21.10.58

๋Japan #2 : Kyushu (Tosu Premium Outlet)

เมื่อวาน เดินเที่ยววัด เที่ยวศาล และช้อปปิ้งกันเต็มพิกัด ... วันนี้เตรียมตัวเดินกันต่อ ลงมาจัดการอาหารเช้า ที่โรงแรมจัดไว้ให้ ทำเรื่องเช็คเอาท์ และขอฝากกระเป๋าเอาไว้ก่อน

จริงๆ อยากจะพักที่โรงแรมนี้ต่อ เพราะเดินทางเที่ยวสะดวกดี แต่วันที่เหลือต่อจากนี้ไม่มีห้องพักว่าง เราเลยต้องปรับแผนที่พัก ย้ายที่พักกันอีก แต่ก่อนจะย้าย ของฝากสัมภาระเอาไว้ระหว่างไปเที่ยวก่อนนะคะ ... บ่ายๆ จะกลับมารับนะจ๊ะ

นั่งรถไฟใต้ดินไปสถานี Hakata สถานีหลัก ไปถึงเร็ว ก็เข้าชานชลาไปปักหลักนั่งรอ นั่งชมรถไฟขบวนต่างๆ ... แต่เป้าหมายที่เราเฝ้ารอคือ Yufuin no Mori รถไฟชื่อดังของคิวชู

จริงๆ คนส่วนใหญ่จะเลือกนั่งรถไฟขบวนนี้ขาไปหรือขากลับ Yufuin ค่ะ แต่เราพลาด เพราะช่วงที่เราไปรถไฟงดวิ่งเพราะซ่อมบำรุงหรืออะไรสักอย่าง เสียดายสุดๆ ... แต่ JR Northern Kyushu Pass ที่เราซื้อไว้ยังใช้ได้วันนี้อีกวัน และลองหาจุดหมายเที่ยวที่จะใช้ JR Pass นี้ได้ แล้วพอดี๊ พอดี ที่จุดหมายที่เราเลือกไว้เอารถไฟขบวนนี้มาวิ่ง พอเจอข้อมูลแบบนี้ก็รีบจองที่นั่งล่วงหน้าตั้งแต่อยู่ Beppu เลยค่ะ เพราะขบวนนี้ต้องจองที่นั่งเท่านั้นถึงจะขึ้นได้ค่ะ 


โชคดีอีกเด้ง ตรงที่นั่งที่ได้อยู่ในตู้ที่ติดกับตู้ขายอาหารและของที่ระลึกพอดี ... ขึ้นรถปุ๊บเดินไปสำรวจปั๊บ หันไปเจอป้ายกับหมวกที่พนักงานจะถือเดินให้ผู้โดยสารได้ถ่ายรูป เราเลยรีบหยิบใส่ถ่ายเก็บไว้ก่อน เพราะเรามีเวลาอยู่บนรถขบวนนี้แค่ 20 นาที เท่านั้น ... ถ่ายรูปเสร็จก็ซื้อเครื่องดื่มกับขนมมาชิมสักหน่อย รีบซื้อ รีบกิน เพราะแป๊บเดียวก็ถึงสถานีเป้าหมายของเรา

ลงที่ Tosu Station แล้วก็นั่งรถไปต่อไปที่ Tosu Premium Outlets มาเดินช้อปปิ้งกันต่อค่ะ



มาถึงก็ตรงดิ่งไปที่ Information ไปรับ Discount Coupon พร้อมแผนที่ร้านค้า และสอบถามเรื่องรถบัสขากลับเข้าเมือง ... เพราะจริงๆ มีรถบัสที่วิ่งตรงระหว่าง Fukuoka-Tosu Premium Outlets เลย แต่มีรอบวิ่งจำกัด เลยถามข้อมูลเป็นทางเลือกไว้ก่อน ว่าจะกลับรถบัส หรือ กลับรถไฟเหมือนขามา

ได้ข้อมูลแล้วก็ต้องเติมพลังก่อน ตรงเข้าไปที่ Food Court ที่อยู่ไม่ไกล แยกย้ายกันไปเลือกร้านที่ถูกใจ บางร้านก็สามารถใช้คูปองส่วนลดที่ได้มาได้เลย อาจจะได้ลดราคา หรือ ได้ขนม เครื่องเคียงเพิ่มมาก็แล้วแต่เงื่อนไขของร้านค่ะ ... กินอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาแยกย้ายกันไปสำรวจ ก่อนแยกก็นัดเวลาว่ากลับมาเจอกันที่ฟู้ดคอร์ทตรงนี้เหมือนเดิมนะ

เดิน เดิ้น เดิน ตามชอบใจ ช้อปปิ้งกันหายอยากก็รวมตัวชวนกันกลับค่ะ ... ทำเวลาดีกว่าที่วางไว้ ออกไปเจอรถบัสที่วิ่งตรงกลับเข้า Fukuoka พอดี เลยได้นั่งตรงยาว สบ๊ายยยย สบายกลับไปเลย ... รถบัสไปจอดที่ Tenjin Bus Station แล้วก็นั่งรถไฟใต้ดินต่อกลับมาที่โรงแรม

ถึงโรงแรมรับกระเป๋าที่ฝากไว้ จัดสมบัติที่ไปซื้อเพิ่มมาให้พกง่าย ถือง่าย ย้ายที่สะดวก แล้วก็เรียกรถแท๊กซี่ให้พาไปที่พักต่อไป ... จริงๆ ไปรถไฟใต้ดินก็ไม่ลำบาก แต่สัมภาระไม่น้อย กระเป๋าใหญ่เล็กแล้วยังมีถุงอีก ลากขึ้นๆ ลงๆ สถานี แล้วต้องเดินต่อ เราตัวเปล่าๆ ก็ไม่มีปัญหา แต่คนท้องนี่ซิ คงทุลักทุเล ... เดินไปแจ้งเจ้าหน้าที่โรงแรมให้ช่วยเรียกแท๊กซี่ให้ 2 คัน รอพักนึงรถก็มารับค่ะ

พอรถมาก็ยื่นที่อยู่ของอพาร์ทเม้นท์ให้คุณคนขับดู คุณลุงคนขับก็จิ้มๆ GPS ขับพาเราไปส่งถึงที่หมาย Apartment ที่จองผ่าน Airbnb กว่าจะถึงก็ลุ้นนิดหน่อย เพราะเราก็ไม่รู้ชื่ออพาร์ทเม้นท์ จำได้แต่ป้ายหน้าตึกว่าหน้าตาเป็นยังไง  แล้วแยกกันนั่ง 2 คันอีก ต้องคอยคุยกันผ่านไลน์ว่าถึงไหนแล้ว ถึงรึยัง ... พอถึงเรียบร้อยก็กดรหัส Mailbox เอากุญแจห้องที่อยู่ข้างใน แล้วต้องหาทางผ่านเข้าประตูไปอีก เงอะงะ งุนงงอยู่นานว่าจะผ่านเข้าไปยังไง ทำไมประตูอัตโนมัติไม่เปิด ต้องกดรหัสหรือต้องทำยังไงถึงจะผ่านได้ ทำเปิ่นอยู่นานกว่าจะรู้ว่าแค่ไขกุญแจตรงแผงหน้าปัดก็เรียบร้อยแล้ว

ผ่านเข้าไปได้ก็หอบสมบัติขึ้นไปเก็บ เรียกว่าไปโยนทิ้งไว้จะเหมาะกว่า เพราะเปิดเข้าห้องได้ก็วางของแล้วออกมาต่อเลย เพราะหิวแล้ว ... เดินกลับมาที่สถานี Hakata ซึ่งอยู่ไม่ไกล เดินไม่ทันเหนื่อยก็ถึง แต่เดินมาถึงแล้วมีปัญหาตรงที่ไม่รู้จะเลือกกินอะไรดี เพราะมีร้านอาหารให้เลือกหลากหลายเหลือเกิน

เดินสำรวจอยู่หลายชั้น หลายจุด หลายโซน สุดท้ายตกลงเลือกที่ชั้น 9 ซึ่งมีตัวเลือกอาหารเยอะดี ... มาสรุปที่ เซ็ทอาหารญี่ปุ่นที่เห็นแนะนำอยู่ในแผนที่นำเที่ยว สั่งกันมาคนละชุด พออิ่มแล้วก็เดินเที่ยวในห้างที่อยู่ในสถานีต่อ


เดินในอาคารได้ไม่นาน ก็ออกมาเตร่ข้างนอกดีกว่า เพราะลานด้านหน้าสถานีจัด Illumination เตรียมรับฤดูหนาว แสง สี ตื่นตาตื่นใจ ... อากาศชักเย็นขึ้นเลยชวนกันเดินกลับ แต่ก่อนกลับไม่ลืมตุนเสบียงสำหรับมื้อเช้าพรุ่งนี้ เพราะที่พักมีแต่ห้องเปล่าๆ ไม่มีอาหาร แต่มีอุปกรณ์ครัว พร้อมเตาไมโครเวฟให้ใช้

กลับถึงห้องพัก ก็พากันรื้อกระเป๋า ทยอยกันอาบน้ำ แล้วก็เข้านอน ... มาเที่ยวทริปนี้นอนเร็วตื่นเช้าทุกวัน ถ้าดูเวลาญี่ปุ่นก็ปกติ แต่ถ้าดูเวลาไทยนี่ เรียกว่านอน 3 ทุ่ม ตื่นตี 5 แทบจะทุกวัน ... รีบเข้านอน พรุ่งนี้ เดินกันต่อ

Japan #2 : Kyushu (Yufuin-Fukuoka)

เวลา 1 วัน ใน Yufuin ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ... ทีแรกตั้งใจจะตื่นแต่เช้าลงไปแช่ออนเซ็นห้องรวม แต่กลัวจะเพลิน ใช้เวลายามเช้าที่มีจำกัดนานเกิน เลยตัดสินใจอาบน้ำแต่งตัวเก็บของ เตรียมไปจัดการมื้อเช้า

เดินฝ่าลมเย็นฉ่ำไปทานอาหารเช้าอีกตึกนึง มื้อเช้าของที่นี่รวมอยู่ในค่าห้องพักแล้ว เป็นชุดอาหารแบบญี่ปุ่น อาหารหลักโรงแรมเตรียมไว้ให้แล้วแค่นั่งโต๊ะ ก็ยกมาเสิร์ฟทันที ส่วนข้าว ซุป น้ำดื่ม ตักได้เอง ... ที่นี่มีไข่ไก่สดๆ เตรียมไว้ พร้อมป้ายบอกวิธีกิน ให้ตอกไข่ไก่สดๆ คลุกกับข้าว ราดโชยุ  อยากลองชิมแต่ใจไม่ถึง พอมานึกตอนนี้ก็เสียดายว่าน่าจะลองให้รู้รสชาติ ... เป็นอีกหนึ่งมื้อที่อิ่มมากกกก อิ่มท้องด้วย อิ่มตาด้วย เพราะห้องอาหารที่นี่วิวสวยยยยยย มากกกกกกกก (เสียดายที่ลืมติดกล้องไปถ่ายรูปเก็บไว้)

อิ่มแล้วก็มาเก็บของเตรียมเช็คเอาท์ พอลงมาล้อบบี้เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่า เรียกแท๊กซี่ให้เรียบร้อยแล้วนะ รอสักครู่ ... หูยยยยย ประทับใจ

Day 4 : 18 พ.ย. 57 ... นั่งรถไฟจากสถานี Yufuin - Hakata ใช้เวลา 2 ชั่วโมงนิดๆ นั่งชมวิวเพลินๆ จดบันทึก ตรวจทานแผนเที่ยวของวันนี้ เตรียมเอกสารจองโรงแรม ... เพราะนั่งเตรียมของนี่หล่ะ ถึงได้รู้ว่าเมื่อคืนลืมชาร์จแบตกล้อง วันนี้ขาดภาพประกอบซะแล้ว

ถึงสถานี Hakata แล้ว ก็ต้องลากกระเป๋าไปนั่งรถไฟใต้ดินต่อ เพราะเคยเดินในสถานีนี้แล้ว เริ่มคุ้นทางลากกระเป๋าลงบันไดเลื่อนคล่องแล้ว ... นั่งรถไฟไปสถานี Gion เดินออกจากทางออกนิดนึงก็ถึงที่พักคืนนี้ Toyoko Inn Hakata Ekimae Gion ทำเรื่องเช็คอิน กระเป๋าใหญ่ที่ฝากส่งมา ถึงแล้วเรียบร้อย เลยจัดการฝากกระเป๋าใบเล็กที่ลากตะลอนมา 3 วัน เอาไว้ด้วย สัมภาระเรียบร้อย ก็ออกเดินเที่ยวเลยค่ะ

เริ่มกันที่ Tochoji Temple แค่เดินข้ามถนนจากโรงแรม แล้วเดินต่ออีกหน่อยก็ถึงค่ะ วัดเงียบ สงบ แต่ดูขลัง เดินชมสักหน่อย แล้วก็เดินไปจุดหมายต่อไปที่อยู่ไม่ไกลกันค่ะ แค่เดินเข้าซอยต่อไปอีกนิดก็ถึง Shofukuji Temple วัดนี้ร่ม ครึ้ม เย็น ... ที่ประทับใจคือวัดนี้มีแมวอยู่หลายตัว มีอยู่ตัวนึงหน้าอย่างโหด แต่นอนนิ่งอยู่ข้างๆ ชายญี่ปุ่นที่นั่งเล่นอยู่ด้วย แล้วสักพัก คุณแมวก็หงายท้องนอนอ้าซ่า แล้วก็นอนอยู่ท่านั้นนานนนนน มากกกก เรียกว่าใครที่เดินแวะเข้ามาในวัดนี้ ต้องเดินแวะมาดู แล้วก็อมยิ้มทุกคน

ชมวัดพอเป็นพิธี ไปเดินหามื้อเที่ยงดีกว่า ... เสี่ยงดวงเลือกร้านข้างทางที่เดินผ่าน อ่านก็ไม่ออกว่ามีอะไรขายบ้าง แต่ดูจากรูปแล้ว เจอข้าวแกงกะหรี่หมูทอด กับ ชุดของทอด สั่งมาลองชิมก็ไม่เลว ... ท้องอิ่มก็ออกเดินต่อ

มุ่งหน้าไป Kushida Shrine ศาลเจ้าเก่าแก่ของฟุกุโอกะ ล้างมือตามธรรมเนียมญี่ปุ่นเรียบร้อย ก็ไหว้พระขอพร เดินชมมุมต่างๆ แล้วก็ออกเดินไปจุดหมายต่อไป

Canal City ห้างสรรพสินค้าใหญ่โตแห่งฟุกุโอกะ มีทั้งร้านค้า ร้านอาหารสารพัดให้เลือก ไปเที่ยวธรรมชาติ เที่ยวปราสาท เที่ยววัดมาแล้ว ตอนนี้ก็ได้เวลาช้อปปิ้งแล้วค่า ... 4 คน แยกเป็น 2 คู่ เดินช้อปปิ้งตามชอบใจ นัดเวลาว่าจะเจอกันกี่โมง ที่ไหน เรียบร้อย ก็ออกสำรวจห้างเลยค่ะ

พอถึงเวลานัดก็กลับมาเจอกัน ดีที่เช่า Pocket Wifi ไป 2 เครื่อง แยกกันไปเดินก้ไม่มีปัญหา ส่งไลน์หากันได้สะดวกสุดๆ ... ที่ Canal City มี Ramen Stadium เรา 4 คน เลยเลือกฝากท้องไว้ที่นี่หล่ะค่ะ มีร้านราเม็งขึ้นชื่อ 8 ร้าน ให้เลือกชิม

เลือกไม่ถูกว่าจะเข้าร้านไหน เราเลยเลือกนั่งโต๊ะตรงพื้นที่ส่วนกลาง แล้วแยกย้ายกันไปสั่งราเม็นจากร้านที่แต่ละคนชอบ ... วิธีสั่งซื้อ ก็ต้องหยอดตังค์กดตู้สั่ง แล้วนำกระดาษที่ได้ไปส่งให้พนักงานด้านใน กลับมานั่งรอที่โต๊ะ เดี๋ยวพนักงานก็เอามาเสิร์ฟค่ะ ... อย่าถามนะคะว่าสั่งร้านอะไร เมนูอะไร เพราะอ่านไม่ออกเลย ญี่ปุ่นล้วนๆ สั่งกันคนละอย่างแล้วมาแลกกันชิม ได้อร่อยแบบหลากหลาย

ท้องอิ่มแล้วก็เดินกลับโรงแรมค่ะ ... วันนี้ตั้งแต่เข้าเมืองมาก็เดินเที่ยวอย่างจริงจัง ทั้งขา ทั้งเท้า ทำงานเต็มที่ กลับเข้าห้องพักเอาเท้าแช่น้ำอุ่นๆ เก็บข้าวของ เตรียมตัวลุยวันพรุ่งนี้ต่อดีกว่า

15.10.58

๋Japan #2 : Kyushu (Beppu-Yufuin)

หลังจาก เมื่อวาน ได้แช่ออนเซ็นก่อนเข้านอน ก็ติดใจ กะว่าจะตื่นมาลองแช่ออนเซ็นบ่อรวมสักรอบ ... แต่ฟุตองนุ่มๆ กับผ้าห่มอุ่นๆ มันช่างดึงดูดเกินจะต้านทานไหว ปล่อยตัวกลิ้งอยู่บนที่นอน จนได้เวลาต้องตื่น อาบน้ำในห้องนอนนั่นหล่ะ ไม่ลงไปออนเซ็นแล้ว 


ลงไปจัดการมื้อเช้าเลยดีกว่า มื้อนี้ก็รวมอยู่ในค่าห้องแล้วเช่นเดียวกับมื้อเย็นนะคะ ... เป็นมื้อเช้าสไตล์ญี่ปุ่นแบบเต็มพิกัด มีไม่มาก แต่กินแล้วอิ่มใช้ได้ ... อิ่มแล้วก็จัดการเก็บสัมภาระ เตรียมเดินทางกันต่อค่ะ

Day 3 : 17 พ.ย. 57 ... ค่อยๆ เดินลากกระเป๋า รับลมเย็นๆ ไปสถานี ... ทริปนี้มีคนท้องเลยต้องเผื่อเวลาเดินไว้เยอะหน่อย คนท้องจะได้ไม่ต้องรีบจ้ำ ไม่เหนื่อยเกินไป ส่วนใหญ่ก็ทำเวลาได้ดี มีเวลาเหลือ ให้นั่งเล่น ถ่ายรูปเล่น 


บ๊าย บาย Beppu ... นั่งรถไฟขบวน Sonic ไป Oita แล้วเปลี่ยนขบวนไปนั่ง JR Kyudai Line ไป Yufuin เพราะเป็น ขบวน Local เลยวิ่งเรียบๆ เรื่อยๆ ให้เรามีเวลาชมวิวข้างทาง วิ่งผ่านเขาไปหลายลูก ใบไม้ยังเขียว มีที่เปลี่ยนสีอยู่บ้างประปราย เห็นแล้วไม่ได้ชวนตะลึง เลยแอบหวั่นใจว่าที่ Yufuin ที่เรากำลังมุ่งหน้าไปนั้น จะมีใบไม้เปลี่ยนสีรอเราอยู่มากแค่ไหน


แต่ Yufuin คงมีมนต์พิเศษ ที่แค่ก้าวพ้นสถานีออกมาเจอวิวนี้ ก็ทำให้ใจเต้นโครมคราม ... อากาศเย็นฉ่ำ สุดปลายถนนเป็นวิวภูเขาที่มีใบไม้สลับสีแซมอยู่นิดๆ หลังหมอกที่ลอยเอื่อยๆ 

รีบไปสำรวจเมืองนี้ดีกว่า จัดการเรียกแท๊กซี่ให้ไปส่งที่พัก เพราะที่พักที่เราเลือกไว้ที่เมืองนี้อยู่ค่อนข้างไกล จริงๆ ถ้าจะเดินก็ได้หล่ะ แต่ต้องเซฟพลังงานให้คนท้อง ... แท๊กซี่แล่นซอกแซกไปตามซอย แค่ได้มองร้านค้า 2 ข้างทางก็ตื่นเต้นแล้ว

ถึงที่พัก จัดการเช็คอิน จองห้องออนเซ็นส่วนตัวเรียบร้อย ที่นี่ดีตรงที่แม้จะจองห้องพักห้องเดียว แต่เราสามารถจองห้องออนเซ็นได้หลายห้องหลายรอบ กรุ๊ปเรา 4 คน จองรอบค่ำเอาไว้ 2 ห้อง ... จัดการฝากสัมภาระชิ้นใหญ่ พกไปเฉพาะชิ้นจำเป็น ออกไปเดินเที่ยวกัน

แม้จะได้แผนที่มาจากโรงแรม แต่ก็เดินงง เลาะไปเจอ Yufuin Floral Village เท่านั้นหล่ะค่ะ ตื่นตาตื่นใจเลย เดินเข้าร้านนั้น ออกร้านนี้ ทั้งใช้ ของเล่น ของฝาก ของจุกจิกกุ๊กกิ๊กประสาญี่ปุ่น ... แต่ที่ดึงดูดใจสุดๆ หนีไม่พ้น ของกิน


ขนมปังไอติม นี่คืออย่างแรกที่ชิม และประทับใจที่สุด ขนมปังนุ่มๆ อุ่นๆ หอมเนย กับซอฟท์ครีมเย็นๆ มันเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ ถึงกับต้องเบิ้ลซ้ำอีกรอบ ... ส่วนไก่ทอด กับ โคโรเกะ ก็อยู่ใกล้ๆ ซื้อมาลองชิมดูสักหน่อยให้พอรู้รส

ชิมพอให้มีแรงเดินไป Kirinko Lake ... ว่าแต่จะต้องเดินไปทางไหนเนี่ย ร้านค้าข้างทางมันช่างดึงดูดให้เราเข้าไป เดินไม่ถึงที่หมายสักที ... เอาหล่ะ เดินตามคณะทัวร์คงถึงแน่ๆ และแล้วเราก็เดินมาจนเจอป้ายบอกทางเข้า


และนี่คือ ภาพแรกที่เห็น ... ยืนนิ่งๆ มองให้เต็มตา เก็บภาพบันทึกลงสมองให้เต็มที่ แล้วค่อยหยิบทั้งกล้อง ทั้งมือถือ มาเก็บภาพซ้ำไว้ ... มุมเดียวนี่กดชัตเตอร์เก็บไว้หลายรอบเหลือเกิน เพราะถ่ายยังไงภาพที่ได้ก็สวยน้อยกว่าที่ตาเห็น

ถ่ายรูปมุมนี้จนจุใจ ก็เดินลึกเข้าไปด้านใน ... ที่ห่วงว่าจะเจอใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ รึเปล่า ที่นี่จัดมาครบ มาแบบเต็มพิกัด ทั้งเหลือง ส้ม แดง น้ำตาล เข้าใจเลยว่า สวยจนตะลึงเป็นยังไง ... ที่ตั้งใจจะมาดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น ภารกิจลุล่วงแล้ว


เดินวนรอบทะเลสาป เหนื่อยใช้ได้ ให้คนท้องได้นั่งพักเท้าสักหน่อย และเราทั้ง 4 จะได้เติมอะไรจริงจังรองท้องสักนิด ... ร้านโซะบะคนน้อยหน่อย น่าจะรอไม่นาน เลือกร้านนี้แล้วกัน มีทั้งแบบร้อน และเย็นด้วย ลองสั่งมาทั้ง 2 แบบแบ่งกันชิมดู ก็โอเคดี

ได้พักแล้วก็ออกเดินกันต่อ ยังมีร้านรวงอีกสารพัดให้แวะชม แวะดู แวะถ่ายรูป ... หลงรัก Yufuin อย่างจริงจัง เมืองอาไร้ น่ารักน่าเอ็นดู ... เดินๆ ไปเจอ ป้าย Igrek Chocolat Cafe ว่าที่คุณพ่อเลยชวนเดินเข้าไปดู เหมือนหลงเข้ามาในหมู่บ้านขนาดย่อม มีบ้านกระจายอยู่ 4-5 หลัง แล้วแต่ละหลังก็เปิดร้านในบ้านนั่นแหละ พอเข้ามานั่งด้านใน เอ๊ะ มันดูคุ้นๆ ตา

ระหว่างรอชอคโกแลตร้อนที่สั่งไป ก็นั่งนึกต่อว่าเคยเห็นที่ไหน อ๋ออออ นึกออกแล้ว เคยเห็น ร้านนี้ จาก รายการ Majide Japan ตอนพาเที่ยว Yufuin นี่เอง ... พอคุณเจ้าของร้านเอาชอคโกแลตมาเสิร์ฟ ก็เลยบอกให้เขารู้ว่าร้านเขาได้ออกรายการนำเที่ยวด้วยนะ ใช้ทั้งภาษาอังกฤษและภาษามือ สุดท้ายเปิดคลิปให้เขาดูเลย พอเขาเห็นคลิปก็ตื่นเต้น ปล่อยให้เขาดูไป ส่วนเราก็ไปละเลียดชิมชอคโกแลตร้อน เข้มข้น หอมๆ ขมๆ อร่อยๆ ... ตอนเก็บตังค์ คุณเจ้าของส่งชอคโกแลตเป็นของกำนัลมาให้ ตอบแทนที่แนะนำคลิปให้เขา เราก็โค้งขอบคุณที่เขาให้ขนมมา ... ประทับใจสุดๆ

อิ่มใจแล้วเดินสำรวจเมืองต่อ ได้ชิมขนมโน่นนี่รายทางเพิ่มอีก ทั้งไก่ทอด โมจิ ทาโกะยากิ ขนมเค้ก ซื้อมาอย่างละนิดแบ่งกันชิมให้รู้รส พอให้หายข้องใจ ... เดินชิมมาเรื่อยๆ ตั้งแต่มาถึง จนแทบจะสะกดคำว่าหิวไม่เป็น เลยตกลงกัน แวะเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต ตุนเสบียงมื้อเย็นเอาไปกินในห้องพัก ได้มาทั้งซูชิ ซาชิมิ แซนด์วิช และขนมจุบจิบ ... ตุนเสบียงพร้อม เดินกลับโรงแรม ถึงโรงแรมก็เมื่อย เหนื่อย และหิวอีกรอบพอดี


Yawaragi No Sato คือที่พักที่เราเลือกสำหรับเมืองนี้ค่ะ ... หาข้อมูลที่พักในเมืองนี้อยู่หลายจุด แต่ที่พักใกล้ๆ ทางเดินหลัก ไม่ว่าง เลยเลือกที่ห่างออกมาหน่อย ซึ่งไม่ผิดหวังเลยค่ะที่เลือกที่นี่

เพราะตอนกลับมาถึง แจ้งขอรับกุญแจ พนักงานก็ส่งของที่ระลึกให้เรา 4 คน คนละชิ้น สำหรับผู้หญิงได้ถุงผ้าลายญี่ปุ่นเพิ่มกันอีกคนละใบ ... และแจ้งพนักงานล่วงหน้าไว้ว่า พรุ่งนี้จะรบกวนให้เรียกแท๊กซี่มารับ เพราะจะต้องไปขึ้นรถไฟเที่ยว 9 โมงเช้า พนักงานรับคำลงบันทึกไว้ ...  แล้วพอถามถึงกระเป๋าที่ฝากไว้ ก็ได้คำตอบว่าจัดการยกขึ้นไปไว้ในห้องให้เรียบร้อยแล้ว หูยยยยย เลิฟสุดๆ


ที่นี่เป็นที่พักที่ราคาแพงที่สุดของทริปนี้ 46,600 เยน ต่อ 4 คน รวมอาหารเช้าด้วย ... เป็นการจ่ายที่คุ้มค่ามาก เพราะห้องพักกว้างแบบลูกผสมทั้งญี่ปุ่นและยุโรป มีเตียงนอน และพื้นที่ให้ปูฟูกนอนแบบญี่ปุ่น มีห้องน้ำ ห้องสุขาพร้อม ครบทุกสิ่งที่คุณต้องการแน่นอน

จัดโต๊ะวางเสบียงที่เตรียมมา กินไป คุยไป รอเวลาลงไปออนเซ็น ... นัดเวลาเดียวกัน 2 ห้อง ลงไปพร้อมกัน ต้องเดินแยกออกไปตึกอีกฝั่ง ห้องที่เราจองไว้ชื่อ Goemon มีทั้งบ่อ Indoor และ Outdoor เราเริ่มแช่บ่อ Indoor ก่อน แล้วย้ายออกไป Outdoor ได้ประสบการณ์ใหม่ ที่ตัวแช่น้ำร้อนๆ ส่วนหัวรับลมเย็นฉ่ำ แต่ที่เหมือนเดิมคือลุกขึ้นมาแล้ว สบ๊ายยยย สบายตัว ... เดินกลับเข้าตึกพัก นั่งพัก กดน้ำเย็นๆ ดื่มให้ชื่นใจ แล้วกลับขึ้นห้องพัก

มาจัดการปูฟูกนอนเอง แล้วก็ซุกตัวเข้าไปนอน ฟูกนุ่มๆ อุ่นๆ นอนหลับสบายสุดๆ ... พรุ่งนี้ มีแรงเดินสบาย

14.10.58

๋Japan #2 : Kyushu (Kumamoto-Beppu)

เมื่อวาน สำรวจเมือง Kumamoto พอสังเขป เข้าที่พัก จัดการแยกสัมภาระ กระเป๋าเล็ก กระเป๋าใหญ่ เข้านอนชาร์จแบตเตรียมร่างให้พร้อม ... รีบตื่นแต่เช้า มาต่อคิวทานอาหารเช้าที่โรงแรมจัดให้


ข้าว ผักดอง สลัด ซุป และ น้ำชา เป็นอาหารเช้าที่ให้ความรู้สึกว่าอยู่ญี่ปุ่นจริงๆ ... ห้องอาหารที่นี่มีที่นั่งจำกัดค่ะ ส่วนใหญ่รีบกินรีบไป ไม่นั่งยืดย้วย และต้องลุกจากโต๊ะไปแบบเก็บทุกอย่างให้เรียบร้อยเหมือนเดิมด้วยค่ะ ... เอาถาดอาหารไปเก็บ แยกภาชนะ เศษอาหาร แล้วต้องเช็ดโต๊ะให้สะอาดด้วยค่ะ เพราะทุกโต๊ะมีกล่องใส่ผ้าเช็ดโต๊ะวางไว้ให้แล้ว

กินข้าวเสร็จ ก็หยิบกระเป๋ามาเช็คเอาท์ แล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าให้ช่วยจัดส่งกระเป๋าใหญ่ไปที่โรงแรมในเครือเดียวกัน ที่สาขา Hakata ที่เราจะเข้าพักวันที่ 18 ... พนักงานส่งแบบฟอร์มมาให้กรอก แต่สาวไทยทำหน้าตามึนงงและยิ้มแห้งๆ ใส่ พนักงานสาวเลยใจดีกรอกแบบฟอร์มให้ ยืนรอพร้อมยิ้มหวาน แล้วจ่ายค่าธรรมเนียมจัดส่งของให้พนักงาน

Day 2 : 16 พ.ย. 57 ... ได้เวลาออกเดินทางกันต่อค่ะ เดินออกจากโรงแรมไปสถานีแค่นิดเดียว ตามแผนเก่าตั้งใจจะนั่งรถไฟขบวน Aso Boy 1 ในขบวนรถไฟไฮไลท์ของคิวชู แต่อดนั่งค่ะ เพราะเปลี่ยนเส้นทาง


แม้จะไม่ได้ขึ้นไปทักทาย Kuro Chan บนขบวน Aso Boy ก็ทักทายที่สถานีเลยค่ะ เจ้าหมาดำหน้าตาน่าเอ็นดูวิ่งเล่นอยู่เต็มสถานี หวังว่าจะมีโอกาสได้ทักทาย Kuro บนขบวนสักครั้ง ... ซื้อของฝาก ขนม แล้วเข้าชานชลาไปรอชินคันเซ็นกลับไป Hakata แล้วเปลี่ยนขบวนมุ่งหน้าไป Beppu หาที่นั่งเรียบร้อยก็หยิบตั๋วมาเสียบไว้เบาะด้านหน้าเลยค่ะ แล้วจะหลับยาวก็สบาย ถ้าคุณเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋วก็ไม่มีปัญหา

แต่เราไม่ได้หลับหรอกค่ะ นั่งชมวิวข้างทางเพลินๆ มีพนักงานเข็นรถสารพัดเครื่องดื่ม ขนม ข้าวกล่อง มาขาย อุดหนุนมารองท้องอีกนิด ... นั่งไปถึงสถานีนึง มีเสียงประกาศอะไรสักอย่าง แล้วผู้โดยสารบนรถก็ลุกมาหมุนเบาะที่นั่ง เอ้า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม หมุนกับเขาด้วย สักพักเดียวเราก็มาถึง Beppu ค่ะ

ถึงปุ๊บก็จัดการเดินสำรวจสถานี เจอร้านอาหารก็แวะรองท้องซะเพราะได้เวลามื้อเที่ยงแล้ว ... ร้านชื่ออะไรไม่รู้ 


หิวตาลาย เปิดเมนูจิ้มสั่งกันแบบงุนงง กินกันจนเต็มพุง แล้วก็ออกไปถามข้อมูลที่ Tourist Information ที่อยู่ในสถานี เพื่อถามเรื่องสายรถเมล์ที่เราจะนั่งไปเที่ยวกัน ได้ข้อมูลชัดเจนพร้อมแผนที่ก็ลากกระเป๋าเดินไปที่พักเลยค่ะ


ใครมาถึง Beppu ก็ต้องผ่านรูปปั้น Shiny Uncle ที่อยู่ด้านหน้าสถานี เป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้การท่องเที่ยวเบปปุเป็นที่รู้จักและคึกคักมากขึ้น ... แล้วด้านหน้าสถานียังมีบ่อน้ำพุร้อนให้แช่มือได้ด้วย และเพราะเมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องบ่อน้ำพุร้อน ระหว่างทางก็จะเจอบ่อน้ำพุร้อนแบบ Hand Bath ให้แช่อยู่อีกหลายจุด


เดินไปไม่นานก็ถึงที่พักคืนนี้ค่ะ Nogami Honkan พักแบบเรียวกัง ก็ต้องเลือกห้องพักสไตล์ญี่ปุ่น นอนห้องเสื่อทาทามิ กับ ฟูกฟุตอง ... วางสัมภาระที่ไม่จำเป็น แล้วก็ออกไปเที่ยวกันต่อ

แต่เปิดดูตารางรถเมล์ที่ได้มาแล้ว กว่าจะรอรถเมล์มาก็นาน กว่าจะไปถึง คงไม่ทันเข้าชม เลยตัดสินใจนั่งแท๊กซี่ดีกว่า ... ลงไปถามเจ้าหน้าที่โรงแรมเรื่องแท๊กซี่ เจ้าหน้าที่ใจดีจัดการโทรเรียกให้เลย รอไม่นาน แท๊กซี่ก็มารับถึงหน้าโรงแรมเลยค่ะ

แท๊กซี่ที่ญี่ปุ่น เราไม่ต้องเปิด-ปิดประตูรถเองนะคะ คุณคนขับจะกดปุ่มเปิด-ปิดอัตโนมัติให้ ยืนรอประตูเปิด ก้าวขึ้นรถแล้วนั่งสวยๆ สบายๆ เท่านั้นพอค่ะ ... นั่งชมวิว ชมเมืองข้างทาง แป๊บเดียวก็ถึงค่ะ จ่ายค่ารถให้คุณลุงคนขับรถ ต่อให้มีแบงค์ใหญ่ คุณลุงก็มีเงินทอนพร้อม ไม่มีปัดเศษขึ้น ปัดเศษลงเหมือนแท๊กซี่เมืองไทย แม้เราจะอยากให้ทิป คุณลุงก็ไม่รับค่ะ นับเหรียญมาทอนเราแบบพอดีเป๊ะ

เรามาที่ 8 Hells (Jigoku) บ่อน้ำพุร้อน 8 บ่อ ที่เป็นไฮไลท์ของเบปปุ แต่ละบ่อจะมีน้ำพุร้อนที่ต่างกันไป มี 6 บ่อ ที่อยู่ในพื้นที่ใกล้กัน เดินเที่ยวได้ และอีก 2 บ่อ ที่ห่างออกไป ... มีตั๋วเข้าชมแบบรวม 8 บ่อขาย แต่เรามีเวลาไม่มากนัก เลยซื้อแบบแยก


เราเข้าชมแค่ 2 บ่อ คือ Umi Jigoku ที่เป็นบ่อน้ำสีฟ้าเหมือนน้ำทะเล กับ บ่อ Oniishibozu Jigoku ที่เป็นบ่อโคลน ค่ะ ... กลิ่นกำมะถันลอยมาเตะจมูกเป็นระยะ ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเรามัวแต่ตื่นเต้นกับการถ่ายรูปใบไม้เปลี่ยนสี แล้วยังเจอตู้ไอติม Glico Seventeen Ice ที่ช่วงนั้นกำลังฮิตในเมืองไทย แต่หากินยากเหลือเกิน มาเจอถึงนี่ก็ต้องลอง 

แล้วออกไปเจอ คัสตาร์ด อีก 1 เมนูขึ้นชื่อของที่นี่ มีขายอยู่ด้านหน้าทางเข้า คู่กับ ไข่ต้ม ไปกัน 4 คน ชอบชิมทุกคน ก็ปักหลักซื้อมานั่งชิมกันจริงจังซะเลย ... พอได้ปักหลักนั่ง ก็ชักจะขี้เกียจเดิน เลยชวนกันนั่งรถกลับไปสำรวจแถวๆ ที่พักดีกว่า

ขามานั่งแท๊กซี่ ขากลับนั่งรถเมล์แล้วกัน แต่ ..... เราออกมาช้าไป 2 นาที รถเมล์สายที่วิ่งผ่านที่พักเราเพิ่งออกไป เอาหล่ะซิ ต้องรอรถคันใหม่ ยืนศึกษาสายรถเมล์ตรงป้ายรถเมล์ด้านหน้า ดูไปก็งง ... สายที่คุณเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวบอกมาก็ต้องรออีกนาน ทำอย่างไรดี

ลองขึ้นไปถามคนขับรถ ว่าจะไป Beppu Station คนขับพยักหน้า โอเคขึ้นเลย ... แต่นั่งไปนาน น้านนนน นานนน ทำไมไม่ถึงสักที ดีที่จำจุดสำคัญใกล้ที่พักได้ พอเห็นก็เลยรีบลง ไม่ต้องไปจนสุดสาย แล้วเดินย้อนกลับมาใหม่

เทคนิคการนั่งรถเมล์ญี่ปุ่น ... ขึ้นรถที่ประตูด้านหลัง ขึ้นแล้วหยิบหมายเลขตรงกล่องด้านข้างซึ่งจะบอกให้เรารู้ว่าขึ้นรถจากป้ายไหน ด้านหน้าจะมีจอบอกตัวเลขพร้อมกับราคาค่ารถที่จะปรับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนจะลง ก็ดูว่าตัวเลขของเราต้องเสียค่ารถเท่าไหร่ ก็เตรียมเงินให้พอดี หยอดลงกล่องรับเงินด้านหน้า ก่อนจะลงประตูหน้าเลยค่ะ ... แต่ใครที่ใช้บัตรเงินสด ตอนขึ้นก็แตะบัตร ตอนลงก็แตะบัตร สะดวกสุดๆ

นอกจากรถเมล์ญี่ปุ่นจะตรงเวลาแล้ว ยังปลอดภัยสำหรับผู้โดยสารสุดๆ ... ห้ามเดินไปมาตอนรถวิ่ง ตอนขึ้นรถ เราเดินไปถามคนขับเพื่อความมั่นใจ คนขับส่งเสียงเหมือนดุ แล้วโบกมือห้าม พร้อมทำท่าให้กลับมานั่งที่ ... พอรถถึงป้าย ประตูด้านหน้าจะเปิดให้คนเดินลงก่อน ผู้โดยสารไม่ต้องรีบร้อนลุกมาเตรียมลงป้ายเหมือนเมืองไทย นั่งไปให้สบาย พอถึงป้ายที่จะลงค่อยลุกเดินมา แม้คนจะแน่นเต็มคันก็ไม่ต้องรีบลนลาน เพราะคุณคนขับจะรอจนคนลงหมดทุกคนก่อน แล้วค่อยเปิดประตูด้านหลังเพื่อรับผู้โดยสารขึ้น และก็รอจนกระทั่งผู้โดยสารเดินขึ้นจนครบทุกคน ถึงจะปิดประตูรถ แล้วเคลื่อนที่ ... แม้จะใช้เวลาจอดรับ-ส่งผู้โดยสาร แต่ก็ยังมาถึงป้ายตรงเวลาเสมอ เยี่ยมมมมมมมมมสุดๆ

ข้อดีของการนั่งรถเมล์ผิดสาย ผิดทาง เราเลยได้ผ่านห้างสรรพสินค้า ... พอลงรถเรียบร้อยก็เดินไปสำรวจสักหน่อย แต่มีเวลาจำกัด เพราะเรามีนัดทานอาหารค่ำที่โรงแรมอยู่


ชุดอาหารสไตล์ญี่ปุ่น มาอย่างละนิด อย่างละหน่อย แต่มาหลายอย่างขนาดนี้ ทีแรกคิดว่าจะอิ่มรึเปล่าน้อ แต่กินๆ ไป เอ่ออออ อิ่มก่อนจะกินหมด ... ท้องอิ่มก็ได้เวลา ออนเซ็น พอดี 

ที่เรียวกังมีบ่อออนเซ็น ทั้งแบบสาธารณะ และแบบห้องส่วนตัว ... ลูกค้าที่มาใช้บริการห้องพัก 1 ห้อง สามารถจองเวลาใช้บริการห้องออนเซ็นส่วนตัวได้ 1 ชม. ... เรามากัน 4 คน ก็บริหารเวลาแบ่งกัน ผลัดกันไปแช่ออนเซ็น

ครั้งแรกกับการแช่ออนเซ็น ดี๊ ดี ที่ได้ลองในห้องส่วนตัว ลงแช่ได้อย่างสบายใจไม่เคอะเขิน ... น้ำร้อนจัด แช่แล้วตัวแดงเหมือนหมูสุก แต่พอขึ้นจากน้ำแล้ว ตัวเบา สบ๊ายยยย สบายยยย 

ตัวอุ่นๆ กลับมาซุกตัวนอนในฟูกญี่ปุ่น ที่ทั้งนุ่ม ทั้งอุ่น โอ๊ยยยยย หลับสบาย ลืมเมื่อย หายเหนื่อยเลยค่ะ ... ได้ชาร์จแบตเต็มที่ เตรียมตัวสำหรับ วันพรุ่งนี้ ต่อ

12.10.58

Japan #2 : Kyushu (Fukuoka - Kumamoto)

วางแผนเตรียมเที่ยว ไว้เรียบร้อย ตั๋วเครื่องบินพร้อม ที่พักมีแน่นอน ... คนท้องก็ได้รับคำอนุมัติจากคุณหมอ พร้อมจดหมายรับรองสำหรับแสดงให้สายการบินรู้ว่า แม้จะท้องแต่แข็งแรงดีเดินทางได้ ... รอแค่ถึงกำหนดวันเดินทาง สมาชิก 4 คน ก็พร้อมลุยเกาะคิวชู เกาะใต้ของญี่ปุ่นแล้วค่า

14 พ.ย. 57 ... แพ็คกระเป๋า เรียกแท๊กซี่มารับมุ่งหน้าไปสนามบินสุวรรณภูมิ สมาชิกพร้อมหน้า แต่เคาเตอร์ยังไม่เปิดให้เช็คอิน ก็ลากกระเป๋าไปหาข้าวมื้อสุดท้ายของวันกินรองท้องไว้ก่อน เพราะสายการบิน Jetstar เป็น โลว์คอสท์แอร์ไลน์ ไม่มีอาหารเสิร์ฟ คนท้องเองก็ได้ตุนขนมเผื่อไว้ยามหิวด้วย

ท้องอิ่มก็ถึงเวลาเข้ากระบวนการสนามบินพอดี ตั้งแต่เช็คอิน สแกนร่างและสัมภาระ ผ่าน ตม. เข้าไปด้านใน เดินชมสินค้าปลอดภาษี แล้วไปนั่งพักร่างกันที่ King Power Lounge เพราะไฟลท์ 3K509 BKK-FUK บินตอน 02.15 น. ... นั่งใจจดใจจ่อรอเวลาขึ้นเครื่อง ไม่ได้เพราะตื่นเต้นอยากเที่ยวหรอกค่ะ แต่อยากขึ้นไปนอน ง่วงจะแย่แล้ว

ขึ้นเครื่องได้ ก็รัดเข็มขัด จัดหมอนรองคอให้เข้าที่ คว้าที่ปิดตามาสวม แล้วก็ปิดสวิทช์ดับเครื่องตัวเองเลย ... นอนหลับๆ ตื่นๆ 09.30 เวลาญี่ปุ่น เราก็ถึงสนามบิน Fukuoka เรียบร้อย (เวลาที่นี่เร็วกว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมงนะคะ) ... ผ่าน ตม. รับกระเป๋า จัดการตัวเองและข้าวของ แล้วก็ลุย

Day 1 : 15 พ.ย. 57 ... เริ่มต้นทริปนี้อย่างเป็นทางการแล้วค่ะ สนามบินฟุกุโอกะ เป็นสนามบินที่อยู่ใกล้เมืองมากกกกก แค่นั่งรถไฟเข้าไปราวๆ 5-6 นาทีเท่านั้นค่ะ ... แต่เราต้องเดินออกจากอาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ นั่ง Shuttle Bus ฟรี ไปที่อาคารผู้โดยสารภายในประเทศ แล้วก็ลงไปสถานีรถไฟใต้ดินได้เลยค่ะ

แล้วเราก็มาถึงสถานี Hakata สถานีหลัก สถานีใหญ่ประจำเมืองฟุกุโอกะค่ะ ... มาถึงก็มึนเลย เพราะมีพื้นที่ทั้งบนดินใต้ดินหลายชั้นมากมาย มัวขึ้ตา เดินงงๆ เบลอๆ ดูป้าย จนมาเจอชั้น G ชั้นหลักที่เราต้องการ เพราะเรากำลังตามหา JR office ค่ะ ... หยิบ Exchange Voucher ที่ซื้อมาเปลี่ยนเป็น JR Kyushu Rail Pass เราซื้อแบบ 5 วัน เฉพาะเขต Northern Kyushu เท่านั้น ... แล้วก็จัดการจองที่นั่งสำหรับรถไฟสายต่างๆ ในทริปนี้เอาไว้เลย 

แลก JR Kyushu Pass เรียบร้อย จองตั๋วรถไฟเรียบร้อย ก็หาเสบียงเติมลงท้องกันค่ะ ... ที่สถานีนี้มีร้านครัวซองต์ชื่อดัง ที่ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลยั่วน้ำลาย เลยแวะซื้อมาลองชิมหน่อยนึง ... คนอื่นๆ ปลื้มกัน แต่กลุ่มเราเฉยๆ ไปสำรวจหาอาหารหนักมื้อหลักๆ ดีกว่า เดินไปเดินมาเลือกไม่ถูก เพราะมีตัวเลือกเยอะมาก เลยเข้าร้านซูชิจานเวียนแล้วกัน ไหนๆ ก็เพิ่งถึงญี่ปุ่น จัดซูชิประเดิมซะเลย

ท้องอิ่มแล้ว ก็เดินไปชานชลา ไปรอขึ้น Shinkansen ค่ะ เริ่มใช้ JR Pass ตั้งแต่วันนี้เลย ... จาก Fukuoka เรามุ่งหน้าไป Kumamoto


ระยะทางประมาณ 118 กม. ใช้เวลาไม่เกิน 40 นาทีก็ถึง ... บนขบวนมีเสียงประกาศทั้งภาษาญี่ปุ่น ภาษาอังกฤษ และยังมีตัววิ่งคอยแจ้งว่าถึงสถานีไหนแล้วด้วย สำหรับคนที่เหนื่อยๆ และอยากจะหลับ แนะนำให้ตั้งนาฬิกาปลุกก่อนเวลาที่จะถึงสถานีปลายทางสักหน่อย รับรองว่าถึงตรงเวลาแน่ๆ

ถึง Kumamoto แล้ว ก็ลากกระเป๋าเดินหาโรงแรมเป็นอันดับแรก เข้าไปแจ้งเช็คอิน แต่ยังเข้าห้องพักไม่ได้ ก็ขอฝากกระเป๋าไว้ก่อนแล้วหยิบเฉพาะของที่จำเป็นติดตัวมาลุยเที่ยวกันค่ะ ... การเดินทางในเมือง Kumamoto จะใช้รถรางค่ะ  ใครที่มีแผนเที่ยวหลายจุด ซื้อ 1 Day Pass ใช้น่าจะคุ้มกว่า แต่เรามีเวลาไม่มาก ไปไม่เยอะ ก็ขึ้นไปจ่ายเป็นเที่ยวๆ เอา เตรียมเหรียญให้พอดีกับค่ารถ แล้วไปหยอดตอนจะลงรถ ... ใครที่มีแบงค์ก็ไม่ต้องห่วง บนรถมีเครื่องแลกเหรียญอัตโนมัติค่า

จุดหมายแรก คือ Kumamoto Castle สถานที่ท่องเที่ยวหลักของเมืองนี้ ... ลงที่ป้ายรถราง No. 10 แล้วก็เดินต่อไปอีกสักระยะ เราก็ถึงค่ะ


ว่าที่คุณแม่เดินขึ้นบันไดไม่ไหว ขอนั่งรอด้านล่าง ว่าที่คุณพ่อเลยอยู่เป็นเพื่อน เราสองคนเลยเดินไต่บันไดขึ้นไปชมวิวที่ชั้นบนสุดของปราสาท ... ระหว่างทางแต่ละชั้นจะมีตู้แสดงข้าวของ และภาพต่างๆ ที่เกี่ยวกับปราสาท แต่ส่วนใหญ่เป็นภาษาญี่ปุ่น เราแวะดูแต่ก็ไม่อินเท่าไหร่ แต่ใครที่ชอบก็แวะเดินชมไปเรื่อยๆนะคะ เพราะทางเดินในปราสาทนี้ บังคับเดินขึ้นทางนึง เดินลงทางนึง


ระหว่างทางไม่ดึงดูดใจเท่าไหร่ แต่ชั้นบนสุดสามารถมองเห็นวิวโดยรอบชวนให้ตื่นตาตื่นใจดี ... และมุมนี้มองดีดี จะเห็นเจ้า Kumamon หมีดำแก้มแดงมาสคอตชื่อดังประจำเมืองนี้อยู่ข้างตึก 

ชมปราสาทพอเป็นพิธี ถ่ายรูปเรียบร้อย ก็ย้ายพิกัดกันต่อ ... นั่งรถรางต่อไปอีก 1 ป้าย ที่ No.11 ไปเดินเล่นย่านการค้า Shimotori ค่ะ


เดินเจอบรรยากาศแบบนี้ ก็ออกอาการเหวอ เพราะป้ายส่วนใหญ่เป็นภาษาญี่ปุ่น อยากจะหาร้านอาหาร ร้านขนมนั่งพักก็มึน งง เลือกไม่ถูก ... เดินดูของ เข้าร้านนั้น ออกร้านนี้ไปเรื่อยๆ เริ่มหิว แต่ก็เลือกไม่ถูกว่าจะกินอะไรดี เพราะ งง เดชะบุญที่เหลือบเห็นป้ายร้าน Ichiran Ramen ที่คนไทยเรียก ราเม็งข้อสอบ

เห็นป้ายโฆษณาแขวนอยู่ด้านบน พร้อมลูกศรชี้ แต่ถนนเส้นนี้มีหลายทางแยก เลยไม่แน่ใจว่าจะต้องเลี้ยวซ้ายตรงไหนดี ต้องถามหล่ะ ... หมุนซ้ายหมุนขวา เห็น 2 สาวนักเรียนญี่ปุ่นเดินมา เดาเอาว่าน้องเขาน่าพูดภาษาอังกฤษได้บ้างหล่ะ เลยปรี่เข้าไปส่งยิ้มหวานแบบไทยๆ แล้วเอ่ยปาก "Sumimasen" แล้วชี้ป้ายบอกว่าจะไปร้านนี้อ่ะจ้า ช่วยบอกทางหน่อยได้มั้ย

2 สาวมองป้ายแล้วเดินหมุนดูป้ายทั้ง 2 ฝั่ง แล้วก็ชี้ทางให้ เราเอ่ยปากขอบคุณ พร้อมโค้งนิดๆ ตบท้ายด้วยยิ้มหวานซ้ำอีกที ... น้องเดินนำหน้าไปก่อน เรา 4 คนก็เดินตามไปห่างๆ พอถึงทางแยก น้องก็เดินเลี้ยวไปชะเง้อชะแง้ แล้วถอยกลับมาส่งสัญญาณชี้มือบอกว่าทางนี้ใช่แน่นอน ... พอเรา 4 คน เดินมาทัน ก็ Arigatou และโค้งให้กันอีกรอบ ก่อนจะเดินไปร้าน

ถึงหน้าร้านก็มึนต่อ เพราะเจอตู้กดซื้อราเม็งซึ่งมีแต่ภาษาญี่ปุ่น ... หยอดเงินลงตู้แล้วจิ้มปุ่มตรงรูปที่ชอบใจ รับตั๋วที่ไหลออกมา แล้วถือเข้าไปส่งในร้าน


Ichiran Ramen จะจัดที่นั่งเป็นช่อง พร้อมมีใบรายการวางเอาไว้ให้ลูกค้าเลือก ความแข็งของเส้น ความเข้มของซุป จะใส่หมู ใส่ผัก ใส่พริกแค่ไหน จิ้มเลือกเรียบร้อย ก็ส่งให้พนักงาน ...รอพักเดียวพนักงานก็เอาราเม็.ตามที่สั่งไปมาส่ง ... อากาศเย็นๆ ได้นั่งพักขา ได้ซดน้ำซุปอุ่นๆ อิ่มสบายท้องจริงๆ 

ท้องอิ่มแล้ว ก็เดินเล่นอีกสักพัก ผู้คนคึกคัก อากาศเย็นสบาย แต่เดินได้ไม่นานก็ต้องให้คนท้องพัก ... งั้นกลับโรงแรมกันดีกว่า นั่งรถรางกลับไปป้ายสถานี Kumamoto แล้วเดินไปนิดนึง ก็ถึงที่พักคืนนี้ Toyoko Inn Kumamoto Ekimae


ห้องขนาดกะทัดรัด แต่มีอุปกรณ์ที่จำเป็นครบถ้วน แถมโรงแรมนี้ยังมีชุดนอนไว้ให้ยืมใช้ด้วย สบายเลยค่า ... อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็ทำการรื้อกระเป๋าใหญ่ จัดกระเป๋าเล็ก เพราะเรามีแผนจะตะลอนเที่ยวอีกหลายเมือง ลากกระเป๋าใบใหญ่ไปด้วยคงไม่สะดวกนัก เอาใบเล็กๆ ไปแทน แล้วจัดการส่งกระเป๋าใหญ่กลับไปรอเราที่ Fukuoka ดีกว่า

ขอเข้านอน ชาร์จพลังก่อนนะคะ ... วันพรุ่งนี้จะไปตะลอนเที่ยวที่ไหน ตามไปดู ที่นี่ เลยค่ะ

11.10.58

๋Japan #2 : Kyushu - วางแผนเที่ยว

เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก ธ.ค. 56 เจอโปรแกรมทัวร์ช่วงเวลาที่ต้องการ ในราคาที่รับได้ ก็ยกหูจองทัวร์ แล้วก็รอวันเดินทาง ... พอใกล้กำหนด ก็แค่จัดกระเป๋าเสื้อผ้า ตรงไปสนามบิน แล้วก็เดินตามไกด์ทัวร์ต้อยๆ ไกด์จะพาไปไหนต่อไหนก็เดินตามไปเรื่อย ทำตัวเป็นลูกทัวร์ที่ดี

เที่ยวรอบแรก ได้ลองใช้บริการรถไฟญี่ปุ่น มีประสบการณ์เดินหาชานชลาในสถานีแล้ว ก็พอมีวิชาติดตัว ติดหัวอยู่บ้าง ... ถ้าจะไปเที่ยวญี่ปุ่นเอง แบบไม่พึ่งทัวร์ ก็น่าจะพอไหว

พอดิบพอดี ที่ Jetstar เปิดตัว เปิดเส้นทางบินจากไทย ... เข้าไปเล็งๆ ดู คุยกับคนข้างตัว คุยกับเพื่อน 2 บ้าน 4 ชีวิต มติออกมาว่าน่าสนใจ งั้นหาวันเหมาะๆ แล้วจองตั๋วเลยแล้วกัน จำไม่ได้ว่าราคาเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่ราคาโปรย่อมเยา 

ตั๋วเครื่องบินพร้อมแล้ว ลำดับต่อมา จะไปเที่ยวที่ไหนดีหล่ะ ... หาข้อมูลซิคะ pantip มีแน่ๆ ถามอากู๋เกิ้ลเพิ่มอีก เข้าไปดูที่ japan-guide และอีกหลายแฟนเพจใน FB เจอข้อมูลไหน สถานที่ไหนน่าสนใจก็จดข้อมูลเก็บลงสมุดไว้ก่อน ไว้ค่อยมาจัดวางลำดับทีหลัง

เนื่องจากเป็นมนุษย์ติดแผนที่ จะเที่ยวที่ไหนต้องขอดูแผนที่ก่อน จะได้วางเส้นทางถูก เลยไปหาซื้อไกด์บุคนำเที่ยวคิวชูมาอ่านเพิ่ม ... เห็นแผนที่แล้วอุ่นใจ พล็อตจุดต่างๆ วางแผนได้ง่ายขึ้น เพราะเห็นภาพเมืองต่างๆ แล้วอยู่ตรงไหน จะเที่ยวเส้นทางไหนดี

มีเวลาเที่ยว 9 วัน 8 คืน จัดแผนเที่ยวแบบแน่น เมืองไหนมีไฮไลท์อะไรน่าสนใจบ้าง เอามาจัดเส้นทางให้ครบ ... และที่น่าสนใจคือ คิวชู ขึ้นชื่อเรื่องเส้นทางรถไฟสวยๆ ขบวนรถไฟเก๋ๆ ซื้อ JR Kyushu Rail Pass แล้ววางแผนเที่ยวตามเส้นทางรถไฟดังๆ ก็น่าจะสนุกดี

แผนเที่ยวมีทั้ง วัด ปราสาท บ่อน้ำพุร้อน พิพิธภัณฑ์ ธีมปาร์ค ภูเขาไฟ อะไรที่ใครว่าดี จับลงแผนหมด ... แต่แผนที่วางไว้ก็ต้องปรับใหม่หมด เพราะ ฝัน

ฝันว่าเพื่อนที่จะไปด้วยกัน "ท้อง" ในฝันนั่นเพื่อนเดินมาบอกว่าท้อง 3 เดือนแล้ว นับเวลาไปถึงวันจะเดินทางก็ท้องแก่จัดจวนจะคลอดเต็มที ... ตาย ต๊ายยยย ตาย เช้าวันนั้นรีบโทรไปหาเพื่อน เพื่อนหัวเราะ บอกรอดูก่อน

2 สัปดาห์ต่อมาก็ได้คำยืนยันว่า ฝันนั้นก็เป็นจริง ชีวิตน้อยๆ ถือกำเนิดในท้องคุณเพื่อนจริงๆ ... ต่างจากฝันอยู่นิดตรงที่เพิ่งรู้ตัวว่าท้อง เพิ่งเริ่มท้อง มิได้ท้อง 3 เดือน ถึงกำหนดเที่ยวอายุครรภ์ก็ราว 25-26 สัปดาห์ ยังเที่ยวไหวอยู่ ... แต่ก็ต้องปรับแผนเที่ยวใหม่ยกชุด จากที่อัดแน่น ก็จัดแค่เบาๆ เลือกเอาเฉพาะไฮไลท์ คนท้องเดินไหวแค่ไหนก็แค่นั้น

แผนเที่ยวพร้อมแล้ว แต่ต้องคอยอัพเดทอาการคนท้องตลอดว่าจะไหวมั้ย จะไหวแค่ไหน คุณหมอที่ฝากครรภ์ว่ายังไง เที่ยวได้มั้ย จะต้องเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนตัวคนรึเปล่า หรือจะสละตั๋วทิ้งเลย ... เช็คอาการคนท้องประหนึ่งว่าท้องเอง 

ระหว่างลุ้นอาการคนท้อง ก็หาข้อมูลที่พักไปด้วย ...  booking.com เป็นตัวช่วยในการหาโรงแรมได้ดี เพราะมีข้อมูลบอกเลยว่า วันที่เราต้องการนั้นถูกจองไปแล้วกี่เปอร์เซ็นต์ และดีตรงที่สามารถจองล่วงหน้าได้แบบยังไม่ต้องชำระเงิน และยกเลิกได้แบบไมเ่สียค่าธรรมเนียมถ้ายกเลิกในกำหนด ... แต่วันที่เราเดินทางไปถึงห้องพักเต็มแทบไม่เหลือ ส่งอีเมล์ตรงไปที่โรงแรมก็ได้คำตอบว่าไม่มีห้องพักว่างในวันที่ต้องการ

เอ้า ห้องพักไม่มี ก็ปรับแผนค่า เปลี่ยนเส้นทางเที่ยวใหม่ โดยลองเช็คจากโรงแรมในเมืองที่เราจะไปดูก่อนว่าว่างตรงกับวันที่ต้องการรึเปล่า ... จดข้อมูลเก็บไว้ แล้วก็ปรับแผนใหม่เป็นรอบที่ 3

ทริปนี้นอนโรงแรมในเครือ Toyoko Inn นอนเรียวกัง และได้ใช้บริการที่พักของ airbnb ด้วย ... airbnb คือที่พักที่เจ้าของเปิดให้บริการเอง ติดต่อจองผ่านระบบ แต่ได้คุยกับเจ้าของโดยตรง ... หาที่พักทั้ง 8 คืน ได้ครบแล้ว โล่งใจ

ลำดับต่อมาก็ เข้าไปเช็คตารางรถไฟที่ HyperDia ที่พึ่งสำคัญของนักท่องเที่ยวที่จะไปญี่ปุ่น เพราะสามารถเช็คเวลาในการเดินทางจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งได้ทั่วประเทศ ขอแค่เรารู้ชื่อสถานีต้นทาง+ปลายทางของการเดินทาง ... บอกข้อมูลไว้ละเอียดยิบ ทั้งชื่อขบวนรถไฟ เวลาเข้า-ออกสถานี ราคาตั๋ว เวลาที่ใช้เดินทาง ต้องต่อรถที่สถานีไหน ต้องเปลี่ยนสถานีรึเปล่า ... ครบหมด

เปิดแผนเที่ยวที่เตรียมไว้ แล้วเติมข้อมูลการเดินทางที่หาได้เพิ่มลงไป ... ไปหาข้อมูลทางออก ทางเดินไปสถานที่ต่างๆ เพิ่ม เท่านี้แผนเราก็พร้อมสำหรับการเดินทางแล้ว

ระหว่างรอถึงกำหนดเวลาเดินทาง ก็หาข้อมูลเตรียมเช่า Pocket Wifi และ ทำประกันการเดินทางเผื่อไว้ ... ไม่มีทัวร์จัดการดูแลให้ เราก็ดูแลตัวเอง ค่าประกันเดินทางทำไว้แต่ไม่ได้ใช้ก็ไม่เป็นไร เพราะค่าประกันไม่สูงนัก จ่ายตังค์ไป แต่ไม่ได้ใช้ นับว่าโชคดี แต่หากมีเหตุบังเอิญ เหตุฉุกเฉิน ก็อุ่นใจ ยิ่งมีคนท้องไปด้วยแบบนี้ ทำประกันไว้สบายใจกว่า

แผนเที่ยวพร้อม คนก็น่าจะพร้อม ถึงเวลาก็ลากกระเป๋าไปเช็คอินที่สนามบิน เตรียมตัวเหิรฟ้าไปเที่ยวคิวชูกันดีกว่า