28.4.57

รื้อฟื้นความจำ ... First Time in Japan #2

หลังจาก เมื่อวาน เข้านอนในชุดยูกาตะ ในห้องนอนสไตล์ญี่ปุ่น พร้อมกับฮีทเตอร์ที่เปิดไล่ความหนาวเย็น ... ผลคือเหงื่อแตกซิก คอแห้งผาก กระสับกระส่ายทั้งคืน 

อาการดังกล่าวเกิดจาก ความไม่รู้ของมนุษย์เมืองร้อนที่ไม่เคยเจอฮีทเตอร์ เพราะ ไกด์บอกให้แง้มหน้าต่างสักนิดให้พอมีไอเย็นจากข้างนอกเข้ามาบ้าง แต่ไอเย็นมาจากหน้าต่างทางซ้าย กับไอร้อนจากฮีทเตอร์ที่มาจากด้านบน ตกลงมาเจอกันตรงที่นอนพอดี ร้อนๆ หนาวๆ จนงง เลยปิดหน้าต่าง และไม่ได้แง้มประตูห้องน้ำ เปิดน้ำใส่อ่างล่างหน้าให้มีความชื้นภายในห้องบ้าง ... มนุษย์เมืองร้อนเลยนอนหลับไม่สนิท ตื่นขึ้นมาก่อนมอร์นิ่งคอลล์ที่นัดเวลาไว้ 5.45 น. ของญี่ปุ่น ซะอีก

Day 3 : 23 ธ.ค. 56 ... ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว อาบน้ำ แต่งตัว เก็บของ เอากระเป๋าไปไว้ที่จุดนัดพบ แล้วขึ้นลิฟท์ไปหม่ำมื้อเช้าที่ห้องอาหาร ชั้น 9 กันเลยดีกว่า ... ไกด์บอกไว้ว่าเราสามารถมองเห็นฟูจิซังได้จากห้องอาหารเลย


ออกจากลิฟท์ หมุนตัวเข้าห้องอาหาร แล้วก็ปะทะกับวิวตรงหน้าแบบนี้ ... กรี๊ดดดดดดดด ฟูจิซังเต็มๆ ตาเลยค่าาาาา สวยจนหายมัวขี้ตาเลย

เป็นลูกค้าคู่แรกที่ปรากฎตัวในห้องอาหาร เลยเลือกทำเลที่นั่งชมฟูจิซังได้อย่างสะดวกค่ะ ... ลุกไปตักอาหารเช้า แล้วมาละเลียดกินไป ชมวิวไป เป็นมื้อเช้าที่สุขสุดๆ

อิ่มแล้วก็ออกเดินทางค่ะ จุดหมายแรกคือ หุบเขาไข่ดำ Owakudani ... นอนไม่ค่อยหลับ เลยถือโอกาสงีบสักนิดระหว่างทาง พอถึงจุดหมายเดินลงรถไปถึงกับเหวอ เพราะปะทะกับอากาศที่เย็นยะเยือก ได้ยินสมาชิกในกรุ๊ปพูดแว่วๆ ว่าอากาศติดลบ


ทั้งอากาศหนาว ทั้งลมแรง แล้วยังเจอควันพวยพุ่งจากบ่อกำมะถันบ่อเล็กบ่อน้อยบริเวณนั้น แม้จะงงกับบรรยากาศรอบตัว แต่ก็ไม่วายขอชักภาพคู่กับเจ้าแม่คิตตี้ทั้ง 2 ปาง ที่เป็นสัญลักษณ์อยู่ตรงนั้นแป๊บนึง ... ถ่ายรูปเสร็จก็รีบจ้ำตามไกด์ เดินไปตามทางที่ไกด์บอก ค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ 

เดินกันไปเงียบๆ 2 คน ไม่ได้งอนกัน หรือว่ากำลังซึมซับบรรยากาศ แต่เหนื่อยค่ะ ... การต้องใช้กำลังในอากาศหนาวแบบนี้มันเหนื่อยกว่าอากาศร้อนซะอีก มีสติกับการเดินและหายใจ หายใจเข้าลึกๆ ก้าวเท้า หายใจออกยาวๆ ก้าวเท้า และแล้วก็ถึงจุดหมายค่ะ


ด้านบนควันกำมะถันหนาแน่นมาก ในขณะที่เราต้องการอากาศบริสุทธิ์หายใจเข้าไปให้เต็มปอด ดันสูดไปเจอกลิ่นพิกล ต้องปรับตัวตั้งสติสักพัก แล้วก็หยิบกล้องมาเก็บภาพ ... สักพักเสียงไกด์ก็เรียกให้ไปรับ ไข่ดำ คนละฟอง อภินันทนาการจากทัวร์ค่ะ เขาบอกว่า กินไข่ต้มจากกำมะถันที่นี่ 1 ใบ อายุจะยืนยาวเพิ่มขึ้นอีก 7 ปี 

เขาว่าดีเราก็กิน ระหว่างยืนปอกเปลือกไข่ กินไข่จิ้มเกลืออยู่ ก็มีละอองขาวๆ ปลิวฟุ้งไปทั่ว เลิ่กลั่กหันซ้ายหันขวาอยู่พักมองหาว่ามันมาจากไหน ... ว๊ายยยยย มันคือหิมะค่ะ มาญี่ปุ่นครั้งแรก ได้เจอหิมะปลิวร่วงลงมาต่อหน้าต่อตาครั้งแรกด้วย ฟินนนน

สดชื่นรื่นเริงมีแรงเดินลั้ลลาลงมาเตร่ชมสินค้า และของที่ระลึกแถวนี้ ... ช้อบ ชอบ สินค้าญี่ปุ่น ไม่ว่าอะไรก็ดูน่าสนใจ น่าลอง น่าใช้ น่าชิม ไปซะหมด และที่สำคัญเป็นของที่ระลึกเฉพาะย่านจริงๆ ถ้าไม่ซื้อที่นี่ ก็หาซื้อที่อื่นไม่ได้ ... ซื้อของติดไม้ติดมือนิดหน่อย ก็ขึ้นรถเตรียมเดินทางต่อค่ะ

จุดหมายต่อมา คือ ล่องเรือทะเลสาบอาชิ ไกด์พูดให้ลุ้นว่าจะได้ลงเรือลำไหน เพราะเรือลำสีน้ำเงินมีความพิเศษตรงที่มีจุดถ่ายรูปสามมิติได้ 


ได้ลงเรือลำสีน้ำเงินจริงๆ ค่ะ ไกด์บอกว่าอย่าลืมไปถ่ายรูปนะ ไอ้เราก็ขึ้นไปถ่ายรูปข้างบนค่ะ เก็บวิวโน่นนี่นั่น ยืนชมวิว ดูโทริอิกลางน้ำ แล้วก็รีบเข้ามาซุกตัวอยู่ในเคบิน เพราะอากาศเย็นเกิ้นนน และเวลาล่องเรือก็แป๊บเดียว ... ไอ้จุดถ่ายรูปสามมิติได้ที่ไกด์ว่า ไม่ได้สนใจหาหรอก หนาววววว

ลงจากเรือก็ได้เวลามื้อกลางวัน จำชื่อร้านไม่ได้ซะแล้ว จำได้แต่ว่าร้านใหญ่โตมีทัวร์ลงหลายกรุ๊ป และคนญี่ปุ่นก็มากันเยอะ ต้องยืนรอหน้าร้านให้เจ้าหน้าที่ร้านจัดคิวก่อนเข้าร้าน ระหว่างรอก็ไปอุดหนุนสตอเบอรี่ลูกโต๊โตของคุณลุงคุณป้าที่ตั้งขายอยู่หน้าร้านสักหน่อย ... ปกติไม่กินสตอเบอรี่ แต่สตอเบอรี่ญี่ปุ่นนี้ของลองสักหน่อยเหอะ

ยังไม่ทันชิมสตอเบอรี่ เพราะเจ้าหน้าที่เรียกเข้าร้านแล้วค่ะ อาหารที่เตรียมไว้เป็นชุดใครชุดมัน ... ไกด์ถามล่วงหน้าไว้แล้วว่ามีใครที่ไม่ทานปลาดิบบ้าง เพราะในชุดอาหารมีปลาดิบ สำหรับคนไม่ทานจะได้แจ้งร้านให้เตรียมอาหารอื่นให้ ... สำหรับเรานั้น มาญี่ปุ่นทั้งทีจะพลาดปลาดิบได้อย่า งไร มื้อนี้มีควบทั้งปลาดิบ อุด้ง เทมปุระ ไข่หวาน แซลมอนย่าง และผักเคียง กินเพลิน อิ่มจนจุกค่า ... อิ่มแล้วก็ช้อปต่อเพราะที่นี่เป็นทั้งร้านอาหารและมีของฝากขายด้วย และของเด่นตรงจุดนี้คือ วาซาบิค่ะ

แล้วไกด์ต้อนขึ้นรถ พาไปส่งที่ Ramen Museum แถวโยโกฮาม่า ค่ะ ... ไม่ได้พามาชิมราเม็งนะคะ เพราะเพิ่งอิ่มมื้อเที่ยงมา แต่พามาปล่อยให้ลูกทัวร์ได้เดินชมบรรยากาศ ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกเท่านั้น ... จากที่เคยเห็นพิพิธภันฑ์ราเม็งในรายการทีวีแชมเปี้ยน ก็มีภาพในหัวว่าคงจะตื่นตาตื่นใจ แต่ของจริงไม่กว้างมาก และให้อารมณ์เหมือนเพลินวานบ้านเรา เพียงแต่ชัดเจนกว่าตรงที่ มีสารพันราเม็งจากร้านเด็ดมาให้ลอง เดินวนไปเดียวก็ทั่วแล้วค่ะ

มายืนรอตรงจุดนัดพบ เพื่อจะเดินไปสถานี Shin-Yokohama ค่ะ ไกด์ปลีกตัวไปซื้อตั๋วไว้ให้ก่อน ปล่อยให้หัวหน้าทัวร์คอยดูแลลูกทัวร์อยู่ พอสมาชิกครบก็ยกขบวนเดินกันไป


ไกด์นัดแนะวิธีการขึ้นชินคันเซ็น แล้วก็เดินนำบ้าง เดินต้อนลูกทัวร์บ้าง เพื่อให้ไปทันเวลาขึ้นรถไฟ ... บร๊ะ มาญี่ปุ่นทริปนี้ ครบจริงๆ ฟูจิซัง หิมะ ชินคันเซ็น ฟินซิคะ ... จุดหมายของการนั่งชินคันเซ็นคือ สถานีโตเกียวค่ะ แล้วก็ต่อรถไฟอีกขบวนไป ชินจูกุ


ระหว่างเดินอยู่ภายในสถานี ไกด์ก็แนะวิธีการขึ้นรถไฟในญี่ปุ่น ว่าควรจะสังเกตอะไรตรงไหนบ้าง เพื่อประโยชน์สำหรับวันพรุ่งนี้ที่เป็นฟรีเดย์ ... มาถึงชินจูกุแล้ว ไกด์ก็แจกแผนที่ย่านนี้ แล้วแนะนำร้านเด็ดๆ เด่น ก่อนปล่อยให้เดินเล่น ช้อปปิ้ง สักพัก ลูกทัวร์แตกตัวเดินกันคนละทางตามชอบใจ พอถึงเวลานัดก็มารวมตัวเพื่อเดินไปร้านอาหารเย็นค่ะ

Mo-Mo Paradise คือที่หมายของมื้อนี้ค่ะ จำไม่ได้ว่าอยู่ตึกไหนยังไง เพราะเดินชมวิวคนวิวตึกตามไกด์ไปเรื่อยๆ ขึ้นลิฟท์ไปถึงร้านแล้ว ก็ต้องให้เวลาไกด์จัดลูกทัวร์ลงประจำโต๊ะอีก เพราะมื้อนี้ มีทั้งเนื้อวัว เนื้อหมู แยกโต๊ะชัดเจนว่า โต๊ะนี้หมู โต๊ะนี้วัว ... เราผู้โปรดปรานเนื้อ แต่คุณเจ้านายไม่บริโภคเนื้อเลยต้องนั่งแยกโต๊ะกัน


การนั่งแยกโต๊ะไม่เป็นปัญหาเลยค่ะ เพราะถาดเนื้อตรงหน้านั้นมันเย้ายวนใจเหลือเกิน ... แต่ละโต๊ะนั่งได้ 6 คน บ้าง 8 คนบ้าง ตามขนาดโต๊ะ แต่โต๊ะเรานั้น นั่งกัน 4 คน และมีเจ้าถาดดำในรูป 1 ถาด กับ ถาดสีครีมอีก 4 ถาด วางอยู่ คีบเนื้อในถาดจุ่มน้ำซุป กินกันสบาย หมดก็ขอเติมได้เรื่อยๆ หูยยยยย ปลื้ม

เนื่องจากดิฉันเป็นมนุษย์เคี้ยวเอื้อง กินช้า ก็กินเรื่อยๆ และก็กินสลับไปมาระหว่างถาดสีดำกับถาดสีครีม ... แต่แอบสังเกตว่า สมาชิกอีก 3 คนในโต๊ะ นั้น คีบแต่เนื้อจากถาดสีครีมกันอย่างเดียว เพราะมันไม่มีมัน และเป็นแผ่นใหญ่เท่าฝ่ามือ ส่วนถาดสีดำเนื้อเป็นเส้นยาวและมีมันแทรก

สักพักคุณพี่ผู้หญิงร่วมโต๊ะก็หันมาถามว่า เอาเนื้อมาเพิ่มอีกมั้ย พร้อมกับจิ้มไปที่ถาดสีครีม เราก็บอกได้ค่ะ ... คุณพี่ก็หันไปแจ้งคุณไกด์ว่าขอเนื้อเพิ่ม ไกด์ถามกลับว่าเนื้ออะไร คุณพี่ตอบเนื้อวัว คุณไกด์ก็หันมาจิ้มนิ้วลงบนถาดดำ ว่านี่ก็เนื้อวัวนะคะ ซึ่งเนื้อในถาดพร่องไปไม่กี่ชิ้น

เท่านั่นหล่ะ สมาชิกร่วมโต๊ะทั้ง 3 หมุนตะเกียบจากถาดสีครีมมาถาดสีดำทันที แล้วหันมาถามเราว่า เป็นยังไง เราบอก อร่อยค่ะ นุ่มละมุนลิ้นมาก ... แต่เนื้่งจากสมาชิกร่วมโต๊ะทั้ง 3 เพลี่ยงพล้ำให้เนื้อหมูไปมากแล้ว เลยมาจัดการเนื้อวัวไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็วางตะเกียบ ทั้งอิ่มและอยากออกไปเดินช้อปปิ้งกันต่อด้ว

เลยปล่อยเนื้อวัวราวครึ่งถาดให้ดิฉันผู้หมายมั่นและยังเพลิดเพลินกับการกินอยู่ จัดการต่อแต่เพียงลำพัง ... ละเลียดกินไปเรื่อยๆ ฟินแต่เพียงลำพัง อิ่มแล้วค่อยหันไปดูคุณเจ้านายว่าเป็นยังไงบ้าง คุณเค้าก็อิ่มแต่ไม่อร่อยเท่า เพราะน้ำซุปสำหรับคนไม่กินเนื้อวัว เป็นน้ำเปล่า เนื่องจากน้ำซุปของร้านนี้ต้มจากกระดูกวัว คนที่ไม่กินเนื้อวัว เลยได้ซุปน้ำเปล่าซึ่งแม้จะใส่ผักใส่หมูลงไปแล้วรสชาติก็ไม่กลมกล่อม

อิ่มแล้ว เดินย่อยสักนิด ก็มาจุดนัดพบเพื่อขึ้นรถทัวร์ไปโรงแรม Sunshine City Prince Hotel ย่าน Ikebukuro ที่พักสำหรับ 2 คืนในโตเกียวค่ะ ... ถึงโรงแรมแล้ว ไกด์แจกกุญแจห้องให้เอาของขึ้นไปเก็บ และนัดเวลาให้ลงมารวมตัวกัน สำหรับสมาชิกที่อยากเดินสำรวจร้านรวงในละแวกนี้

เป็นโรงแรมที่ถูกจริตนักช้อปชาวไทยมากค่ะ ชั้นล่างมี Family Mart และโรงแรมติดกับห้างสรรพสินค้า ย่านร้านค้าในละแวกใกล้เคียงก็มากมาย อยู่ไม่ไกลจากสถานี Ikebukuro มากนัก ... อารมณ์เหมือนอยู่ลาดพร้าว ที่มีเซ็นทรัลลาดพร้าว โรงแรม และยูเนี่ยนมอลล์ แต่ที่ญี่ปุ่นนี่ใหญ่โตอลังการตื่นตาตื่นใจกว่าค่ะ แค่เดินในละแวกนี้ก็เพลินนนนนน

เราตามไกด์ไปสำรวจเส้นทางเรียบร้อย แวะชมร้านค้าสักหน่อย ก็กลับเข้าห้องพัก ชาร์จแบตเตรียมตัวลุยวัน พรุ่งนี้ ค่ะ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น