1.5.57

รื้อฟื้นความจำ ..... First Time in Japan #3 (จบ)

วานซืน  กับ เมื่อวาน เดินต้อยๆ ตามไกด์เที่ยวกับทัวร์ แต่วันนี้เป็นฟรีเดย์ ที่เราจะได้เที่ยวเอง

Day 4 : 24 ธ.ค. 56 ... จริงๆ ทัวร์ก็มีโปรแกรมเที่ยว 1 วันให้ซื้อเพิ่มนะคะ แต่เราตั้งใจจะเที่ยวเอง จะได้ทดลองใช้รถไฟในญี่ปุ่นที่เขาว่ากันว่าเครือข่ายโยงใยซับซ้อนนุงนัง เก็บประสบการณ์ เก็บข้อมูล ทำความคุ้นเคยไว้ก่อน เผื่อโอกาสหน้ามาเที่ยวเองจะได้ไม่ตื่น

จากที่ไกด์พาลองขึ้นรถไฟเมื่อวานนิดนึง กับข้อมูลที่ศึกษามาล่วงหน้า พร้อมกับแผนการเที่ยวเอง 1 วันคร่าวๆ เราก็พร้อมลุยแล้วค่ะ ... ตื่นช้ากว่าเวลาทัวร์นัดปกติสักหน่อย ลงมาจัดการมื้อเช้าพอรองท้องสักนิด ก็ออกเดินทางกันเลยค่ะ

เดินไปสถานี Ikebukuro ขนาดได้เดินผ่านสถานีรถไฟมาแล้วเมื่อวาน แต่วันนี้พอเข้ามาก็ทำเอางง เพราะคนเยอะ ป้ายแยะ ... เหลียวซ้ายแลขวาหาตู้ซื้อตั๋วรถไฟอยู่พักใหญ่ ไม่ไหวหล่ะ ไปถามดีกว่า ... เจ้าหน้าที่หนุ่มน้อยน่ารักชี้ทางให้ เดินไปเจอที่หมายก็แจ้งความต้องการกับเจ้าหน้าที่สาวน้อยน่ารักอีกคน ที่ช่วยกุลีกุจอพาไปตู้แล้วช่วยกดซื้อบัตรให้


ได้มาแล้วค่ะ Tokunai Pass เป็นตั๋วรถ 1 วัน ที่ใช้ใน 23 เขตของโตเกียว ใช้ได้กับรถไฟของ JR เท่านั้นนะคะ ... แต่เราสองคนปักหลักว่าจะใช้กับสาย JR Yamanote Line เป็นหลักค่ะ ขบวนรถไฟสีเขียวอย่างในภาพ และวิ่งวนเป็นวงกลมซึ่งผ่านสถานีหลักๆ ของโตเกียวตามแผนที่เราจะไปอยู่แล้วค่ะ

เริ่มต้นไปที่ Ueno ก่อนเลยค่ะ ...เป้าหมายคือเดินตลาดและชิมอาหาร ไม่ได้กะไว้ว่าจะใช้เวลาแต่ละที่เท่าไหร่ เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก ไม่ถูกใจก็ย้าย เพราะฉะนั้น เติมพลังกันก่อนดีกว่าค่ะ


Kaisen Don ที่มีคนแนะนำไว้ในพันทิพ เดินมาเจอก็แวะชิมซะเลย ... กำลังยืนดูเมนูหน้าร้าน คุณป้าจากในร้านเดินออกมาทักทาย เปิดประตูต้อนรับชี้ชวนเข้าร้านเลย ... จำชื่อเมนูไม่ได้แล้วว่าคืออะไร แต่อร่อยค่ะ และ 2 ชามนี้ราคา 1500 เยน พอดีเป๊ะ อิ่ม อร่อย ปลื้มปริ่ม

เติมพลังพร้อมแล้ว ก็ออกเดินเล่นชมตลาดย่อยอาหารดีกว่าค่ะ จะได้เตรียมท้องให้พร้อมสำหรับมื้อต่อไป


ตลาด Ameyoko ที่นักท่องเที่ยวไทยคุ้นเคยดี นับว่าถูกจริตกับเราสองคนมากค่ะ มีทั้งอาหารสด เสื้อผ้า รองเท้า เดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ไปเพลินๆ เลาะเรื่อยไปจนถึงตึกม่วง เข้าไปเบียดคุณลุงคุณป้าชาวญี่ปุ่นที่กำลังจับจ่าย ... คนอื่นคงไปเดินดูเครื่องสำอาง ข้าวของเครื่องใช้ แต่เราสองคนกวาดขนมกันเต็มตะกร้า อันนู้นก็น่าชิม อันนี้ก็น่าลอง สนใจอันไหนก็หยิบ หิ้วกันพะรุงพะรังจนหนัก ไม่ไหวแล้ว พักดีกว่า


อีก 1 ร้านที่ได้ข้อมูลจากพันทิพ ซูชิจานเวียนที่หน้าล้นจนมองไม่เห็นข้าว ... ไม่รู้หรอกค่ะว่าหยิบอะไรมาบ้าง แต่ที่หยิบมาก็อร่อยทุกอย่าง ที่ประทับใจที่สุดเป็นหน้า Salmon-Ikura ที่สั่งเชฟไป แล้วเชฟส่งมาพร้อมกับพูดว่า Merry Christmas ... หูยยยย ซูชิหน้าล้น แต่งมาน่ารัก อิ่มอกอิ่มใจ มีแรงลุยต่อ

นั่งรถไฟกลับมา Ikebukuro ค่ะ เอาของที่หอบหิ้วมาเก็บ แล้วออกไปเดินต่อ เดินดูร้านค้าในห้างติดโรงแรม และร้านค้าระหว่างทางไปสถานี จริงๆ แค่นี้ก็เดินได้เป็นวันแล้วนะคะ เพราะมีสารพัด แต่ที่ถูกใจมากที่สุดยกให้ Tokyu Hands ทั้งเครื่องเขียน ของเล่น ของใช้สารพัด หลงเข้ามาแล้วแทบจะไม่อยากไปที่อื่นต่อ

ตัดใจเดินไปสถานีจับรถไฟไป Harajuku ค่ะ แม้จะเลยวัยทีนมาแล้ว แต่ก็ต้องไปสำรวจตลาด ดูบรรยากาศสักหน่อยค่ะ 


คุณเจ้านายเห็นคนยุ่บยั่บแบบนี้แล้วแทบถอดใจค่ะ ... คนเยอะ แต่เดินไปได้เรื่อยๆ นะคะ สินค้ากุ๊กกิ๊กน่ารักเยอะแยะ แต่ขอแค่โฉบดูนิดหน่อยพอค่ะ หมวดเสื้อผ้านี่ขอผ่านไปเลย เพราะคงไม่ใช่แนว แต่พอเจอของกินนี่จอดแวะทันที เขาว่ากันว่าเครปที่นี่อร่อย ก็ซื้อชิมสักอัน ... มันก็โอเคนะคะ แต่ชอบเครปแบนๆ กรอบๆ แบบบ้านเรามากกว่าค่ะ

เดินเลาะไปจนถึง Omotesando ค่ะ ตั้งใจจะมาดูไฟ แต่พอเห็นร้าน Kiddy Land ก็อดไม่ได้ที่จะขอแวะสักนิด แม้เป็นผู้ใหญ่แล้วแต่แพ้ของเล่นค่ะ  


ชื่นใจกับของเล่นแล้ว ก็มาชื่นชมไฟ อย่างที่ตั้งใจค่ะ ... ไฟดวงเล็กๆ ที่ประดับระยิบระยับบนต้นไม้ตลอดแนวถนน สร้างความสดใส และเข้ากับบรรยากาศช่วงเทศกาลจริงๆ ค่ะ 

แผนต่อไปคือ แวะไปชิบูย่า แล้วไปดูไฟที่สถานีโตเกียว ต่อ ... แต่คุณเจ้านายบ่นเมื่อยแล้ว พอฟังแผนเที่ยวของเราถึงกับหน้าเซียวหมดเรี่ยวแรงจะเดิน เลยต้องนั่งคุยปรับแผนกันใหม่ ย้อนกลับไปเดินหาซื้อของฝากแถวโรงแรมดีกว่า


หาราเม็งร้อนๆ เพิ่มพลังตอนอากาศเย็นๆ ... ร้านชื่ออะไรก็ไม่รู้ค่ะ เมนูชื่ออะไรก็จำไม่ได้  มีพนักงานมาช่วยแนะนำการกดตู้ซื้อคูปอง ชามขาวของคุณเจ้านาย ชามแดงของเรา รสชาติน้ำซุปต่างกันค่ะ ของเราข้นกว่า แต่ก็อร่อยทั้ง 2 ชามนะคะ ซดกันเกลี้ยง ลุยเดินซื้อของกันต่อทั้งร้านขนม ร้านขายยา ร้านเสื้อ ยันซุปเปอร์มาร์เก็ต 24 ชม. ข้างโรงแรม เดินกันจน 5 ทุ่ม

ลากขากลับขึ้นห้องพัก รื้อของ รื้อถุง วางเกลื่อนห้อง แล้วค่อยมาแพ็คลงกระเป๋า ... ดูของแล้วกลุ้มใจ สารพัดขนมและของกินทั้งหลายแหล่ ทั้งซื้อฝาก ทั้งซื้อกินเอง กระจายแพ็คลงกระเป๋า 2 ใบใหญ่ 1 ใบเล็ก แต่ก็ยังไม่หมด พรุ่งนี้ค่อยไปแพ็คลงกล่องกระดาษเพิ่มแล้วกัน เข้านอนดีกว่า ไกด์นัดแต่เช้า

Day 5 : 25 ธ.ค. 56 ... ตื่นอาบน้ำอย่างรวดเร็ว หอบหิ้วสัมภาระ มารอห้องอาหารเปิด จะได้รีบกินรีบจัดของต่อ


จริงๆ มีอาหารเช้าแบบฝรั่งให้เลือกตักนะคะ แต่มาญี่ปุ่น เลือกตักข้าวแกงกะหรี่ + สลัด ดีกว่า อิ่มกำลังเหมาะ ก็ออกไปจัดขนมที่เหลือแพ็คลงกล่องให้เรียบร้อย ... ข้อดีของการมาเที่ยวกับทัวร์คือ มีคนช่วยจัดการดูแลข้าวของให้ค่ะ ซื้อของได้เต็มที่ มีคนช่วยยก ช่วยเฉลี่ยน้ำหนัก

ลูกทัวร์พร้อมหน้าพร้อมตา ก็เดินทางต่อค่ะ มาโตเกียว แล้วจะไม่แวะ วัด Sensoji หรือ วัดอาซากุสะที่คนไทยคุ้นเคยได้ยังไงคะ


ล้างมือ บ้วนปาก ตามธรรมเนียมก่อนเข้าวัด จุดธูป กวักควันธูปเข้าตัว เข้าไปไหว้พระ โยนเหรียญอธิษฐาน ตามสูตรเสร็จเรียบร้อย ก็ปรี่ออกไปร้านค้าหน้าวัดเลยค่ะ ... ร้านขายของที่ระลึกเรียงเป็นแนว แต่ที่น่าสนใจคือ ร้านขนมทั้งหลายค่ะ


ซื้อชิมอย่างละอัน 2 อัน เพลิ้นนนน เพลินนนนนนน ... ที่ชอบน้อยที่สุดคือเซมเบ้ค่ะ ที่ชอบมาที่สุดคือ อาเกะ มันจู (รูปล่างขวา) มันอร่อยมากกกกกกกก อร่อยจนอยากจะวกกลับไปซื้อเพิ่ม แต่พอดูนาฬิกาแล้ว ถึงเวลาไกด์นัดแล้วนี่นา

ตายหล่ะ เสียประวัติลูกทัวร์ที่ดีไปก่อนเวลานัดทุกทีก็คราวนี้ แพ้ทางของกินจริงๆ เล้ยยยย ... วิ่งหน้าตั้งกลับไปจุดนัดที่รถจอดรอค่ะ 

ทริปนี้ประทับใจค่ะ เป็นการมาญี่ปุ่นครั้งแรกที่ได้เห็นได้เจอได้ทำหลายๆ อย่างที่หวังไว้ ปลื้มปริ่มและฟินเว่อร์ ... ทัวร์ก็บริการดีค่ะ ทั้งไกด์ทัวร์และหัวหน้าทัวร์ก็น่ารัก ดูแล ให้คำแนะนำอย่างดีที่สุด ใครกำลังมองหาบริษัททัวร์ไปญี่ปุ่น แนะนำ Compax World เลยค่ะ 


มาญี่ปุ่นแล้วบอกได้ว่า เที่ยวญี่ปุ่นครั้งเดียวไม่พอจริงๆ ค่ะ ต้องหาโอกาสมาซ้ำอีกแน่ๆ ยังมีอีกหลายที่น่าสนใจ ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่ ยังไม่รู้ ... ค่อยๆ เก็บข้อมูลเที่ยว ทำแผนเที่ยวเองไว้ก่อนดีกว่า มีโปรตั๋วเครื่องบินราคาน่าคบหาเมื่อไหร่ จะได้จัดแผนลุยทันที ... ตอนนี้ Sayonara นะคะ

28.4.57

รื้อฟื้นความจำ ... First Time in Japan #2

หลังจาก เมื่อวาน เข้านอนในชุดยูกาตะ ในห้องนอนสไตล์ญี่ปุ่น พร้อมกับฮีทเตอร์ที่เปิดไล่ความหนาวเย็น ... ผลคือเหงื่อแตกซิก คอแห้งผาก กระสับกระส่ายทั้งคืน 

อาการดังกล่าวเกิดจาก ความไม่รู้ของมนุษย์เมืองร้อนที่ไม่เคยเจอฮีทเตอร์ เพราะ ไกด์บอกให้แง้มหน้าต่างสักนิดให้พอมีไอเย็นจากข้างนอกเข้ามาบ้าง แต่ไอเย็นมาจากหน้าต่างทางซ้าย กับไอร้อนจากฮีทเตอร์ที่มาจากด้านบน ตกลงมาเจอกันตรงที่นอนพอดี ร้อนๆ หนาวๆ จนงง เลยปิดหน้าต่าง และไม่ได้แง้มประตูห้องน้ำ เปิดน้ำใส่อ่างล่างหน้าให้มีความชื้นภายในห้องบ้าง ... มนุษย์เมืองร้อนเลยนอนหลับไม่สนิท ตื่นขึ้นมาก่อนมอร์นิ่งคอลล์ที่นัดเวลาไว้ 5.45 น. ของญี่ปุ่น ซะอีก

Day 3 : 23 ธ.ค. 56 ... ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว อาบน้ำ แต่งตัว เก็บของ เอากระเป๋าไปไว้ที่จุดนัดพบ แล้วขึ้นลิฟท์ไปหม่ำมื้อเช้าที่ห้องอาหาร ชั้น 9 กันเลยดีกว่า ... ไกด์บอกไว้ว่าเราสามารถมองเห็นฟูจิซังได้จากห้องอาหารเลย


ออกจากลิฟท์ หมุนตัวเข้าห้องอาหาร แล้วก็ปะทะกับวิวตรงหน้าแบบนี้ ... กรี๊ดดดดดดดด ฟูจิซังเต็มๆ ตาเลยค่าาาาา สวยจนหายมัวขี้ตาเลย

เป็นลูกค้าคู่แรกที่ปรากฎตัวในห้องอาหาร เลยเลือกทำเลที่นั่งชมฟูจิซังได้อย่างสะดวกค่ะ ... ลุกไปตักอาหารเช้า แล้วมาละเลียดกินไป ชมวิวไป เป็นมื้อเช้าที่สุขสุดๆ

อิ่มแล้วก็ออกเดินทางค่ะ จุดหมายแรกคือ หุบเขาไข่ดำ Owakudani ... นอนไม่ค่อยหลับ เลยถือโอกาสงีบสักนิดระหว่างทาง พอถึงจุดหมายเดินลงรถไปถึงกับเหวอ เพราะปะทะกับอากาศที่เย็นยะเยือก ได้ยินสมาชิกในกรุ๊ปพูดแว่วๆ ว่าอากาศติดลบ


ทั้งอากาศหนาว ทั้งลมแรง แล้วยังเจอควันพวยพุ่งจากบ่อกำมะถันบ่อเล็กบ่อน้อยบริเวณนั้น แม้จะงงกับบรรยากาศรอบตัว แต่ก็ไม่วายขอชักภาพคู่กับเจ้าแม่คิตตี้ทั้ง 2 ปาง ที่เป็นสัญลักษณ์อยู่ตรงนั้นแป๊บนึง ... ถ่ายรูปเสร็จก็รีบจ้ำตามไกด์ เดินไปตามทางที่ไกด์บอก ค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ 

เดินกันไปเงียบๆ 2 คน ไม่ได้งอนกัน หรือว่ากำลังซึมซับบรรยากาศ แต่เหนื่อยค่ะ ... การต้องใช้กำลังในอากาศหนาวแบบนี้มันเหนื่อยกว่าอากาศร้อนซะอีก มีสติกับการเดินและหายใจ หายใจเข้าลึกๆ ก้าวเท้า หายใจออกยาวๆ ก้าวเท้า และแล้วก็ถึงจุดหมายค่ะ


ด้านบนควันกำมะถันหนาแน่นมาก ในขณะที่เราต้องการอากาศบริสุทธิ์หายใจเข้าไปให้เต็มปอด ดันสูดไปเจอกลิ่นพิกล ต้องปรับตัวตั้งสติสักพัก แล้วก็หยิบกล้องมาเก็บภาพ ... สักพักเสียงไกด์ก็เรียกให้ไปรับ ไข่ดำ คนละฟอง อภินันทนาการจากทัวร์ค่ะ เขาบอกว่า กินไข่ต้มจากกำมะถันที่นี่ 1 ใบ อายุจะยืนยาวเพิ่มขึ้นอีก 7 ปี 

เขาว่าดีเราก็กิน ระหว่างยืนปอกเปลือกไข่ กินไข่จิ้มเกลืออยู่ ก็มีละอองขาวๆ ปลิวฟุ้งไปทั่ว เลิ่กลั่กหันซ้ายหันขวาอยู่พักมองหาว่ามันมาจากไหน ... ว๊ายยยยย มันคือหิมะค่ะ มาญี่ปุ่นครั้งแรก ได้เจอหิมะปลิวร่วงลงมาต่อหน้าต่อตาครั้งแรกด้วย ฟินนนน

สดชื่นรื่นเริงมีแรงเดินลั้ลลาลงมาเตร่ชมสินค้า และของที่ระลึกแถวนี้ ... ช้อบ ชอบ สินค้าญี่ปุ่น ไม่ว่าอะไรก็ดูน่าสนใจ น่าลอง น่าใช้ น่าชิม ไปซะหมด และที่สำคัญเป็นของที่ระลึกเฉพาะย่านจริงๆ ถ้าไม่ซื้อที่นี่ ก็หาซื้อที่อื่นไม่ได้ ... ซื้อของติดไม้ติดมือนิดหน่อย ก็ขึ้นรถเตรียมเดินทางต่อค่ะ

จุดหมายต่อมา คือ ล่องเรือทะเลสาบอาชิ ไกด์พูดให้ลุ้นว่าจะได้ลงเรือลำไหน เพราะเรือลำสีน้ำเงินมีความพิเศษตรงที่มีจุดถ่ายรูปสามมิติได้ 


ได้ลงเรือลำสีน้ำเงินจริงๆ ค่ะ ไกด์บอกว่าอย่าลืมไปถ่ายรูปนะ ไอ้เราก็ขึ้นไปถ่ายรูปข้างบนค่ะ เก็บวิวโน่นนี่นั่น ยืนชมวิว ดูโทริอิกลางน้ำ แล้วก็รีบเข้ามาซุกตัวอยู่ในเคบิน เพราะอากาศเย็นเกิ้นนน และเวลาล่องเรือก็แป๊บเดียว ... ไอ้จุดถ่ายรูปสามมิติได้ที่ไกด์ว่า ไม่ได้สนใจหาหรอก หนาววววว

ลงจากเรือก็ได้เวลามื้อกลางวัน จำชื่อร้านไม่ได้ซะแล้ว จำได้แต่ว่าร้านใหญ่โตมีทัวร์ลงหลายกรุ๊ป และคนญี่ปุ่นก็มากันเยอะ ต้องยืนรอหน้าร้านให้เจ้าหน้าที่ร้านจัดคิวก่อนเข้าร้าน ระหว่างรอก็ไปอุดหนุนสตอเบอรี่ลูกโต๊โตของคุณลุงคุณป้าที่ตั้งขายอยู่หน้าร้านสักหน่อย ... ปกติไม่กินสตอเบอรี่ แต่สตอเบอรี่ญี่ปุ่นนี้ของลองสักหน่อยเหอะ

ยังไม่ทันชิมสตอเบอรี่ เพราะเจ้าหน้าที่เรียกเข้าร้านแล้วค่ะ อาหารที่เตรียมไว้เป็นชุดใครชุดมัน ... ไกด์ถามล่วงหน้าไว้แล้วว่ามีใครที่ไม่ทานปลาดิบบ้าง เพราะในชุดอาหารมีปลาดิบ สำหรับคนไม่ทานจะได้แจ้งร้านให้เตรียมอาหารอื่นให้ ... สำหรับเรานั้น มาญี่ปุ่นทั้งทีจะพลาดปลาดิบได้อย่า งไร มื้อนี้มีควบทั้งปลาดิบ อุด้ง เทมปุระ ไข่หวาน แซลมอนย่าง และผักเคียง กินเพลิน อิ่มจนจุกค่า ... อิ่มแล้วก็ช้อปต่อเพราะที่นี่เป็นทั้งร้านอาหารและมีของฝากขายด้วย และของเด่นตรงจุดนี้คือ วาซาบิค่ะ

แล้วไกด์ต้อนขึ้นรถ พาไปส่งที่ Ramen Museum แถวโยโกฮาม่า ค่ะ ... ไม่ได้พามาชิมราเม็งนะคะ เพราะเพิ่งอิ่มมื้อเที่ยงมา แต่พามาปล่อยให้ลูกทัวร์ได้เดินชมบรรยากาศ ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเท่านั้น ... จากที่เคยเห็นพิพิธภันฑ์ราเม็งในรายการทีวีแชมเปี้ยน ก็มีภาพในหัวว่าคงจะตื่นตาตื่นใจ แต่ของจริงไม่กว้างมาก และให้อารมณ์เหมือนเพลินวานบ้านเรา เพียงแต่ชัดเจนกว่าตรงที่ มีสารพันราเม็งจากร้านเด็ดมาให้ลอง เดินวนไปเดียวก็ทั่วแล้วค่ะ

มายืนรอตรงจุดนัดพบ เพื่อจะเดินไปสถานี Shin-Yokohama ค่ะ ไกด์ปลีกตัวไปซื้อตั๋วไว้ให้ก่อน ปล่อยให้หัวหน้าทัวร์คอยดูแลลูกทัวร์อยู่ พอสมาชิกครบก็ยกขบวนเดินกันไป


ไกด์นัดแนะวิธีการขึ้นชินคันเซ็น แล้วก็เดินนำบ้าง เดินต้อนลูกทัวร์บ้าง เพื่อให้ไปทันเวลาขึ้นรถไฟ ... บร๊ะ มาญี่ปุ่นทริปนี้ ครบจริงๆ ฟูจิซัง หิมะ ชินคันเซ็น ฟินซิคะ ... จุดหมายของการนั่งชินคันเซ็นคือ สถานีโตเกียวค่ะ แล้วก็ต่อรถไฟอีกขบวนไป ชินจูกุ


ระหว่างเดินอยู่ภายในสถานี ไกด์ก็แนะวิธีการขึ้นรถไฟในญี่ปุ่น ว่าควรจะสังเกตอะไรตรงไหนบ้าง เพื่อประโยชน์สำหรับวันพรุ่งนี้ที่เป็นฟรีเดย์ ... มาถึงชินจูกุแล้ว ไกด์ก็แจกแผนที่ย่านนี้ แล้วแนะนำร้านเด็ดๆ เด่น ก่อนปล่อยให้เดินเล่น ช้อปปิ้ง สักพัก ลูกทัวร์แตกตัวเดินกันคนละทางตามชอบใจ พอถึงเวลานัดก็มารวมตัวเพื่อเดินไปร้านอาหารเย็นค่ะ

Mo-Mo Paradise คือที่หมายของมื้อนี้ค่ะ จำไม่ได้ว่าอยู่ตึกไหนยังไง เพราะเดินชมวิวคนวิวตึกตามไกด์ไปเรื่อยๆ ขึ้นลิฟท์ไปถึงร้านแล้ว ก็ต้องให้เวลาไกด์จัดลูกทัวร์ลงประจำโต๊ะอีก เพราะมื้อนี้ มีทั้งเนื้อวัว เนื้อหมู แยกโต๊ะชัดเจนว่า โต๊ะนี้หมู โต๊ะนี้วัว ... เราผู้โปรดปรานเนื้อ แต่คุณเจ้านายไม่บริโภคเนื้อเลยต้องนั่งแยกโต๊ะกัน


การนั่งแยกโต๊ะไม่เป็นปัญหาเลยค่ะ เพราะถาดเนื้อตรงหน้านั้นมันเย้ายวนใจเหลือเกิน ... แต่ละโต๊ะนั่งได้ 6 คน บ้าง 8 คนบ้าง ตามขนาดโต๊ะ แต่โต๊ะเรานั้น นั่งกัน 4 คน และมีเจ้าถาดดำในรูป 1 ถาด กับ ถาดสีครีมอีก 4 ถาด วางอยู่ คีบเนื้อในถาดจุ่มน้ำซุป กินกันสบาย หมดก็ขอเติมได้เรื่อยๆ หูยยยยย ปลื้ม

เนื่องจากดิฉันเป็นมนุษย์เคี้ยวเอื้อง กินช้า ก็กินเรื่อยๆ และก็กินสลับไปมาระหว่างถาดสีดำกับถาดสีครีม ... แต่แอบสังเกตว่า สมาชิกอีก 3 คนในโต๊ะ นั้น คีบแต่เนื้อจากถาดสีครีมกันอย่างเดียว เพราะมันไม่มีมัน และเป็นแผ่นใหญ่เท่าฝ่ามือ ส่วนถาดสีดำเนื้อเป็นเส้นยาวและมีมันแทรก

สักพักคุณพี่ผู้หญิงร่วมโต๊ะก็หันมาถามว่า เอาเนื้อมาเพิ่มอีกมั้ย พร้อมกับจิ้มไปที่ถาดสีครีม เราก็บอกได้ค่ะ ... คุณพี่ก็หันไปแจ้งคุณไกด์ว่าขอเนื้อเพิ่ม ไกด์ถามกลับว่าเนื้ออะไร คุณพี่ตอบเนื้อวัว คุณไกด์ก็หันมาจิ้มนิ้วลงบนถาดดำ ว่านี่ก็เนื้อวัวนะคะ ซึ่งเนื้อในถาดพร่องไปไม่กี่ชิ้น

เท่านั่นหล่ะ สมาชิกร่วมโต๊ะทั้ง 3 หมุนตะเกียบจากถาดสีครีมมาถาดสีดำทันที แล้วหันมาถามเราว่า เป็นยังไง เราบอก อร่อยค่ะ นุ่มละมุนลิ้นมาก ... แต่เนื้่งจากสมาชิกร่วมโต๊ะทั้ง 3 เพลี่ยงพล้ำให้เนื้อหมูไปมากแล้ว เลยมาจัดการเนื้อวัวไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็วางตะเกียบ ทั้งอิ่มและอยากออกไปเดินช้อปปิ้งกันต่อด้ว

เลยปล่อยเนื้อวัวราวครึ่งถาดให้ดิฉันผู้หมายมั่นและยังเพลิดเพลินกับการกินอยู่ จัดการต่อแต่เพียงลำพัง ... ละเลียดกินไปเรื่อยๆ ฟินแต่เพียงลำพัง อิ่มแล้วค่อยหันไปดูคุณเจ้านายว่าเป็นยังไงบ้าง คุณเค้าก็อิ่มแต่ไม่อร่อยเท่า เพราะน้ำซุปสำหรับคนไม่กินเนื้อวัว เป็นน้ำเปล่า เนื่องจากน้ำซุปของร้านนี้ต้มจากกระดูกวัว คนที่ไม่กินเนื้อวัว เลยได้ซุปน้ำเปล่าซึ่งแม้จะใส่ผักใส่หมูลงไปแล้วรสชาติก็ไม่กลมกล่อม

อิ่มแล้ว เดินย่อยสักนิด ก็มาจุดนัดพบเพื่อขึ้นรถทัวร์ไปโรงแรม Sunshine City Prince Hotel ย่าน Ikebukuro ที่พักสำหรับ 2 คืนในโตเกียวค่ะ ... ถึงโรงแรมแล้ว ไกด์แจกกุญแจห้องให้เอาของขึ้นไปเก็บ และนัดเวลาให้ลงมารวมตัวกัน สำหรับสมาชิกที่อยากเดินสำรวจร้านรวงในละแวกนี้

เป็นโรงแรมที่ถูกจริตนักช้อปชาวไทยมากค่ะ ชั้นล่างมี Family Mart และโรงแรมติดกับห้างสรรพสินค้า ย่านร้านค้าในละแวกใกล้เคียงก็มากมาย อยู่ไม่ไกลจากสถานี Ikebukuro มากนัก ... อารมณ์เหมือนอยู่ลาดพร้าว ที่มีเซ็นทรัลลาดพร้าว โรงแรม และยูเนี่ยนมอลล์ แต่ที่ญี่ปุ่นนี่ใหญ่โตอลังการตื่นตาตื่นใจกว่าค่ะ แค่เดินในละแวกนี้ก็เพลินนนนนน

เราตามไกด์ไปสำรวจเส้นทางเรียบร้อย แวะชมร้านค้าสักหน่อย ก็กลับเข้าห้องพัก ชาร์จแบตเตรียมตัวลุยวัน พรุ่งนี้ ค่ะ

27.4.57

รื้อฟื้นความจำ ... Fisrt Time in Japan #1

ปล่อยบล็อกร้างมาหลายปี ตะแล๊ดแต๊ดแต๋ไปเที่ยวหลายที่ หลายทริป แต่ก็ไม่ได้หยิบมาลงบล็อกเลย ... กลับมาครั้งนี้ เพราะความประทับใจ และอยากจะบันทึกข้อมูลเก็บไว้อีกทาง ก่อนที่จะลืมเลือนไปซะหมด

ครั้งแรกกับการไปเยือนประเทศญี่ปุ่น ประเทศในฝันที่หมายมั่นว่าจะต้องไปให้ได้ ... ไปมาตั้งแต่ ธันวา'56 แล้ว กว่าจะสลัดตัวขี้เกียจ ตัวหลอกล่ออย่าง FB มาเขียนได้ ก็ผ่านมา 4 เดือน จนข้อมูลที่เก็บไว้ในรอยหยักสมอง จะเด้งหายออกไปหมดแล้ว ... เอาหล่ะ เข้าเรื่องเลยดีกว่าค่ะ

ที่มาของทริป ... เกิดจากคุณเจ้านาย ประกาศหยุดยาวช่วงปลายปี ให้เราลองหาโปรแกรมทัวร์ เราก็หาข้อมูลที่นั่นที่นี่ไปเรื่อย พอดีกับที่ญี่ปุ่นประกาศฟรีวีซ่า 15 วันให้นักท่องเที่ยวไทย เราก็เก็บข้อมูลเที่ยวญี่ปุ่น ไว้ทำโปรแกรมไปเที่ยวเองอยู่ แล้วบังเอิ๊น บังเอิญ ไปเจอโปรแกรมทัวร์ญี่ปุ่นช่วงปลายปี ในราคาที่คบได้ เลยเอาไปนำเหนอคุณเจ้านาย ... ซึ่งคุณเจ้านายก็ซื้อค่ะ

โทรสอบถามข้อมูล ดำเนินการจองทัวร์ Lite & Budget #1 ... 5 Days 3 Nights แล้วก็เตรียมตัวค่ะ

สิ่งสำคัญในการเตรียมตัวคือ เสื้อผ้าที่จะรับมือกับอากาศหนาวเย็น เพราะอุณหภูมิในช่วงที่เดินทางไปอยู่ระหว่าง 0-10 องศาเซลเซียส ... แค่คิดก็หนาวสั่น ฟันกระทบกันแล้ว

Day 1 : 21 ธ.ค. 56 ... ทัวร์นัดเจอที่สนามบิน ตอน 21.00 น. เจ้าหน้าที่ของทัวร์เตรียมเอกสารต่างๆ ไว้ให้พร้อมแล้ว แค่เราถือพาสปอร์ทไปเข้าแถวเช็คอินได้เลย ระหว่างรอเช็คอิน ก็แอบสังเกตจดจำบุคคลรอบตัว เพราะเขาเหล่านี้ต้องมีเพื่อนร่วมกรุ๊ปทัวร์ของเราบางหล่ะ

Day 2 : 22 ธ.ค. 56 สายการบิน Jet Asia Airways ออกตรงเวลา 00.45 น. ลูกเรือคนไทยทั้งลำ เครื่องเก่าหน่อย แต่ลูกเรือยิ้มแย้มแจ่มใสเต็มใจบริการ เครื่องขึ้นสักพัก ก็แจกขนมและเครื่องดื่ม ก่อนจะแจก sticker ว่าจะรับอาหารเช้ารึเปล่า ... คุณเจ้านายหลับได้สบาย ส่วนเราหลับๆ ตื่นๆ แม้จะใช้ผ้าปิดตาช่วย แต่เสียงบรรยากาศรอบข้างก็ปลุกให้ต้องเปิดตาดูเป็นระยะ

ทัวร์ใส่ใจรายละเอียดดีมาก เพราะในใบจองทัวร์มีให้ระบุว่า ทานอะไรได้ไม่ได้ เราระบุของคุณเจ้านายไปว่า No Beef ... แอร์ก็นำอาหารพิเศษสำหรับบุคคลที่มีคำขอพิเศษมาเสิร์ฟให้ก่อน ซึ่งที่นั่งท้ายลำของเราอยู่ติดครัว และบรรดาบุคคลที่มีคำขออาหารพิเศษไป ก็อยู่รายล้อมรอบตัว ต่างได้รับถาดอาหารเช้า ณ เวลาประมาณ ตี 4 (ของไทย) กันเป็นแถว ... เราผู้ซึ่งกินได้หลากหลาย นั่งดมกลิ่นรออยู่นานกว่าจะได้รับถาดอาหารบ้าง แม้จะผิดเวลากินมื้อเช้าไปหน่อย แต่กลิ่นอาหารที่ตลบอบอวลอยู่นานก็ทำให้น้ำย่อยพร้อมทำหน้าที่

กินเสร็จก็หลับๆ ตื่นๆ ต่อ แล้วก็มีเสียงประกาศของคุณกัปตันแจ้งว่า ผู้โดยสายที่นั่งฝั่งซ้ายของลำ สามารถมองเห็นฟูจิซังได้ ... เท่านั้นหล่ะค่ะ ตื่นตาแจ้ง รีบหันไปชมทันที


แม้จะได้เห็นฟูจิซัง เล็กๆ ลิบๆ แต่ก็ตื่นเต้น สำนึกในตัวก็บังเกิดว่าเรากำลังเข้าสู่แผ่นดินญี่ปุ่นแล้ว ... ญี่ปุ่นจ๋า เราจะได้เจอกันแล้ว

เครื่องจอดพื้นอย่างนุ่มนวล ก่อนเครื่องแตะพื้น กัปตันแจ้งอุณหภูมิภายนอกไว้ว่า 2 องศา เดินพ้นประตูเครื่องไปเจอลมที่ปะทะมาถึงกับสะท้าน ยังกะยืนอยู่หน้าตู้แช่เย็นในห้างพร้อมๆ กับพัดลมยักษ์ ... รีบเดินขึ้นรถที่มารับ พยายามเกาะกลุ่มไปใกล้ๆ ไกด์และหัวหน้าทัวร์ ที่เรียกรวมกลุ่ม นัดแนะ ก่อนจะเข้าคิวผ่าน ตม. ... ผ่าน ตม. ฉลุย ก็รีบไปรับกระเป๋าเดินทาง แล้วไปจุดนัดที่ไกด์กับหัวหน้าทัวร์นัดไว้ เปิดกระเป๋าเติมเครื่องนุ่งห่มเต็มพิกัด

สมาชิกร่วมทัวร์ครบ ก็เคลื่อนที่ไปขึ้นรถ ... จดจำหน้าตาสมาชิกในกลุ่ม แนะนำตัวกันพอเป็นพิธี ไกด์ให้ข้อมูลว่าจะไปไหนทำอะไรบ้าง แล้วก็ปล่อยให้หลับพักผ่อน

ตื่นลืมตาอีกทีตอนถึงจุดพักรถ รีบลงจากรถไปทดลองใช้บริการสุขภัณฑ์ญี่ปุ่น ตื่นเต้นกับฝารองนั่งที่อุ่นสบาย และสารพัดปุ่มที่อยู่ข้างๆ ... สบายตัวแล้ว ก็ไปหาซื้อขนม เครื่องดื่มมารองท้องสักหน่อย ที่งัวเงียจากการนอนน้อยมา หายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อเห็นสารพัดขนมละลานตา ได้แต่รีบซื้อ รีบทำเวลากับขึ้นรถตามนัด


ระหว่างทางไปจุดหมายแรก แอบแง้มม่านดูวิว แล้วก็เห็นอย่างในรูป ฟ้าเปิด แดดแจ๋ ฟูจิซังโชว์ตัวเต็มๆ ตา เห็นแบบนี้ ความสุขล้นทันที หลงรักฟูจิซังทันใด ... มาญี่ปุ่นครั้งแรก ได้เห็นฟูจิซังโชว์ตัวแบบนี้ นับว่าโชคดีไม่ใช่น้อย

นั่งไปสักพัก ก็ถึงที่หมายสำหรับอาหารเที่ยง อาหารมื้อแรกในญี่ปุ่น ... รถจอดตรงลานจอดริมทะเลสาป ชื่ออะไรก็จำไม่ได้แล้ว จำได้แค่ไกด์บอกว่า ใครที่ใส่เสื้อกันหนาวที่บุขนเป็ดมา แนะนำให้ถอดไว้บนรถ เพราะเป็นอาหารปิ้งย่าง แล้วขนเป็ดจะอมกลิ่น อมควัน  กลิ่นอาจจะติดเสื้อไปตลอดทริป ... เสื้อเราไม่ใช่ขนเป็ด แต่ก็ถอดด้วย เพราะต้องใส่อีกหลายวัน ถอดเสร็จก็ฝ่าอากาศเย็นยะเยือก รีบเดินไปร้านอาหาร จะวิ่งก็ไม่ได้ เพราะพื้นมีหิมะที่ค้างอยู่ เกรงว่าจะโชว์ลื่นกลิ้งโคโล่ให้ได้อาย

มื้อแรกเป็นปิ้งย่างบนก้อนหินร้อนๆ ไกด์เตรียมน้ำจิ้มแจ่ว กับ น้ำพริกมาด้วย แต่เราไม่ใช้ เพราะรสชาติอาหารแบบออริจินอล กินตามแบบที่ร้านเตรียมไว้ ก็อร่อย ปลาบปลื้มแล้ว .. อิ่มแล้วก็ออกมาถ่ายรูปริมทะเลสาปเป็นที่ระลึกสักนิด แต่สู้ความเย็นไม่ไหว มนุษย์เขตเมืองร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตรอย่างเรา ยังไม่ชินกับความเย็น ขอไปนั่งทำใจบนรถดีกว่า


จากนั้นก็มุ่งหน้าไปชมฟูจิซังแบบใกล้ๆ ตามโปรแกรมจะไปที่ชั้น 5 แต่เนื่องจากมีหิมะตกมาเมื่อสัปดาห์ก่อน เลยขึ้นไม่ได้ ไปได้แค่ชั้นแรก แต่ได้แค่นี้ก็พอใจสุดๆ แล้วค่ะ แค่เห็นไกลๆ ก็หลงรักแล้ว และยังได้สัมผัสหิมะด้วย มาครั้งแรกเจอแบบนี้ ฟินนนนน แล้วค่าาาาาา

จุดหมายต่อไป ลานสกี ฟูจิเท็น แค่เจอหิมะริมทางก็ตื่นเต้นแล้ว นี่ได้มายืนกลางลานสกี ทั้งตื่นเต้น ทั้งหนาวค่ะ ไอเย็นแทรกซึมเข้ามาในรองเท้าบูท เท้าเย็นยิ่งทำให้หนาวสะท้าน


ไกด์นำเสนอให้ขี่จักรยาน หรือ กระดานเลื่อน อะไรนี่หล่ะค่ะ มนุษย์ผู้คุ้นชินกับอาการอุ่นจนร้อนอย่างดิฉันหาได้สนใจมั้ย เพราะหนาวจนจะสั่น แล้วหากเสื้อโค้ทชื้นจากหิมะอีก ได้ฟันกระทบกันชัวร์ ... ปล่อยให้สมาชิกในกลุ่มที่สนใจเค้าเล่นกันไป ส่วนเราปรี่มาตรงอาคาร รับไออุ่นจากฮีทเตอร์ จิบโกโก้ร้อนๆ จากตู้กด เดินชมของที่ระลึกดีกว่า

ถึงเวลานัด ก็เคลื่อนขบวนไป โกเท็มบะ เอาท์เล็ท ไกด์ตั้งใจจะทำเวลาให้ได้เห็นฟูจิซังจากที่นี่ส่งท้ายวันด้วย แต่เพราะเป็นช่วงใกล้คริสต์มาส คนญี่ปุ่นก็ออกมาซื้อของกันเยอะ รถมุ่งหน้าไปเอาท์เล็ทคับคั่ง กว่าจะไปถึง ก็มืดตึ๊ดตื๋อแล้ว ... ยิ่งมืดก็ยิ่งหนาว เป็นการเดินชมร้านค้าที่ไม่เพลินเลย เพราะอากาศเย็นมาก พูดไอออกปากตลอด เดินเข้าร้านก็อุ่นเพราะฮีทเตอร์ แต่พอเดินออกมาก็หนาวอีก หนาว อุ่น หนาว อุ่น สลับไปมา จนเกรงว่าจะเป็นไข้ ... เอาท์เล็ทก็กว้างใหญ่เกิ้นนนน ต้องวางแผนเดินว่าจะไปทางไหน แล้วจะได้วนกลับมาที่จุดนัดพบพอดี

สมาชิกทยอยขึ้นรถจนครบ ก็ออกตัว ตรงไปโรงแรมกันเลยค่ะ คืนนี้พักที Fujinobo Kaen Hotel ... ถึงปุ๊บ ไกด์พาขึ้นไปห้องอาหารชั้น 9 ก่อนเลย 


ไฮไลท์ของเมนูเย็นนี้ คือ บุฟเฟ่ต์ขาปูค่ะ ... รูปบนเป็นปูทาราบะ ที่ทัวร์นี้จัดพิเศษไว้ให้ลูกทัวร์ ส่วนรูปล่างเป็นปูอีกชนิดนึง จำชื่อไม่ได้แล้ว สำหรับชนิดนี้ ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ให้ลูกค้าทุกกลุ่ม ไกด์เตรียมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดมาด้วย ลูกทัวร์ก็แทะปูกันมันไปเลย

ระหว่างลูกทัวร์รบกับอาหารตรงหน้า ไกด์ก็มาแนะนำจุดสำคัญในโรงแรม พร้อมนัดเวลาของวันพรุ่งนี้ ... พอกินอิ่มก็แยกย้ายกันรับกุญแจตรงเข้าห้องพัก

โรงแรมนี้มี ออนเซ็น ให้บริการสำหรับลูกค้าที่เข้าพัก ไกด์ก็ชักชวนให้ไปใช้บริการ ... เราสองคนก็สนใจอยู่ แต่ติดอยู่ตรงที่ มีกรุ๊ปทัวร์ไทยหลายกลุ่ม คนไทยยอะมากกกกกกกกก เดินสวนกันตลอด ลองลงไปชั้นที่มีออนเซ็น แล้วแอบแง้มประตูดู ... คุณพระ รองเท้าสิบกว่าคู่ ครั้นเข้าไปแล้วเจอคนจากกรุ๊ปอื่นก็ไม่เท่าไหร่ เกรงว่าจะเจอคนในกรุ๊ปเดียวกันเองนี่ซิ ยังต้องเจอหน้ากันอีกหลายวัน ภาพมันจะติดตาอ่ะนะ


ย้อนกลับห้องนอน อาบน้ำในห้องนี่หล่ะ แล้วเข้านอนดีกว่า Oyasuminasai นะคะ ... พรุ่งนี้ เจอกันค่ะ

11.1.57

Hello Test 1...2...3

ร้างลาจากการอัพบล็อกไปร่วมปี เว้นวรรคไปนาน กลับมาเปิดอีกที งง

ไหนๆ ก็ งงแล้ว ทดลองเข้าผ่านไอโฟนซะเลย

เข้ามาแล้วก็ลองอัพดู ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง