต่างประเทศ ก็จะแวะไปดูของที่คิงเพาเวอร์สักหน่อย ถ้ามีของที่ใช้ประจำขาดก็สบาย ซื้อแล้วฝากหิ้วไปหิ้วมา


รอบนี้ไม่มีของที่ใช้ประจำขาดค่ะ แต่พอดียังมีสิทธิ Birthday ที่ยังไม่ได้ใช้ และกำลังนึกอยากได้ serum สักตัวมาลองใช้ เลยได้โอกาสนี้ สอย Clinique Repairwear Lasor Focus มาลอง ... ซื้อแพ็คคู่ในราคาที่นับว่าคุ้ม จ่ายราคาเต็ม แต่ได้เงินคืน 30% กลับมาในบัตรสมาชิก


เงินคืนที่ได้กลับมา ก็เป็นส่วนลดที่คนดีใช้ซื้อน้ำหอม ที่ได้ส่วนลดแล้ว ก็เอาเงินคืนที่ได้มาจ่ายส่วนที่เหลือ ส่วนต่างจากนั้นก็จ่ายเงินเพิ่มอีกหน่อย ... คุ้มค่ะ ... คุ้มเพราะเราคิดค่าน้ำหอมกับคนดีตามส่วนลดที่ได้ตอนแรก สำหรับส่วนลดของเงินคืนที่ได้มา ก็มาใช้ลดกับคลีนิคข์ของเรานี่หล่ะค่ะ ... ส่วน 2 ชิ้นที่แนบมานั้น พนักงานใจดี หยิบเป็นของแถมมาเพิ่มให้ค่ะ


จริงๆ ได้ของมาตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้วค่ะ แต่เพิ่งเปิดใช้เมื่อต้นเดือน จะลองติดตามผลว่าคลีนิคข์นั้น จะส่งผลกับสภาพผิวหน้าอย่างไร ... หวังว่าจะใช้ได้ดี ถ้ามีผลแตกต่าง Before-After ที่เห็นได้ชัดเจน ก็คงจะมีรีวิวให้เห็น


ฝากซื้อของจากญี่ปุ่นมาหลายรอบ ตอนนี้กำลังวางแผน เก็บข้อมูล และ pocket money จะไปลุยญี่ปุ่นด้วยตัวเองสักครั้ง ... นัดกับหมวยบีไว้เรียบร้อย 2012 เราจะไปลุยญี่ปุ่นกัน

4.7.54

เนื้อย่างแสนอร่อย


เราจัดเป็นคนนึงที่เป็น Meat's lover เพราะโปรดปรานเมนูเนื้อวัวมาก ... แต่โปรดปรานแบบนานๆ กินที กินเป็นช่วงๆ เท่าที่มีโอกาส


ที่ไม่ได้กินบ่อยๆ เพราะหม่ามี้ไม่กินเนื้อ แต่สมาชิกในบ้านที่เหลือเลิฟเนื้อมาก นานๆ มีโอกาสก็กินสักหน่อย ... แล้วคนดีเองก็ไม่กินเนื้อ เวลากินข้าวด้วยกันก็แชร์อาหารกัน เพราะฉะนั้นก็ต้องงดเมนูเนื้อไปโดยปริยาย ... สาวๆ ในออฟฟิศส่วนใหญ่ก็ไม่กินเนื้อ ร้านอาหารแถวออฟฟิศ ก็ไม่ค่อยมีเมนูเนื้อขาย ... เพราะฉะนั้น เมื่อมีโอกาส ก็ต้องขอสักนิดค่ะ


ล่าสุดโอกาสก็ลอยมา เพราะคุณกิ๊กก็โปรดปรานเนื้อวัวเช่นกัน เลยชวนกันไปกินเนื้อย่าง ... เพราะในประดาเมนูปิ้งย่างทั้งหลายนั้น เนื้อวัว เนี่ย เด็ดที่สุด ... แล้วที่อยากกินเหมือนกันคือ อยากกินเนื้อดีดี ที่คัดเกรดมาแล้ว เพราะอยากซาบซึ้งกับความอร่อยอย่างเต็มที่


นัดกันแล้ว แต่มีเหตุด่วนให้ต้องเลื่อนนัดไปก่อน ... แล้วจู่ๆ คุณกิ๊กก็ส่งข้อความมาถามแบบด่วนว่า "ว่างมั้ย กินเนื้อย่างกันรึเปล่า" โอ้วววว รีบเคลียร์คิว ขอวีซ่าจากคนดีทันที


วีซ่าผ่านแล้ว ก็ต้องหาข้อมูลว่าจะไปฝากท้องกับร้านไหนดี เพราะคุณกิ๊กบอกว่าเลือกได้เลย ... เล็งไปเล็งมา เปิดหาข้อมูลจากหลายแหล่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกร้านใกล้ๆ ออฟฟิศ ที่เราเคยคุ้นดีกว่า นั่นก็คือ กิวกิวเต้


แต่เดิมที่เคยเปิดให้บริการแบบบุฟเฟ่ต์ เราก็มาใช้บริการประจำ ตอนนั้นก็ได้ยินว่ามีเนื้อดีดีให้บริการด้วย ... จนเปิดบริการโซนสำหรับเนื้อย่างโดยเฉพาะ ... ก่อนที่จะปิดบริการบุฟเฟ่ต์หมูกระทะไป แล้วเปิดขายแบบ a la carte อย่างเดียว


เราก็ไม่ได้แวะเวียนมาใช้บริการที่ร้านอีกเลย เพราะเข้าใจว่าที่ร้านขายแต่เนื้อวัว ไม่มีเนื้อหมู ... พอมาถึงร้านถึงได้รู้ว่า มีเมนูเนื้อหมูให้บริการด้วย แต่มีให้เลือกไม่มากเท่าเนื้อวัว ... แล้วเมนูเนื้อวัวที่มีหลากหลายนั้น ก็มีราคาตั้งแต่จานละ 250 ไปจนถึงหลายพันบาท


แค่เปิดเมนู ก็น้ำลายจะหยด เพราะเลือกไม่ถูกว่าจะสั่งอะไรมาลองดี ... เนื้อที่มีริ้วมันแทรกเล็กๆ เป็นลายสวย ละลานตาไปหมด ... โอ๊ยยยยยยยย ชอบจัง


เลือกเนื้อมาได้ 3 จาน และเบคอน 1 จาน สั่งผักสดมาแนมอีกหน่อย ... เตาพร้อม ตะเกียบพร้อม น้ำจิ้มพร้อม เนื้อพร้อม ก็ปิ้งเนื้อส่งเข้าปากเลยค่ะ ... จะทานเนื้อย่างให้อร่อย ต้องอย่าให้สุกมากนัก พอสุกนิดๆ สีเนื้อเปลี่ยน มีน้ำเนื้อซึมออกมา กลับด้าน รอแป๊บเดียว ก็ส่งเข้าปากเลยค่ะ


คำแรกที่ส่งเข้าปากไป โอ๊ยยยยยยยยยยย ซาบซึ้งน้ำตาจะไหล ... อร่อยมากกกกกกก ลองชิมรสชาติเนื้อเต็มๆ โดยไม่จิ้มน้ำจิ้มเลย หูยยยยยย ทั้งรส ทั้งสัมผัส สุดยอดดดดดดดดดดดดด


ค่อยๆ ปิ้งเนื้อ 3 อย่าง ส่งเข้าปากสลับกันไป จำไม่ได้ว่าจานไหนชื่ออะไรเป็นเนื้อส่วนไหน ... แต่ประทับใจ 2 ใน 3 จาน จานที่ไม่ประทับใจนั้น เพราะให้หมักเกลือมา รสเนื้อเลยเค็มไปนิด แต่พอกินกับน้ำจิ้มที่เตรียมไว้ ก็เข้ากันดีค่ะ ... เป็นการกินอาหารปิ้งย่าง ที่ใช้น้ำจิ้มน้อยมาก เพราะแค่รสเนื้ออย่างเดียวก็เด็ดดวงแล้ว ... ส่วนเบคอนอีกจานนั้น พอปิ้งแห้งๆ ก็อร่อยเริ่ดนะคะ


ปริมาณเนื้อเริ่มพร่องไปพอสมควร เรากับคุณกิ๊กก็ตกลงกันว่าจะลองสั่งมาอีกสักจาน ... จานนี้ขอลอง 1 ใน เมนูแนะนำ ที่พนักงานบอกว่า ฮอต ฮิต ติดอันดับ นั่นคือ กิวกิวเต้ ชื่อเดียวกับชื่อร้านเลยค่ะ


จานนี้จำราคาแม่น 500 บาท ... พอเห็นจานมาเสิร์ฟ เห็นลายมันที่แทรกอยู่ในเนื้อก็ใจเต้นโครมคราม อยากรู้ว่ารสชาติ และรสสัมผัส จะเป็นยังไง ... บรรจงคีบเนื้อวางบนเตา กลับด้าน แล้วส่งเข้าปาก ... อร๊ายยยยย สุดยอด อร่อยมากกกกกกกกกกกก เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงฮอต แล้วคุณภาพที่ได้นั้นก็สมราคาจริงๆ


ปิ้งย่างกันไป คุยกันไป พนักงานก็คอยมาดูแลเปลี่ยนตะแกรงย่างให้เรื่อยๆ ... แม้บรรยากาศร้านอาจจะไม่สดใสสวยงาม ดูเรียบๆ แต่คุณภาพเนื้อที่เคี้ยวตุ้ยๆ ในปากนั้น เริ่ดดดดดดดดด


อิ่มจากของคาวแล้ว ก็เดินไปตักของหวาน กับ ผลไม้ มาล้างปากค่ะ ตักได้ตามชอบใจ ทางร้านให้บริการฟรี ไม่คิดตังค์เพิ่มแล้วค่ะ ... ใครมาร้านนี้ แนะนำให้ลอง ลอดช่อง เพราะเคยติดใจตั้งแต่ตอนเปิดบุฟเฟ่ต์ ตอนนี้มาลองก็ยังอร่อยเหมือนเดิม


เนื้อ 4 จาน เบคอน 1 จาน ขนมหวาน กับ ผลไม้ กันคนละหน่อย ... แต่ทำเอาท้องตึงมาก เพราะอิ่มมากก ... คุณกิ๊กพาไปส่งบ้าน เราถึงบ้านปุ๊บ ก็ต้องจัดระเบียบร่างกายด้วยการกึ่งนั่งกึ่งนอน เพราะนั่งหลังตรงก็อึดอัด นอนราบก็อึดอัด


เป็นมื้อที่อร่อยสมใจ ถูกใจ ที่สุดค่ะ ... ต้องหาโอกาสกลับไปอีกแน่นอน เพราะแค่คิดถึงก็น้ำลายสอแล้ว

3.7.54

ใช้สิทธิ - ทำสวย - ช้อปปิ้ง -ช่วยเด็ก

"3 กรกฏา มีนัดกับประชาธิปไตย .......... " ท่อนหนึ่งของเพลงรณรงค์ให้คนออกไปใช้ิสิทธิเลือกตั้ง ได้ยินผ่านสื่อทั้งหลายจนติดหู ติดปาก เผลอร้อง เผลอฮัมอยู่บ่อยๆ


ได้ยินติดหู จนร้องได้ติดปากขนาดนี้ พอถึงวันเลือกตั้งก็ต้องรีบไปใช้ิสิทธิค่ะ ... ตื่นแต่เช้ารีบอาบน้ำแต่งตัว เดินไปหน่วยเลือกตั้ง ยื่นบัตร เข้าคูหา กาเบอร์ ..(อะไรน้อ).. แป๊บเดียวเท่านั้น ... ก็ใช้สิทธิของคนไทยเรียบร้อย


เสร็จแล้วก็ไปแต๊ดแต๋ ลั้นลา ร่าเริงได้ตามชอบใจ ... จับรถไฟฟ้าเข้าไปพารากอน ตรงไป DHC Olive Beauty ค่ะ มาใช้ voucher ที่ซื้อตุนไว้ พักผ่อนเติมความสวยให้ตัวเองสักหน่อยค่ะ


คราวนี้เลือก Onzen with DHC Olive Virgin Oil + Q10 Body Treatment เหมือนเดิมค่ะ ... กะจะแช่น้ำร้อนๆ คลายกล้มเนื้อ แล้วนวดผ่อนคลายซ้ำอีกหน่อย


พนักงานให้บริการดีเหมือนเดิมค่ะ เสิร์ฟน้ำเก็กฮวยหอมๆ เย็นๆ แล้วให้เลือกกลิ่นผงแช่ และ กลิ่นอโรมา ... รอบนี้เลือกผงแช่กลิ่นกุหลาบ แล้วเลือกกลิ่นซากุระให้จุดหอมชื่นใจตอนนวด


ครั้งก่อนที่แช่ออนเซ็น คิดว่ารับมือกับอุณหภูมิน้ำที่ร้อนชวนสะดุ้งได้แล้ว ... แต่ครั้งนี้กลับมาสะดุ้งเหมือนเคยค่ะ เลยไม่แน่ใจว่าครั้งที่แล้ว อุณหภูมิน้ำอุ่นสบายกว่าปกติ หรือ ครั้งนี้อุณหภูมิน้ำร้อนกว่าปกติ ... แต่ก็กลั้นใจหย่อนตัวลงแช่ได้ตามเวลา


แช่น้ำสบายตัวแบบร้อนสะดุ้งยิบๆ นิดๆ แล้วก็ขึ้นมานั่งพัก ก่อนจะเริ่มกระบวนการนวดผ่อนคลาย ... นวดตัวสบายๆ ไปพร้อมกับได้กลิ่นอโรมาหอมๆ ผ่อนคลายทั้งตัว และใจค่ะ ... ชอบบบบบบบบบบที่สุด


การได้นวดผ่อนคลาย ในบรรยากาศสบายๆ ห้องเงียบๆ สงบๆ เป็นการพักผ่อนคลายเครียดที่ดีอย่างหนึ่งเลยนะคะ ... ได้ผ่อนคลายสบายตัวแล้ว ก็ได้พักใจ สงบ ไม่วุ่นวาย ด้วย เหมือนได้ชาร์จแบตให้ตัวเองดีค่ะ


นวดเรียบร้อยก็ขอเธอราปิสท์ล้างตัว สระผม เพราะอยากจะทดลองคุณสมบัติแชมพู-ครีมนวด ของ DHC สักหน่อย ถ้าใช้ดี ถูกใจ ก็จะซื้อมาลองใช้ ... พนักงานปล่อยให้ใช้เวลาตามสบาย แล้วไปจัดเตรียมชาจีนร้อนๆ หอมๆ กับ ไดร์เป่าผมรอไว้ที่ห้องแต่งหน้า


แต่งตัวเรียบร้อยก็ได้เวลาช้อปปิ้งค่ะ Zara เซลล์พอดี จะเดินผ่านเลยไปก็ใช่ที่ แวะเข้าไปดูสักหน่อย ... เดินเข้าไปแล้วมึน งง เพราะเสื้อผ้าที่เคยพับเรียบร้อย และที่เคยแขวนเรียงบนราว สลับสับเปลี่ยนไปหมด เดินวนๆ ดูอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจ ตั้งสติ แล้วค่อยๆ เดินไล่ดูทีละจุด


ระหว่างที่กำลังแหวกราวเสื้อ ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ เหลียวไปดู ก็เห็นสาวน้อยวัยไม่เกิน 6 ขวบ ยืนสะอื้นอยู่ตรงหน้าประตูทางออก ... มองซ้ายมองขวา หาว่ามีคุณแม่ยืนส่งสายตาอยู่รึเปล่า ก็ไม่เห็นใคร เลยเดินเข้าไปถาม


พอถามปุ๊บ ร้องไห้หนักกว่าเดิม เด็กหลงแน่นอน พาเดินไปเคาเตอร์แคชเชียร์ พนักงานขอตัวผละจากลูกค้ามาช่วยถามชื่อ ... สาวน้อยยิ่งสะอื้นหนัก พูดไม่รู้เรื่อง พนักงานเลยต้องขอตัวกลับไปให้บริการลูกค้าก่อน ปล่อยเราปลอบและหลอกถามชื่อต่อไป จนได้รู้ว่า "ชื่อ ปังปอนด์"


ประกาศหาผู้ปกครองพักเดียว คุณแม่กับพี่สาวตัวเล็กก็มารับ ... คุณแม่เดินมาไม่ยิ้ม ไม่ขอบใจใดๆ ทั้งสิ้น คว้าลูกไปเหมือนอิฉันไปขโมยลูกเค้ามา ... ไม่เป็นไรค่ะ กลับไปคุ้ยราวเสื้อต่อก็ได้


เดินเลือกอยู่นาน ลองอยู่หลายตัว สุดท้ายก็เสียทรัพย์ได้เสื้อกลับมา 1 สบายใจ ... เสียตังค์แล้วก็กลับบ้านได้ค่ะ กลับมาตามลุ้นผลเลือกตั้งกันต่อ


ตื่นแต่เช้า กลับเอาบ่ายแก่ ตอนไปนวดก็สบายตัวดี แต่พอมาเดินช้อปไอ้ที่สบายตัวมาก็ชักจะเมื่อยอีกรอบ ... สงสัยครั้งหน้าต้องเปลี่ยนมาช้อปให้จบ แล้วนวดตอนบ่ายๆ น่าจะสบายกว่า

2.7.54

ภารกิจ อะไรกันแน่ ?!?!


คนดีมีการบ้านที่ได้จากพี่หมอดูเจ้าประจำ ให้ไปไหว้พระที่วัดริมน้ำ ... ได้การบ้านมานานแล้ว แต่ลืมไปเลย นึกขึ้นได้แล้ว ก็ต้องรีบไปจัดการค่ะ


วัดริมน้ำ ไม่ยากค่ะ มีอยู่ทั่วไปหมด ว่าแต่จะไปที่ไหนดี ... ริมน้ำกรุงเทพฯ ริมน้ำอยุธยา ริมน้ำฉะเชิงเทรา ริมน้ำสมุทรสงคราม


จริงๆ จากบ้านคนดี ก็มีทั้งวัดระฆัง วัดอรุณฯ วัดกัลยาณมิตร อยู่ริมน้ำทั้งนั้น ... แต่คนดีบอกว่า ขอลองเช็คสมาชิกดูก่อน ถ้ามีเสียงตอบรับ ก็จะไปวัดริมน้ำต่างจังหวัดดีกว่า


ว่าแล้วก็ไปหว่านล้อม 2 สาว สมาชิกแก๊งค์ลูกหมู ให้ร่วมทริปไปด้วยกัน ... แล้วยังชวนโซ้ยอี๊ กับ น้องชาย ไว้ด้วย พอมีสมาชิกแบบนี้ ก็มุ่งหน้าไปอัมพวากันดีกว่าค่ะ


นอกจากจะไปไหว้พระแล้ว คนดียังอยากให้หมวยบีนำทางไปร้านอาหารร้านหนึ่ง ที่หมวยบีไปกับที่บ้านแล้วเอามาเขียนบล็อกไว้ ... คนดีสนใจร้านนี้มานาน หมายตาจะไปหลายรอบแต่ไม่ได้ไปสักที คราวนี้ไม่มีพลาด


เสาะหาพิกัดไปร้าน บ้านเคียงเรือ ... ร้านไม่อยู่ติดถนน ต้องเข้าซอยไปสักหน่อย แต่ก็หาไม่ยากค่ะ พอเจอทางเข้าค่ายทีปังกรฯ ก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปเลย ตรงไปตามทางเรื่อยๆ พอข้ามสะพานปุ๊บก็เลี้ยวขวาเข้าซอยปั๊บ ตรงไปอีกนิดก็จะเจอทางเข้าร้านทางขวามือ


เป็นทั้งร้านอาหาร บึงตกปลา และมีที่พักด้วย ... บรรยากาศร้านดูเงียบเหงาไปหน่อย เรามาเร็วไปรึ ก็ไม่น่านะ ... มีลูกค้าอยู่ตรงบึงตกปลานิดหน่อย แต่พนักงานไม่รู้อยู่ไหน ออกตามหาพนักงานมารับออเดอร์ดีกว่า


ในฐานะที่หมวยบีเคยมา เลยให้แนะนำอาหาร แต่ชีก็จำไม่ได้ว่ากินอะไรบ้าง ... เอ้า ลองสั่งดู ยำใบชะคราม ปลากระพงทอดน้ำปลา หมึกแดดเดียว แกงส้มใบชะคราม ผัดผักสี่สหาย ทะเลผัดฉ่า ข้าวผัดปู และที่ขาดไม่ได้ กุ้งราดซอสมะขาม


(ไม่แน่ใจว่าจำเมนูอาหารที่สั่งครบรึเปล่านะคะ เพราะรอบนี้ไม่ได้ติดกล้องไปถ่ายรูปด้วย เลยไม่มีภาพในกล้องช่วยเตือนความจำ และไม่มีภาพมายั่วน้ำลาย)


รสชาติอาหารส่วนใหญ่ก็อร่อยใช้ได้นะคะ เสียก็แต่กุ้งราดซอสมะขามที่น้ำซอสข้น รสโดดไปหน่อย ... หมวยบีที่เคยมากินถึงกับออกปากว่ารสเปลี่ยนไป


อิ่มมื้อเที่ยงแล้ว ก็ไปเดินย่อย หาของหวาน กันที่ตลาดน้ำอัมพวา ดีกว่าค่ะ ... เอ๊ะ ไหนว่าจะมาไหว้พระ แล้วไฉนไปตลาดก่อน


ที่เลือกไปเดินตลาดก่อน เพราะยังเป็นบ่ายต้นๆ คนยังไม่พลุกพล่านมากนัก ถ้าแวะไหว้พระก่อน กว่าจะมาเดินตลาดก็คงต้องมาเดินเบียดกับคนแน่ๆ ... รอบนี้พาโซ้ยอี๊มาด้วย ให้เดินสบายๆ จะดีกว่า


จอดรถได้ก็แวะหาขนมหวานก่อนเลยค่ะ เพราะคนดีอยากกิน "ปังติน" ที่ร้านกาญจนาพานิช ... แต่ไม่ได้มาแค่ ปังติน ปังชาเย็น ปังโอเลี้ยง ปังแดง ก็มาค่ะ ... ขาดแต่ ปังเขียว เท่านั้น


ได้ของหวานชื่นใจแล้ว ก็มีแรงเดินชมตลาด ซื้อขนม ในอากาศร้อนๆ กับคนเยอะๆ ค่ะ ... ซื้อขนมกันจนนิ้วกิ่ว นิ้วหงิก อากาศก็อบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ ไม่ไหวแล้ว หมดแรง ไปเข้าวัดกันดีกว่า


วนไป วัดจุฬามณี เพราะอยู่ไม่ไกล ... ตอนแรกนึกทางไปไม่ถูก เพราะส่วนใหญ่ไปทางเรือ ทวนความจำสักนิดก็นึกออก ทำหน้าที่เนฯ นำทางไปได้


ถึงวัดจอดรถลงไปไหว้พระได้แป๊บเดียว ฝนก็เทกระหน่ำลงมาค่ะ ... ไม่ได้ชื่นชมจุดอื่นๆ ในวัดเท่าไหร่ ได้ไหว้พระแค่จุดเดียวก็ต้องล่าทัพ ฝนเทกระหน่ำหนักมาก หนักจนมองทางข้างหน้าไม่เห็นค่ะ ... นึกๆ แล้วก็ดีใจ ที่เดินตลาดก่อน เพราะถ้าไหว้พระก่อน คงไปเจอฝน ไปติดฝนอยู่ที่ตลาดแน่ๆ แล้วคนแน่นๆ เบียดกัน ไม่อยากจะคิดเล้ยยยยยยยย


กลายเป็นว่า ใช้เวลากินข้าวมื้อเที่ยง กับ เดินเล่นชมตลาด นานกว่าภารกิจหลัก ภารกิจไหว้พระที่ตั้งใจจะมาซะอีก ... เลยไม่แน่ใจว่า ตกลงวันนี้เป็นภารกิจอะไรกันแน่ ?!?!

1.7.54

Japanese Class #12

กิจวัตรประจำวันศุกร์ ... เลิกงาน กลับบ้านเก็บของเตรียมตัวไปเป็นนักเรียนภาษาญี่ปุ่น เรียนมานาน จนเริ่มชินแล้วค่ะ


คลาสนี้ก็ยังไม่ได้เรียนรู้กับ Katakana ค่ะ ยังทวนบทเรียนเก่าๆ และดูแบบเรียนในหนังสือส่งท้าย ... แล้วมาทำความรู้จักกับ Kanji นิดหน่อย


Kanji ที่ว่า เป็น ตัวเลขค่ะ ... หัดนับ 1-10 ง่ายๆ นี่หล่ะค่ะ


ตอนแรกก็คิดว่าง่าย เพราะหัดท่องจาก Hiragana ก็ไม่เท่าไหร่ แป๊บเดียว จำได้ ... Ichi Ni San Yon Go Roku Nana Hachi Kyu Juu


พอต้องหัดเขียน Kanji กำกับด้วยนี่ซิคะ ชักลำบาก เพราะต้องหัดเขียนใหม่ ... สำหรับคนที่คุ้นเคยกับภาษาจีน คงสบาย เพราะเขียนเหมือนกัน แต่สำหรับเรา งง อีกแล้ว


เรียนไปเรียนมา คนดีก็หลับคาโต๊ะ กลางคลาสเรียนนี่หล่ะค่ะ ... Sensei ทำอะไรไม่ได้ เพราะนักเรียนอาวุโสกว่า จำต้องปล่อยหลับไป ... คนอื่นก้มหน้าก้มตาหัดอ่าน หัดเขียน แต่นักเรียน Nok San หลับสิ้นสติ


คลาสเรียนจบประมาณห้าทุ่มนิดๆ ... คลาสจบแล้วแต่ภารกิจยังไม่จบค่ะ


คนดีอยากกินลูกชิ้นปลาเจ้าอร่อยที่เยาวราช เลยชวน น้องๆ กับ โซ้ยอี้ ไปหม่ำกัน ... แม้ฝนจะตกพรำๆ แต่เราก็ไม่ย่อท้อ ไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวรอบดึก เพราะร้านนี้ตั้งร้านตอน 4 ทุ่ม


จัดการก๋วยเตี๋ยวไปคนละชาม บ้าง 2 ชามบ้าง ก็ยังไม่หนำใจ ... คนดีพาเดินไปร้านขนมปังปิ้งเจ้าดัง เป็นของหวานล้างปาก ไปถึงเอาตอนจะเก็บร้านพอดี ได้ขนมปังกันคนละ 1-2 แผ่น อีก ... อิ่มจุกยามดึก ก็ได้เวลากลับบ้าน


เป็นคลาสเรียนที่เรียนอิ่ม กินอิ่มจริงๆ ค่ะ