30.6.52

เล่นเป็นเด็กๆ

การได้ทำตัวเป็นเด็กๆ เล่นอะไรซนๆ ก็สนุกดีนะคะ ... ถึงแม้อายุจะเข้าเลข 3 แล้ว แต่ลองเล่นซนๆ บ้าง ก็สร้างสีสันดีค่ะ

ใกล้ๆ บ่ายสามเริ่มหิว และก็ง่วง คิดว่าถ้ายังนั่งอยู่หน้าคอมฯ คงสัปหงกแน่ๆ ... พอได้ขยับตัว ที่ง่วงงุนก็ค่อยยังชั่ว เดินขึ้นไปชั้นบนไปหาสาวๆ จะไปเช็คดูว่ามีขนมอะไรรองท้องได้บ้างมั้ย ... กะจะไปถามหมวยบีว่ามีขนมตุนไว้รึเปล่า แต่ขึ้นไปหมวยบีไม่อยู่ที่โต๊ะ


อ๊ะ ไม่เป็นไร นั่งรอก็ได้ หย่อนก้นนั่งลงที่เก้าอี้สาวฝน ลูกน้องหมวยบี ... นั่งหมุนไปหมุนมา แป๊บเดียว ตัวซุกซนที่ซ่อนอยู่ก็วิ่งปรู๊ดขึ้นมา พร้อมๆ กับที่มองเห็นมุมที่จะซนได้


มุมที่ว่าคือ มุมใต้โต๊ะทำงานของสาวบี ตรงมุมโต๊ะที่เชื่อมกันระหว่างโต๊ตอมฯ กับ โต๊ะทำงาน จัดเป็นมุมอับ ที่มีซอกแคบๆ ... หันไปถามสาวแตง ลูกน้องอีกคนของหมวยบี ว่า "ถ้าพี่มุดเข้าไปซ่อนตัวในนั้น จะได้มั้ย"


สาวแตง "ก็น่าจะได้นะพี่"


"แตงว่าผลมันจะคุ้มค่าน่าลองมั้ย"


สาวแตง "คุ้มพี่" ... ได้ยินประโยคนี้ปุ๊บ ก็เดินไปมุดตัวเข้าไปซ่อนใต้โต๊ะหมวยบีทันที เก็บคอ งอเข่า นั่งกอดขาไว้แบบพยายามทำตัวเล็กที่สุด ... แล้วก็เลื่อนเก้าอี้ทำงานของหมวยบีมาบังไว้ หันหน้าเก้าอี้ออกด้านนอก เหมือนที่หมวยบีชอบหันออกไป


นั่งขดตัว กอดเข่า เกยคางไว้ หลังติดมุมโต๊ะ หัวก็ชนพอดี ... กวาดตามองมุมต่างๆ ว่าจะเก็บตัวได้มากกว่านี้อีกมั้ย ลองเล็งว่าหมวยบีจะมองเห็นเท้ารึเปล่า ... แล้วก็นึกได้ว่ามีมือถืออยู่ในกระเป๋ากางเกง เลยรีบเหยียดขา ความหามือถือ หยิบมาปิดเสียง แล้วหดขาขดตัวจัดระเบียบร่างกายให้เรียบร้อยเหมือนเดิม


เวลาผ่านไปพอสมควร หมวยบีก็ยังไม่เข้ามา สาวแตง ก้มลงมาดู พร้อมกับเสียงทักว่า "ยังไหวอยู่รึเปล่าพี่" ... "โอเคจ้า"


นั่งฟังเสียงน้องๆ เดินไปมา มองขาที่เดินผ่านตา ฟังเสียงประตูห้องเปิด-ปิด รอเวลาว่าเมื่อไหร่หมวยบีจะมา ... ระหว่างรอก็ไตร่ตรองว่า วันนี้หมวยบีนุ่งกางเกงมา ถ้าเอามือจับขา จะรู้สึกมั้ย แล้วจะตกใจจนถีบเรารึเปล่า หรือจะจับที่แขนดี แต่ถ้าน้องตกใจสะบัดมือ จะกระแทกมุมโต๊ะจนเจ็บตัวมั้ย


ระหว่างไตร่ตรองหาวิธีแกล้งก็นึกแวบขึ้นมาได้ว่า นี่อายุ 33 แล้วนะเนี่ย ยังเล่นเป็นเด็กๆ เลย ... ต๊าย ตาย แล้วเราเนี่ย อาวุโสเกือบที่สุดแล้ว นายรู้เข้าจะว่ายังไงน้อ


กำลังคิดและอนาถใจกับตัวเอง ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา และเสียงเดินไปอีกทาง อ๊ะ อ๊ะ หมวยบีแน่ๆ เลยนั่งขดตัวจัดระเบียบร่างกายให้มิดชิดที่สุด ... รู้สึกหมวยบีจะเดินไปแวะเม้าท์กับสาวๆ อีกมุมนึงอยู่ ไม่เป็นไร รอได้ สบายมาก


พักเดียวเท่านั้น ก็เห็นขาเหยื่อที่รอเดินเข้ามาพอดี แล้วหมวยบีก็หย่อนก้นนั่งบนเก้าอี้ ค่อยๆ หมุนตัวหันหน้ามาทางโต๊ะคอมฯ ... พอแขนที่หมุนมา อยู่ในองศาที่จะยืดแขนไปจับได้ เราก็ค่อยๆ ยื่นมือไปกำรอบข้อมือหมวยบี กำแน่นๆ พอสมควร ก่อนจะบีบเบาๆ แล้วผลักออกไป


"ว๊ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย"


หมวยบีร้องเสียงหลง เสียงกรีดร้องด้วยความตระหนกตกใจสุดขีด และบอกความรู้สึกได้ว่าขวัญกระเจิง ... โชคดีที่เราจับแขนน้องแล้วผลักออก และน้องเองก็ตกใจแล้วถอยตัวออกด้วย ไม่งั้นถ้าตกใจแล้วถีบกลับมานี่คงแย่


สาวๆ อีกมุมนึงที่หมวยบีไปแวะคุยด้วย ได้ยินเสียงร้องก็ตกใจรีบเดินมาดู ... แต่สาวๆ ฝั่งที่ใกล้หมวยบี ขำกลิ้งค่ะ เพราะน้องรู้ว่าเรามุดตัวเข้าไปซ่อนอยู่ ... ส่วนหมวยบี ต้นเสียง จากที่ขาวอยู่แล้ว ยิ่งขาวซีด แต่พอตั้งสติได้ก็หันมาโวยเราทันที


"โหย เข้าไปซุกอยู่ได้ แล้วโผล่มาแต่มือ ตกใจหมดเลย นี่ถ้าบีไปยืนคุยนานกว่านี้พี่ไม่แย่เหรอ คิดได้ไงเนี่ย มาซุกอยู่นานรึยัง"


สาวๆ อีกมุมพอรู้สาเหตุก็ร่วมด้วยช่วยกันขำ ในความพยายามของเรา แล้วก็ประนามหมวยบีว่า มองไม่เห็นเลยรึไง ไม่ได้สังเกตสังกาอะไรเลยเหรอ ... หมวยบอกว่าไม่เห็นเลย ไม่ได้สังเกตเลย ใครจะไปคิดว่าจะไปซุกตัวอยู่ได้ ซอกนิดเดียว


หมวยถามว่าตั้งใจขึ้นมาแกล้งกันเหรอ "ป่าววววว หิว และ ง่วง เลยขึ้นมา พอดีมองเห็นซอกโต๊ะ เลยมุดเข้าไปซ่อนตัว" ... พอแกล้งได้สมใจ ก็ขอขนมหมวยบีหม่ำต่อ ได้ขนมรองท้องแล้ว หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง เลยกลับลงมานั่งทำงานได้อย่างสบายใจ


พอสาวๆ ที่ออกไปงานข้างนอกกลับมา ก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง พอฟังแล้วก็ฮาาาาาาาาาาาาาา กันถ้วนหน้า ... ฮิ ฮิ ว่างๆ ไว้จะหาโอกาสไปแหย่สาวๆ แบบนี้อีกดีกว่า เล่นเป็นเด็กๆ บ้าง ก็สร้างสีสันในการทำงานได้อีกแบบ ... ว่าแต่เหยื่อรายต่อไปจะเป็นใครดีน้อ

28.6.52

Transformers : Revenge of the Fallen

บริจาคเลือดเสร็จเรียบร้อย ก็เคลื่อนกายย้ายที่ค่ะ ฝ่าการจราจรที่คับคั่งแถว ถ.อังรีดูนังต์ ไปที่ เซ็นทรัลเวิลด์ ... เรานัดดูหนังกันไว้ค่ะ


จะเป็นเรื่องไหนไปไม่ได้ นอกจาก Transformers : Revenge of the Fallen - อภิมหาสงคราแค้น ... ได้ดูภาคแรกแล้ว ภาค 2 ทีเค้าว่าอลังการงานสร้างกว่าภาคแรก จะปล่อยให้พลาดได้ยังไง




- เรื่องย่อ - ( Credit : http://www.majorcineplex.com/ )


สองปีผ่านไป นับตั้งแต่หนุ่มน้อย แซม วิทวิคกี้ ได้ช่วยจักรวาลให้รอดพ้นจากศึกระหว่างหุ่นยนต์จากต่างดาวที่กำลังสู้รบกันอยู่ ... แม้จะสร้างวีรกรรมอันกล้าหาญสุดขั้ว แต่แซมยังคงเป็นวัยรุ่นธรรมดา ที่มีปัญหาว้าวุ่นใจไม่เว้นแต่ละวัน ... ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการต้องไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย การต้องทิ้ง มิเคล่า แฟนสาวไว้ที่บ้านเกิด และต้องแยกห่างจากพ่อแม่ของเขาเป็นครั้งแรก


และยังมีเรื่องหนักใจอื่นๆ อีก เมื่อแซมต้องพยายามอธิบายให้เพื่อนใหม่ อย่าง บัมเบิลบี หุ่นยนต์ที่คอยดูแลเขาอยู่ ว่าทำไมเขาถึงต้องจากมา ... สำหรับแซมแล้ว เป้าหมายของเขาก็คือการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยอย่างนักศึกษาธรรมดา แต่การจะทำตัวให้ธรรมดาได้ เขาต้องทำเป็นไม่สนโชคชะตาของตัวเขาเองเสียก่อน


ขณะที่แซมพยายามทำดีที่สุดเพื่อทิ้งปัญหาต่างๆ เอาไว้ที่บ้าน สงครามระหว่างพวก ออโต้บ็อท กับ ดีเซ็ปติคอนส์ ซึ่งดำเนินไปอย่างลับๆ ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย ... เซ็คเตอร์ 7 ถูกยุบ เจ้าหน้าที่ซิมม่อนส์ ถูกไล่ออกก แล้วมีการตั้ง องค์กรเนสท์ ขึ้นมาแทน โดยให้ เลนน็อกซ์ และ เอ็ปป์ส นายทหารผู้มีประสบการณ์ภาคสนาม ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับกลุ่มออโต้บ็อท


โชคร้ายที่ กัลโลเวย์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ มุ่งมั่นที่จะยึดครองอำนาจและเข้าควบคุมทุกหน่วยงานของกระทรวงกลาโหม ... เขาจะกำจัดหน่วยงานรัฐบาลที่เขาเห็นว่าไม่มีความสำคัญทิ้งไป กัลโลเวย์จึงพยายามปิดเนสท์ทิ้ง ... โดยเขาเชื่อว่าภัยคุกคามจากสงครามที่สร้างความวอดวายของกลุ่มหุ่นยนต์ต่างดาวได้ผ่านพ้นไปแล้ว


ชีวิตใหม่ของแซมในมหาวิทยาลัย เขากำลังปรับตัวให้เข้ากับ ลีโอ เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ และบรรยากาศใหม่ๆ ... แล้วจู่ๆ เขาก็เกิดเห็นภาพที่แวบขึ้นมาในหัวของเขาราวกับสายฟ้าแลบ เข้าเก็บภาพที่เห็นในหัวไว้เป็นความลับ จนกระทั่งไม่อาจทนเมินเฉยต่อข้อความและสัญลักษณ์ที่แทรกซึมเข้าไปในความคิดของเขาได้


สุดท้าย แซม พบว่าเขาต้องไปติดอยู่กลางศึกระหว่าง ออโต้บ็อท กับ ดีเซ็ปติคอนส์ โดยมีชะตากรรมของจักรวาลเป็นเดิมพันอีกเช่นเคย ... แต่ที่แซมยังไม่รู้คือ เขาเป็นผู้กุมกุญแจที่จะไขไปสู่ผลลัพธ์ของการทำศึกระหว่างความชั่วและพลังแห่งความดี


สมกับที่เป็นหนังฟอร์มยักษ์ของจริงๆ ค่ะ สเปเชียลเอฟเฟคท์อลังการ มีหุ่นยนต์แปลงร่างมากกว่าภาคแรก เริ่มต้นเรื่องก็โผล่มาผลุบผลับ แปลงร่างกันวูบวาบให้ตาลาย ... ดูๆ ไปก็งง ว่าตัวไหนเป็นตัวไหน แต่ก็ดูเพลินค่ะ




นอกจากจะบู๊กระจาย ก็ยังมีมุขให้ขำเป็นระยะ ... แล้วยังมีอาหารตาด้วยค่ะ สาวเมแกน ฟ็อกซ์ นางเอกของเรื่องนี้ สวยเซ็กซี่น่ามองอยู่ตลอด ... กับ หนุ่ม จอช ดูเมล ที่เราปลื้มมาตั้งแต่ซีรี่ส์เรื่องลาสเวกัส


เรื่องนี้ คุ้มค่ะ ค่าตั๋วหนัง 120-140 แลกกับความบันเทิง และฉากสเปเชียลอลังการ คุ้มค่ะ ... ดูหุ่นยนต์แปลงร่าง มาสู้กัน มันสุดๆ ค่ะ


บริจาคเลือด กับ ความภูมิใจเล็กๆ

ทุกครั้งที่ได้บริจาคเลือดจะมีความภูมิใจเล็กๆ ลอยจางๆ อยู่ในใจ ที่รู้ว่าเลือดของเราจะเป็นประโยชน์กับคนอื่น ... แต่ครั้งนี้มีความภูมิใจมากกว่าการบริจาคเลือดครั้งอื่นๆ ค่ะ


จำได้ว่าบริจาคเลือดครั้งแรกตอนอายุราวๆ 20-21 เกิดขึ้นเพราะตามหม่ามี้ไป .. หม่ามี้บริจาคเลือดประจำที่อาคารซีพี สีลม เพราะทำงานอยู่ใกล้ๆ นั้น ... เราเองที่ชั่งใจจะบริจาคเลือดมาหลายที แต่ไม่กล้า เพราะรู้ตัวเองว่า เป็นลมบ่อย กลัวว่าบริจาคเลือดแล้วจะวูบวาบ ลมจับไประหว่างทาง ... เวลาเห็นรถมารับบริจาคที่มหา'ลัย ก็ได้แต่เมียงๆ มองๆ


จนหม่ามี้มาบอกว่า จะถึงรอบมารับบริจาคเลือดอีกแล้ว เลยขอตามไปด้วย แล้วก็ได้บริจาคสมดังตั้งใจ ... ตื่นเต้นนิดหน่อย เจ็บนิดหน่อย และได้รอยช้ำจากการเจาะเลือดแถมมาด้วย นอกนั้นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ไม่เวียนหัว ไม่วูบ ไม่เป็นลมอย่างที่กังวลใจ


หลังจากนั้นก็ยังบริจาคเลือดเป็นครั้งคราว แล้วแต่สะดวก เพราะเริ่มทำงานแล้ว ... ส่วนใหญ่ก็จะไปกับพี่ในออฟฟิศ แวบออกไปช่วงพักเที่ยง ไปบริจาคที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ


พอใกล้จะเบญจเพศ ก็วางแผนไปบริจาคเลือดสม่ำเสมอขึ้น เพราะคิดเอาเองว่า การที่เราตั้งใจเสียเลือดเพื่อไปทำประโยชน์ ... เป็นทั้งการทำบุญ และเป็นการแก้เคล็ดไปในตัว ว่าเรามีเหตุให้เสียเลือดไปแล้ว ... เหตุร้ายๆ ที่อาจจะเกิดช่วงเบญจเพศ จะได้ทุเลาเบาบางลงไป


ผ่านเบญจเพศมาแบบสบายใจ ไร้กังวล ไม่มีเหตุร้าย เหตุวุ่นวายใดๆ กวนใจ ... แถมยังมีเรื่องดีดีเกิดขึ้นด้วย เพราะหลังจากนั้นคนดีก็ก้าวเข้ามาในชีวิต ... พอคบกับคนดี ก็ชวนกันบริจาคเลือดมาเรื่อยๆ ค่ะ พยายามจะไปให้ได้สม่ำเสมอ แต่ก็ติดเหตุนั่นนี่บ้าง


จนวันนึงคนดีได้จดหมายแจ้งจากศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติว่า เลือดของคนดีมีไขมันสูง ให้ไปตรวจเช็คร่างกาย ก่อนที่จะกลับมาบริจาคเลือดครั้งต่อไป ... เลยเกิดการตรวจสุขภาพประจำปีกันขึ้น แล้วพบไว้ คนดีมีพันธุกรรมผิดปกติ ไตรกลีเซอไรด์สูงมาก


พอได้พบหมอตรวจวัดไขมันประจำ เราสองคนก็ต้องกินยาควบคุมไขมัน ... ทำให้เราที่โคเลสเตอรอลสูงไปนิดหน่อย ตัดสินใจงดบริจาคเลือดไปด้วย เว้นว่างไปปีกว่า


ล่าสุดเมื่อตอน วันเกิด ที่รู้สึกอยากทำบุญ เลยเลือกไปบริจาคโลหิต ... บริจาคเลือดครบ 16 ครั้ง เลยได้ เข็ม กับ ประกาศนียบัตรมาด้วย ได้มาแล้วก็ภูมิใจเล็กๆ


หลังจากนั้นบังเอิญได้อ่านเจอ กระทู้ วันนี้สภากาชาดไทยโทรหาเรา จาก pantip ... อ่านตอนต้นเรื่องที่ จขกท.เล่า ก็ตื้นตันใจ ประทับใจ พออ่านความคิดเห็นอื่นๆ ที่มีอีกท่านที่ได้บริจาค stem cell แล้ว และได้รับเข็มพระราชทานจากสมเด็จพระเทพฯ ... น้ำตาท่วมด้วยความยินดี ปลาบปลื้มเลยค่ะ


อ่านกระทู้นี้จบ ตั้งใจทันทีว่า ครบกำหนดบริจาคเลือดครั้งหน้า จะไปลงทะเบียนเป็นหนึ่งในผู้บริจาค stem cell ... แล้ววันนี้ก็ได้ทำอย่างที่ตั้งใจแล้วค่ะ


เป็นการบริจาคเลือดครั้งที่ 18 แล้วได้ลงทะเบียนบริจาค stem cell เอาไว้ ... ตอนที่มองถุงเลือดตัวเอง ก็ภูมิใจเล็กๆ แล้วนึกว่า เลือดปริมาณ 450 มล. ของเราจะเป็นประโยชน์ และช่วยชีวิตใครสักคนไว้ได้


เหลือบไปมองหลอดทดลองที่จะเก็บเลือดไปตรวจ ก็มีหลอดนึงที่เอาไปตรวจเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการบริจาค stem cell ... ได้แต่หวังว่า ขอให้เลือดของเราเข้ากันได้กับผู้ที่ลงทะเบียนรอรับการบริจาค stem cell เถอะ


ถ้าเลือดของเราได้ทำประโยชน์เพิ่มขึ้นคงจะดีมาก ... เพราะแค่ได้ลงทะเบียนบริจาคก็ภูมิใจแล้ว ถ้าได้บริจาค stem cell คงจะภูมิใจสุดๆ



ใครที่สนใจอยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริจาคเลือด หรือ บริจาค stem cell จิ้ม ที่นี่ค่ะ

27.6.52

การบ้าน

ครั้งล่าสุดที่ไปพบพี่หมอดูประจำตัว แล้วได้การบ้านให้เข้าวัด ถือศีล ปฎิบัติธรรม ... เข้าวัดปฎิบัติธรรม ทำการบ้านเรียบร้อย กะว่าจะเข้าไปพบพี่เค้าอีกครั้งแต่ยังไม่มีโอกาส จะเข้าไปดูว่าจะได้การบ้านอะไรมาทำเพิ่มเติมรึเปล่า


พอดีที่น้องชายคนดีสนใจจะเข้าไปพบพี่เค้าบ้าง คนดีส่งข่าวต่อมาถึงเรา เราจัดการเช็คคิวและนัดวันให้ ... เลยได้โอกาสขอพ่วงไปด้วยอีกคน


คนดี เรา น้องชายคนดี แฟนน้องชายคนดี และ เพื่อนแฟนน้องชายคนดี 5 ชีวิต มุ่งตรงไปที่บ้านพี่เค้าตามเวลาที่นัด ... ในฐานะที่คุ้นเคยกับพี่เค้าที่สุด อาวุโสสุด เลยเปิดโอกาสให้น้องๆ ได้พูดคุยก่อน ... ส่วนตัวเองช่วยซักถามนิดหน่อย และจองคิวสุดท้ายเอาไว้


การบ้านที่ได้ครั้งนี้ เยอะกว่าครั้งก่อนๆ ที่เคยไปหา แต่ก็ไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไร ... เอามาลงบล็อกไว้ จะได้เป็นบันทึกช่วยจำค่ะ


- พวงมาลัย 7 พวง ห่อด้วยใบบัว ถวายพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ที่ปราสาทเมืองสิงห์ ... พร้อมจุดธูป 17 ดอก และแปะทอง 21 แผ่น


- ถ้าแปะทองที่องค์จริงไม่ได้ ให้เช่าองค์จำลององค์เล็ก มาแปะทองที่องค์จำลอง แล้วตั้งบูชา


- หาประคำเก่าๆ ที่พ่อ หรือ หม่ามี้ มีเก็บไว้ในบ้าน มาใส่พานบูชา


- หาสติกเกอร์สีแดง มาแปะก๊อกน้ำที่อยู่กลางบ้าน และหาแก้วน้ำสีแดงๆ มาตั้งวางไว้


- หาต้นไม้ออกดอกสีขาว ไปแขวนไว้ตรงระเบียงห้องหม่ามี้


- ปล่อยเต่า 1 ตัว ทุก 6 เดือน เลือกตัวที่มีกระดองสีเขียวๆ ดำๆ


- ช่วงปลายปีถ้างานฉลุยดี อาจจะป่วย ให้หมั่นทำบุญไว้


- ระวังแมลงต่อย


การบ้านเยอะกว่าครั้งก่อนๆ แต่ไม่ยาก เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ลำบากที่จะทำ ทำได้เรื่อยๆ แบบสบายใจ ... เดี๋ยวรอดูผลอีกทีว่าทำครบแล้ว จะมีความเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิตเกิดขึ้นรึเปล่า โชคลาภเล็กๆ น้อยๆ ที่หวังไว้จะลอยมาตกใส่ตักบ้างมั้ย


ส่วนเรื่องงาน เรื่องบ้านที่คิดว่าจะซื้อ มีคำทำนายบอกมาเหมือนกัน ... 2 เรื่องนี้ไม่มีการบ้านอะไรที่ต้องทำเพิ่มเติม มีแต่คำทำนายให้ระมัดระวัง และรอติดตามผลว่าจะออกมาเป็นเช่นไร


จัดการการบ้านเรียบร้อย รอดูปลายปี รอคนดีเตรียมข้อมูลเรื่องจะเปิดบริษัทเรียบร้อย ค่อยนัดคิวเข้าไปคุยกับพี่เค้าอีกที ... ตอนนี้จัดการการบ้านที่ได้รับมาก่อนแล้วกัน


25.6.52

ผู้ช่วยผู้ปกครอง

ตัวเองมักจะเรียกคุณแฟนของสาวๆ ในออฟฟิศว่า "ผู้ปกครอง" ค่ะ ... เนื่องจากว่าเวลาเย็นๆ ที่คุณแฟนของสาวๆ ทยอยมารับกลับบ้าน มาถึงออฟฟิศก็จะมานั่งรออยู่ที่ชั้นล่าง ซึ่งเป็นพื้นที่ประจำการของเราเอง ... บางทีหนุ่มๆ มารวมตัวพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ดูแล้วเหมือนผู้ปกครองมารอรับเด็กกลับบ้านค่ะ


พอแฟนใครมาเราก็จะโทรขึ้นไปบอกว่า "ผู้ปกครองมารับแล้วค่ะ" ... บางทีเลยเรียกคนดีว่าผู้ปกครองไปด้วยเหมือนกัน เวลาสาวๆ จะชวนไปไหน ก็จะบอกว่า รอปรึกษาผู้ปกครองก่อน ... มีผู้ปกครองเป็นของตัวเองอย่างชัดเจนมา 7 ปีนิดๆ เพิ่งมารู้ว่ามี "ผู้ช่วยผู้ปกครอง" แอบซ่อนอยู่ค่ะ



ผู้ช่วยผู้ปกครองที่ว่าไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็น "เพื่อนหมู" เพื่อนสนิทของคนดีค่ะ เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เรียนมหา'ลัย ... เพราะเป็นเพื่อนสนิทของคนดี เลยได้คุยกัน จนมาสนิทกับเราไปด้วย ว่างๆ ก็โทรเม้าท์กัน ถ้าคนดีทำไรไม่ถูกใจเราจะถามว่า "เพื่อนใครเนี่ย รับผิดชอบด้วย"


คำตอบที่ได้มาคือ "หมูไม่รู้ หมูเป็นเพื่อนพี่ตั๊ก ส่วนไอ้นกเพื่อนใครก็ไม่รู้"


มีช่วงนึงที่ เพื่อนหมู เข้ามาทำงานที่บริษัทคนดี เลยได้เจอะเจอกันเกือบทุกวัน ... บังเอิญที่ว่า คนดีต้องออกไปอบรมอยู่ราวๆ 2-3 เดือน ซึ่งบางวันจะออกไปสัมมานาตั้งแต่ช่วงเที่ยงยาวไปจนค่ำ จะไม่ได้ไปส่งเราที่บ้านเหมือนเคย ... นี่แหละค่ะ ที่ ผู้ช่วยผู้ปกครอง เกิดขึ้น


เพราะคนดีบอกเพื่อนหมูไว้ว่า "ช่วยพายัยตั๊กไปส่งบ้านด้วย" ... เอ้ย สั่งความกันเอง มาปรึกษากันก่อนบ้างมั้ย


ไอ้ที่เราวางแผนไว้ว่า วันไหนที่คนดีออกไปอบรมยาว กะว่าเย็นๆ จะไปลั้ลลา ตะลอนเที่ยว ช้อปปิ้ง เป็นอันอดหมด ... เพราะพอได้เวลาเลิกงาน เพื่อนหมู จะเดินลงมาแล้วบอกว่า "ไปพี่ตั๊ก กลับบ้าน เร็ว เก็บของเร็วๆ เข้า เดี๋ยวหมูไปส่ง" ... ไม่ว่าเราจะยืนกรานว่าไม่เป็นไร กลับเองได้ เดินไปนิดเดียว เพื่อนหมูก็ไม่ยอม ยืนกราน ยืนยัน ที่จะจับเราขึ้นรถแล้วมาหยอดที่หน้าปากซอยบ้าน เป็นแบบนี้ทุกวันที่คนดีไม่อยู่ ... เซ็งเลยค่ะ เซ็งสุดๆ รู้สึกเหมือนโดนคุมความประพฤติยังไงก็ไม่รู้


ล่าสุด เพื่อนหมู มีปัญหาเรื่องความรัก สาวที่คบกันมา 6 ปี ขอเปลี่ยนความสัมพันธ์จากแฟนมาเป็นพี่น้องกัน เพราะที่บ้านของสาวเจ้ารับไม่ได้ ... ช่วงนี้ เพื่อนหมู เลยวนเวียนเข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมกันอีกรอบ ชวนกันเที่ยว คุยกันบ้าง ปลอบกันบ้าง บ่นกันบ้าง ตามสถานการณ์


เมื่อสัปดาห์ก่อนที่ไปชัยภูมิ ก่อนจะเดินทาง 2-3 วัน ป๊าของคนดีเข้า รพ. เราเองก็นึกในใจว่าคนดีจะไปได้รึเปล่า ถ้าไปไม่ได้จะเปลี่ยนแผนยังไงดี แต่สุดท้ายคนดีก็ไปเที่ยวด้วยได้ ... ระหว่างเที่ยวคนดีบอกว่า "ตอนแรกกะว่าจะไม่มาแล้ว เพราะห่วงป๊า กะว่าจะให้ไอ้หมูมาแทน" ... เฮ้ย ปรึกษากันก่อนมั้ย แล้วถาม เพื่อนหมูรึยัง ว่าเค้าสะดวกมารึเปล่า


เพราะถ้าคนดีมาไม่ได้จริงๆ พี่ๆ ที่มาด้วยก็น่าจะขับรถมาเที่ยวกัน 3 สาวได้ เพราะทั้งคู่มีรถ และขับรถมานานแล้ว ... ตะลอนเที่ยว 3 คนได้ สบาย ไม่ต้องกวนเพื่อนหมูก็ได้มั้ง


กลับจากเที่ยว ได้คุยกับเพื่อนหมู เลยเล่าเรื่องเกือบจะได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ฟัง เพราะอยากรู้ว่าเพื่อนหมูจะว่ายังไง ... ผลคือ "หมูไปได้ ถ้าไอ้นกไปไม่ได้ หมูขับรถไปให้ก็ได้" ... อ๊ายยยยย อะไรกันเนี่ย อะไรจะเลิฟกันขนาดนั้น โอ๊ย ไม่ต้องห่วงอิฉันขนาดนี้ก็ได้ อิฉันดูแลตัวเองได้ค่า


ตัวโตเบ้อเร่อขนาดนี้ แต่มีทั้งผู้ปกครอง และผู้ช่วยผู้ปกครอง คอยดูแล ... เฮ้อ รู้สึกเหมือนเป็นเด็กนักเรียนเลย ... ช่วงนี้ ผู้ช่วยผู้ปกครองเกือบจะโสดแบบสมบูรณ์แล้ว สงสัยต้องช่วยหาสาวให้ดูแล จะได้ไม่มีเวลาว่าง มาแท็คทีมกับเพื่อนเลิฟมาคอยเฝ้าเราอยู่คนเดียว ว่าแต่จะแนะนำสาวคนไหนให้คุณผู้ช่วยผู้ปกครองดีเนี่ย

24.6.52

ผูกมิตรกับหมา

ถ้าถามว่ากลัวสัตว์อะไรในโลกนี้ที่สุด อันดับแรก็ยกให้ งู ค่ะ กลัวเข้าขั้นโฟเบีย คือ เห็นรูปยังไม่ได้ ... รองลงมา ก็เป็น หมา เพราะตอนเด็กๆ โดนหมากัดแบบไร้เหตุผลมา 2 ครั้ง เลยกลัวฝังใจ


กลัวหมาแบบ กล้าๆ กลัวๆ ค่ะ ... คือกลัว แต่ต้องทำใจให้กล้า เพราะเคยได้ข้อมูลมาว่า เค้าจะมีสัมผัสรับรู้ได้ว่าใครกลัว ... ถ้าเจอหมาข้างถนนวิ่งมาเป็นฝูง ใจสั่นหวั่นไหว สติจะกระเจิง ... หรือถ้าไปบ้านใครที่มีหมา ก็ต้องเช็คให้ชัวร์ก่อนว่ามีประวัติกัดใครรึเปล่า แล้วจะเดินแบบระแวดระวัง


หลายครั้งที่เดินๆ อยู่ แล้วเจอหมาโผล่พรวดพราดมา ก็จะหยุดนิ่ง เหมือนยืนเคารพธงชาติให้หมาวิ่งผ่านไปก่อน แล้วค่อยเดินต่อ ... หม่ามี้เห็นทีไร ขำทุกที บอกว่าหยุดทำความเคารพหมาเหรอ


เวลาไปเที่ยว ไปต่างจังหวัด ไปต่างที่ ก็เจอหมาเจ้าถิ่นวิ่งไปมา ทำเอาร้อนๆ หนาวๆ อยู่เหมือนกัน ... เลยคิดว่าต้องหาวิธีผูกมิตรกันสักหน่อย ... วิธีไหนจะดีไปกว่า ของกินหล่ะคะ


คิดเอาเองว่า การให้ขนม ให้อาหารเป็นการผูกมิตรกับหมาได้ดีวิธีนึง แล้วเค้าก็จะจำได้ว่าคนนี้เคยให้ของกิน คงไม่ทำร้ายกัน ... คิดแบบนี้ก็ทำการพิสูจน์ค่ะ


หมาทดลองตัวที่ 1 "ก๊อต" ... แต่ก่อนข้างออฟฟิศเป็นร้านอาหารค่ะ แล้วหลังร้านเค้าผูกหมาไทยสีดำ ตามปลายเท้าเป็นสีน้ำตาลอ่อน เป็นหมาหนุ่มวัยรุ่น แรงเยอะ อยากรู้อยากเห็น ... แล้วโดนล่ามไว้ ก็เลยกระโจนใส่คนที่เดินผ่าน แล้วยังเห่าเสียงดังอีกต่างหาก เห็นท่าทีแบบนี้เป็นใครก็ตกใจ


แล้วเราต้องเดินผ่านทุกวัน ก็ตั้งท่ากระโจนใส่ทุกวัน ไม่ไหวแล้ว ... ซื้อเจอร์ไฮ มา 2-3 ถุง 2-3 รส เช้ามาก็เอาไปยื่นให้ แรกๆ ก็ดมๆ ไม่แน่ใจ แต่คาดว่ากลิ่นคงยั่วยวนอยู่ไม่ใช่น้อย ก๊อตเลยแทะอย่างเอร็ดอร่อย ... ส่งส่วยค่าผ่านทางให้ทุกวัน จากที่ตั้งท่ากระโจนใส่ พร้อมเห่ากรรโชก ก็กลายเป็นจะถลา พร้อมกับกระดิกหางอย่างดีใจสุดขีด ... ให้แบบนี้ทุกวัน จนเค้าปิดร้าน ย้ายร้านไป ก็ยังคิดถึงก๊อตอยู่นะคะ


หมาทดลองตัวที่ 2 "หัวขวิด" ... เป็นหมาที่หลงมาอยู่ในซอยบ้านค่ะ หลงมาตอนโตแล้ว พอมีคนให้ข้าว ให้น้ำ เจ้านี้เลยยึดพื้นที่ปักหลักอยู่ที่นี่ซะเลย ... ปักหลักอยู่ก็ไม่น่าห่วงอะไร แต่ได้ยินข่าวแว่วๆ ว่าเจ้าตัวนี้ดุใช้ได้ แล้วทำหน้าที่ดีมาก คือ ถ้าเป็นคนแปลกหน้า คนเก็บขยะ บุรุษไปรษณีย์ พนักงานเดลิเวอรี่จากร้านต่างๆ เจ้านี้จะย่องไปงับแบบเงียบๆ


โอ้ ได้ยินแล้วใจสั่น หวั่นไหวค่ะ กลัวจะกลายเป็นเหยื่อคมเขี้ยวของเจ้าตัวนี้เข้าสักวัน ... วิธีเดิมค่ะ คือซื้อขนมให้ แต่เป็นแบบแท่งๆ แข็งๆ หน่อย ไว้เคี้ยวขัดฟัน สลับกับเจอร์ไฮ ... กลับถึงบ้านทีไรก็จะหยิบให้ 1-2 ชิ้นทุกที


พอให้กันประจำก็สนิทสนม เห็นเดินเข้าซอยบ้านมาเจ้าตัวนี้ก็จะวิ่งมารับ ท่าทางดีใจที่วิ่งมานั้นหัวบิดหัวเบี้ยว ตัวเอียง คอเอียงมาเชียว คนดีเลยเรียก "หัวขวิด" ... จนช่วงนึงหัวขวิดก็หายหน้าหายตาไป ลองถามไถ่ได้ความว่า ตายไปแล้วค่ะ มีคนจับใส่ยาฆ่าเห็บหมัดให้ แต่ไม่รู้อีท่าไหน หัวขวิดเลยลาโลกไปด้วย ... ได้ยินแล้วก็ใจหาย


หมาทดลองตัวที่ 3 "เรื้อน" ... ตัวนี้วิ่งเล่นอยู่ในซอยบ้านคนดีค่ะ เห็นหน้ากันมานานแล้ว ได้ทักทายกันบ้างเป็นครั้งคราว ... คนดีบอกว่าที่ชื่อเรื้อนเพราะตอนที่หลงมาเป็นขี้เรื้อนหนังกลับมา อากู๋ของคนดีช่วยเอาน้ำมันจักรทาตัวให้ แล้วก็มีคนสงสารให้ข้าวกิน ... จากผอมแห้งเป็นขี้เรื้อนก็กลายเป็นหมาตัวเมียหุ่นอวบกำลังดี ขนเป็นมันเงา ผิวตึง สวยเชียว


แต่ก่อนเรื้อนจะมีคู่เป็นแฟนหนุ่มที่วิ่งเล่นอยู่ด้วย ชื่อ "แดง" แต่แดงโดนรถชนจากโลกไปแล้ว เหลือเรื้อนอยู่ตัวเดียว ... เรื้อนชอบเล่นกับคนที่คุ้นเคย จะมาคลอเคลียข้างๆ ถ้ายังไม่สนใจทักทายสักที เรื้อนจะเอาหัวชนขา ขนเข่า หรืออาจงับเบาๆ ให้คนสะดุ้ง


เรามีขนมเหลือ เพราะเจ้า 2 ตัวข้างบนที่ให้ประจำย้ายไป ลาโลกไป เลยเอาขนมที่เหลือติดรถคนดีไปด้วย ... เอาไปให้เรื้อนแทน แรกๆ เรื้อนก็ดมๆ ทำหน้าไม่แน่ใจ ไม่กล้ากิน แต่พอกินหมดไปอันก็วิ่งกลับมาขออันที่สองทันที ... หลังจากนั้น พอเจอหน้าเราปุ๊บ เรื้อนวิ่งกระดิกหางมารอรับเลย แต่เราไปบ้างไม่ไปบ้าง เลยซื้อขนมติดรถคนดีเอาไว้ มอบหน้าที่ให้คนดีให้เรื้อนแทน


บางทีขนมหมด ยังไม่ได้ซื้อ พอเจอหน้าเรื้อนแล้วรู้สึกผิดชอบกล ที่ไม่มีขนมให้ ... คนดีบอกว่าโดนเรื้อนเดินตามทวงขนมประจำ แล้วต้องเป็น เจอร์ไฮ รสตับ เท่านั้น เพราะกลิ่นหอมยั่วใจที่สุดแล้ว เคยลองให้รสอื่นหน้าตาเรื้อนดูไม่ปลื้มเท่าไหร่ ... แต่พอเห็นซองสีเหลืองนี้เท่านั้นแหละ กระดิกหางแทบขาดใจเลย


หมาทดลองตัวที่ 4 "สตางค์" ... ตัวนี้เป็นหมาที่หลงมาในซอยบ้านอีกแล้วค่ะ แต่คราวนี้เป็นตัวเมีย และมาแบบรับแขกเริ่งร่า ออเซาะ ทักทายไปทุกบ้าน ... เรียกว่ามีกี่บ้าน สตางค์วิ่งไปฝากเนื้อฝากตัวไว้หมด จนเพื่อนบ้านในนั้นเลยเลี้ยงไว้จริงจัง แล้วตั้งชื่อให้ว่า สตางค์ นี่หล่ะค่ะ


ตอนแรกที่เห็นสตางค์หลงมา แล้ววิ่งมาต้อนรับทักทายเลยเอาขนมให้เป็นของกำนัล แต่ก่อนจะให้ก็สั่งให้นั่ง ขอบคุณ หวัดดีก่อน ... สตางค์ทำได้ผ่านฉลุย ไม่มีปัญหา พอได้ขนมไป สตางค์จะไม่กินทันที แต่จะคาบเดินอวดไปทั่วอยู่พักใหญ่ๆ กว่าจะแทะ


สตางค์เป็นหมาที่คุ้นกับคนมาก วิ่งกระดิกหางทักทายเพื่อนบ้านในซอย ได้ข้าวได้ขนมกินจนตัวอ้วนปี๋ ... พอได้ยินเสียงเรากับคนดีเดินเข้าซอยมา ก็วิ่งออกมารับทันที แล้ววิ่งมาแบบดีใจสุดขีด กระโจนใส่ ออเซาะ เกาะแข้ง เกาะขา ตะกุย จนได้รอยเท้ามาเป็นลายผ้าประจำ ... ท่าวิ่งกับขนาดของสตางค์ทำให้คนดีแหยง เพราะอ้วน วิ่งเริงร่า ยิ้มแยกเขี้ยวมาเลย เราต้องคอยดูคอยกันเอาไว้


เห็นวิ่งรับแขกแบบนี้ แต่ถ้าเป็นคนแปลกหน้า สตางค์ก็เห่าสู้นะคะ คอยระแวดระวังคนให้เหมือนกัน ... และที่ทำประโยชน์อีกอย่างคือ ชอบไล่จับหนู แล้วเลยผ่านไปไล่งับแมวด้วย จนประดาแมวๆ ที่เคยปักหลักอยู่ในซอยบ้าน หายเรียบขึ้นไปอยู่ตามกำแพง ตามกันสาด กันหมด


จากการทดลอง ทำให้มั่นใจว่า ขนมนี่ผูกมิตรกับหมาได้ดีจริงๆ ค่ะ ... ทริปล่าสุดที่ไปชัยภูมิ ในที่พักมีหมาอยู่ 3 ตัว หน้าตาเอาเรื่อง น่ากลัวอยู่ค่ะ เป็นหมาไทย แต่หน้าตาไม่น่าเอ็นดู ออกแนวโหดๆ หน่อย แถมยังตัวโตอีกต่างหาก เห็นแล้วก็แหยง ใจสั่น เพราะมานอนเล่นอยู่หน้าห้องพักเราด้วย


พอดีที่ยังมีเจอร์ไฮ ขนมของเรื้อนอยู่ท้ายรถคนดี เลยขอปันมาสักห่อ เอามาส่งให้ตัวละชิ้น ... ให้ขนมแล้วก็ออกไปเที่ยวกัน พอกลับเข้าที่พักมา เจ้าพวกนี้เห็นหน้าเรา เดินกระดิกหางดิ่งมาหาเลยค่ะ ... อิ๊อิ๊ แผนผูกมิตรกับหมาวิธีนี้ สำเร็จจริงๆ


ตอนนี้บนรถคนดีจะมีขนมหมาตุนไว้ตลอด ใครขึ้นรถมาเห็นก็สงสัย ว่ามีติดรถไว้ทำไม ... ระยะหลังเจอหมาแปลกหน้าที่ไหนก็ยังกล้าๆ กลัวๆ นะคะ หยิบขนมไปโยนให้ บางตัวก็ดิ่งมารับ บางตัวก็วิ่งหนีไปเลย ... แต่คนให้สบายใจค่ะ คิดว่าทำทานเล็กๆ น้อยๆ ผูกมิตรกันไว้

23.6.52

ศิราณียามบ่าย

ราวๆ บ่ายสามโมง สาวๆ ในออฟฟิศ จะมีช่วงพักเบรค แต่ไม่ใช่คอฟฟี่เบรค พักกินกาแฟนะคะ เป็นเบรคกินขนม อาหารว่างค่ะ ... แล้วระหว่างที่เคี้ยวขนมกันหนุบหนับ ก็มีพูดคุยปรึกษากันบ้าง


คุยอะไรกันบ้าง ตามไปดูได้ที่ สนทนายามบ่าย ค่ะ ... แต่ช่วงนี้ เรื่องที่หยิบยกขึ้นมาพูด มาคุยกันบ่อยๆ ก็เป็นเรื่อง "ความรัก" ค่ะ


เพราะในบรรดาสมาชิกสาวๆ ในออฟฟิศ มีทั้งที่มีสามีแล้ว มีแฟนแล้ว มีแบบคบกันมานาน หรือ เพิ่งคบกันได้ไม่นาน แล้วก็มีสาวโสด สาวเกือบโสด ... ถ้าต้องแจกแจงก็คงต้องเจาะรายละเอียดเป็นรายบุคคลไป ก็จะเจาะลึกไปนิด


หมวยบีได้หาคำจำกัดความของสาวในออฟฟิศเราว่า สาวฤทธิ์แรง แต่เป็นความแรงในด้านความสัมพันธ์กับคนรักค่ะ ... พอหาคำจำกัดความได้แบบนี้ ก็แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มชัดเจน คือ สาวฤทธิ์แรง กับ สาวฤทธิ์อ่อน ... เรื่องรักของสาวฤทธิ์อ่อนนี่หล่ะค่ะ ที่ถูกหยิบยกมาเป็นหัวข้อสนทนายามบ่ายกันบ่อยๆ


สาวฤทธิ์อ่อน ไม่ได้หมายถึงสาวอายุน้อย ไม่ได้หมายถึงสาวเรียบร้อยเงียบหงิม แต่เป็นสาวที่ยังขาดคุณสมบัติของสาวฤทธิ์แรง 4 ข้อ ที่หมวยบีนิยามไว้ ... ทำให้การจัดการความสัมพันธ์กับคนรักอาจจะกระท่อนกระแท่นไปบ้าง


จริงๆ สาวฤทธิ์อ่อน เค้าก็รับได้ ทนได้ กับความรัก ความสัมพันธ์นั้นนะคะ ... แต่เป็นบรรดาสาวฤทธิ์แรงนี่หล่ะค่ะ ที่ทนไม่ได้ ที่สาวๆ รักตัวเองน้อยไปนิด และไม่เรียกร้องในสิทธิพึงมีพึงได้อย่างที่คนรักควรจะดูแลกัน


หลายคนอาจจะบอกว่า แล้วไปยุ่งกับเค้าทำไม ในเมื่อเค้าไม่เดือดร้อน ... ฮึ ฮึ ถ้าเค้าไม่เดือดร้อน ไม่รู้สึก ก็คงไม่มีอาการ ซึม เศร้า เหงา จ๋อย หงอย เบื่อ เซ็ง ... ถ้ามีอาการแบบนี้เมื่อไหร่ ก็แสดงว่ามีปัญหาในความสัมพันธ์นั่นแหละ บรรดาสาวฤทธิ์แรง ก็ต้องยื่นมือเข้าไปเป็นศิราณี


ศิราณีที่ออฟฟิศนี้ ไม่ได้มีคนเดียวเดี่ยวโดดนะคะ แต่มากันเป็นทีมค่ะ ... พอเริ่มเปิดประเด็น ยกกรณีตัวอย่างของใครขึ้นมา สมาชิกก็จะลากเก้าอี้มาร่วมวงสนทนากันทันที


เป็นการคุยแลกเปลี่ยนความเห็น แลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรักของแต่ละคน ... ยกมาเล่าเปรียบเทียบกันว่าใครเป็นยังไงบ้าง เวลาเจอปัญหาคล้ายๆ กันแบบนี้มีวิธีจัดการยังไง ช่วยกันเสนอมุมมองต่างๆ ออกมา


ในการคุย ปรึกษา แนะนำ เราก็ดูเป็นกรณีไป แยกแยะ เอาใจเขามาใส่ใจเรา ... ไม่ได้ตัดสินว่าคนรักของสาวๆ ผิด แต่มาพิจารณากันว่า มีเหตุอื่นใดเป็นตัวแปรที่ทำให้เค้าทำหน้าที่บกพร่องไปบ้างรึเปล่า เรื่องงาน ภาระ ความรับผิดชอบ ครอบครัว นำมาพิจารณาทั้งหมด ... แล้วก็จะสนับสนุนให้คุยกัน ปรับความเข้าใจกัน


แต่ก็มีบางกรณีที่เราอยากจะให้เค้าเลิกกันเหลือเกิน เพราะสมาชิกส่วนใหญ่ลงมติแล้วว่าผู้ชายแย่ เอาเปรียบ ... แต่สาวเจ้ายังตัดใจไม่ได้ น้องก็ต้องอดทนกล้ำกลืนฝืนน้ำตากันต่อไป


บางรายผู้ชายก็นิสัยดี แต่สมาชิกลงมติว่าการดูแล แสดงความห่วงใย ใส่ใจ บกพร่องไปนิด ... พี่ๆ ก็บอกให้น้องเรียกร้องสิทธิที่พึงมีพึงได้ ที่ผู้หญิงคนนึงควรจะได้รับการดูแลจากคนรัก


บางราย สาวๆ ของเราก็ละเมอเพ้อฝันไปนิด ... สมาชิกเป็นห่วง ต้องหาทางช่วยกันดึงๆ กลับมาให้อยู่ในโลกแห่งความจริง ... เพราะบางครั้ง สเปคที่ตั้งไว้ กับ คนที่ได้เจอจริงๆ นั้นไม่มีทางเป็นคนเดียวกันได้


ระยะหลังศิราณียามบ่ายทำงานกันหนักขึ้นค่ะ เพราะมีเหตุให้สาวฤทธิ์แรงเห็นแล้วขัดใจ ... ต้องตั้งวงสนทนายามบ่ายกันบ่อย บางทีก็มีเสริมยามเช้า และมื้อเที่ยงไปด้วย


ถึงแม้ความรักของเราจะแตกต่างจากสาวๆ ในออฟฟิศ แต่ด้วยอายุที่เกือบจะอาวุโสที่สุด และอายุความรักก็พอสมควร ... จัดเป็นสาวฤทธิ์แรง ที่จัดการความรัก จัดการตัวเอง และจัดการคนรักของตัวเองได้ ... แล้วยังเป็นพวกช่างซัก ช่างถาม ช่างสงสัย และช่างเก็บรายละเอียด แถมยังพูดตรงอีกต่างหาก ... สงสัยทีไร ซักละเอียด แต่เป็นการซักแบบรับฟังเหตุผล ในมุมมองของทั้งสองฝ่ายนะคะ เลยได้รับหน้าที่หน่วยยิงคำถาม


แต่บางทีก็ต้องกลายร่างเป็นหน่วยประนีประนอม ... และบางทีก็ต้องรับบทบู๊ ทำตัวประหนึ่งเป็นทนายซักจำเลย ... รวมถึงหน่วยฟื้นฟูกำลังใจ ต้องปลุกปลอบเรียกพลังกันหน่อย


อาจจะดูเหมือนยุ่งเรื่องส่วนตัวเกินไปรึเปล่า แต่ถ้าเรื่องส่วนตัวส่งผลให้คนของเราจ๋อย ทำงานไม่ได้ ... ก็ต้องเข้าไปช่วยกันดูแลนิดนึงนะคะ ... บรรยากาศการทำงานก็ส่งผลกับการทำงานได้ค่ะ คนนึงจ๋อย อาจจะส่งผลให้คนข้างๆ เริ่มหงอยตามไปด้วยได้ ต้องช่วยๆ กันดูแลค่ะ


เราพยายามปั้นให้สาวฤทธิ์อ่อน รักตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง รู้ความต้องการของตัวเอง รักษาสิทธิพึงได้ของตัวเอง โดยอยู่บนหลักของความมีเหตุผล ... เราไม่ได้ต้องการให้สาวๆ ขึ้นมาวีนคนรัก แต่รู้จักที่จะผ่อนบ้าง ตึงบ้าง เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับคนรักให้ลงตัวค่ะ


หลังจากที่คุยกันแบบนี้ เราก็เห็นว่า น่าจะมีการพัฒนาศิราณียามบ่าย ... เป็น ทริปต่างจังหวัดยกโขยงกันไปพร้อมหน้า แล้วตั้งวง สัมมนาว่าด้วยเรื่องรัก แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน คุยกันตรงๆ ยิงกันตรงๆ เรียงตัวเป็นรายบุคคลไปเลยค่ะ


ลองเสนอไอเดียนี่ไป มีสาวๆ สนใจหลายคนค่ะ ... แต่ทริปนี้จะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ และจะเกิดหรือไม่ ต้องติดตามค่ะ

22.6.52

คันกระเพาะ

ไม่ได้ป่วย หรือ มีอาการแปลกประหลาดในช่องท้องหรอกค่ะ ... แต่คนที่มีอาการนี้ คือ สาวฝน น้องน้อยของแก๊งค์ลูกหมู



ต้นตอของอาการคันกระเพาะของน้องเกิดเพราะคนดีงานยุ่ง และเราหนีเที่ยวค่ะ ... ช่วงต้นเดือน คนดีมีภารกิจต้องส่งของ ติดตั้งของให้ลูกค้า หลายจุดทั่วกรุงเทพฯ ทยอยวิ่งรถส่งงานอยู่หลายวัน ... แวะมาเจอกันบ้าง แต่บางทีก็ของเต็มรถ รับคนไปไหนมากไม่ได้ ... พอส่งของเสร็จก็ออกไปทริปหัวหินกับเรา



กลับมาจากหัวหิน ก็พอดีกับที่ ป๊าของคนดีน้ำตาลลด เป็นลม หมดสติไป ... ต้องเข้าโรงพยาบาลไปให้คุณหมอดูอาการอย่างใกล้ชิด คนดีเลยต้องไปดูแล อาจจะแวะมารับเราไปส่งบ้าน หรือ ไม่ได้แวะมาเลย



สมาชิกหลักของแก๊งค์หายไป แก๊งค์ลูกหมูเลยไม่ได้รวมตัวกันตะลอนชิม ... สบายกระเป๋าสตางค์ แต่น้องฝนเกิดอาการผิดปกติในร่างกาย น้องบอกว่า "หนูคันกระเพาะ"



น้องไปตัดพ้อกับคนดีว่า "พี่นกอ่ะ ห่างหายไปเลยนะ แก๊งค์ลูกหมูไม่ครบทีมสักที ไม่ได้รวมตัวกันนานแล้วนะ รู้มั้ยว่าหนูอ่ะ คันกระเพาะ แล้ว อยากกินของอร่อย พี่มาหัดให้หนูได้ชิมของอร่อยแล้ว มันเคยตัวแล้วนะ"



โอ้ ได้ยินแล้วซาบซึ้งใจ น้องเป็นสมาชิกแก๊งค์ที่ต้องมอบเหรียญรางวัลให้จริงๆ เพราะไม่เคยหลุดคอนเซปท์เลย ... ได้ยินแบบนี้แล้ว คนดีเลยต้องรีบจัดคิวมาพาน้องไปหม่ำของอร่อยค่ะ



คาดว่าเร็วๆ นี้ แก๊งค์ลูกหมูคงได้รวมตัวกันตะลอนชิมแน่ๆ ค่ะ ... ส่วนจะเป็นที่ไหน เมื่อไหร่ ต้องรอดูค่ะ

21.6.52

สัมผัสหมอก ชมดอกกระเจียว # 2

เมื่อคืนเข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะวางแผนที่จะตื่นตี 4 ค่ะ ... ที่ต้องตื่นแต่เช้ามืดขนาดนี้ เพราะจะไปตามหาหมอกค่ะ ไม่งั้นไม่ครบสูตร


ตั้งมือถือไว้ ตี 4 ตื่นลืมตามาปิดเสียง แล้วก็ขอหลับตาต่ออีกหน่อย เพราะประเมินสถานการณ์แล้วว่างีบอีกนิดก็ยังทัน ... สิบห้านาทีต่อมา ก็ลุกไปล้างหน้า แปรงฟัน ทาครีมกันแดด ทาแป้ง แล้วมาปลุกคนดีไปจัดการตัวเองบ้าง ... พอคนดีลุกไปแปรงฟัน 2 สาวร่วมทริปก็ตื่นลืมตาลุกมาพอดี


ลืมแนะนำ 2 สาวร่วมทริปนี้ไปค่ะ ... ทั้ง 2 คน เป็นศิษย์เก่าของออฟฟิศค่ะ เคยทำงานที่นี่ จัดเป็นสาวฤทธิ์แรง เฮฮาบ้าบอด้วยกันมาหลายสถานการณ์ ... พี่ตุ๊ก เป็นสาวคนเดียวที่ลุกไปอาบน้ำแต่งหน้าแต่งตัวแบบครบเครื่อง ... ส่วนพี่จอย เรา คนดี แค่ล้างหน้า แปรงฟันเท่านั้น


ราวๆ ตีห้าสี่สิบ สมาชิกก็พร้อมออกเดินทาง ... เปิดประตูห้องออกมา อากาศเย็นสบาย ไม่หนาว มีลมพัดมาเรื่อยๆ ให้ชื่นใจ ... เป็นฤกษ์ดีว่า อากาศบน อช. ก็น่าจะปลอดโปร่งโล่งสบาย แล้วจะมีหมอกให้เราได้สัมผัสรึเปล่าน้า


ไปถึง อช.ป่าหินงาม ราวๆ หกโมงนิดๆ จ่ายค่าธรรมเนียมเรียบร้อย ก็ไปยืนรอรถที่จะขึ้นไปส่ง ... เส้นทางวันนี้เหมือนเดิมค่ะ คือเริ่มต้นที่ จุดชมวิวสุดแผ่นดิน ลงรถเดินไปก็ลุ้นไปว่าจะเห็นทะเลหมอกรึเปล่าน้อ


พอไปถึงจุดชมวิว ก็จ๋อยค่ะ เพราะไม่เห็นมีทะเลหมอกเลย ... หง่ะ ทำไมเป็นแบบนี้หล่ะ หมอกหายไปไหน ตื่นแต่เช้ามาตามหาแล้วนะทำไมไม่มาตามนัดหล่ะ ... แต่ไม่เป็นไรค่ะ ยังร่าเริงถ่ายรูปเล่นกันได้


ปลอบใจตัวเองว่า คงเป็นเพราะไม่มีฝน ความชื้นไม่มาก หมอกเลยไม่มา ... คิดว่ามาถ่ายรูปซ่อมจากที่ถ่ายเมื่อวานแล้วกัน แล้วมองหามุมใหม่ๆ ที่เมื่อวานยังไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไป




4 สาว 4 แอ็ค ณ จุดเดียวกัน ... ผลัดกันลุก ผลัดกันนั่ง ผลัดกันเป็นนางแบบ ผลัดกันเป็นตากล้อง ถ่ายรูปกันสนุกค่ะ ... แต่ถ่ายรูปไปก็เกรงใจคนรอบข้างที่เล็งจังหวะมาถ่ายรูปที่จุดเดียวกัน


ถ่ายรูปกันพอสมควรก็ชวนกันขยับย้ายที่ ไปที่ทุ่งดอกกระเจียว ... ระหว่างเดินชมวิว ถ่ายรูปไปตามทาง ลมก็พัดหมอกขึ้นมาค่ะ หมอกขาวๆ บางๆ ค่อยๆ ลอยขึ้นมา ... กรี๊ดกร๊าดวี้ดว้ายกันใหญ่ อยากจะเดินกลับไปตรงสุดแผ่นดิน ไปดูว่าหมอกลอยตัวหนาแน่นรึเปล่า แต่ก็ลังเล เพราะอยากเห็นทุ่งดอกกระเจียวท่ามกลางสายหมอก




สุดท้ายก็เลือกเดินไป ทุ่งดอกกระเจียว กันต่อค่ะ ... แล้วก็ไม่ผิดหวัง เพราะมีหมอกลอยเบาบางจางๆ ดูเหมือนทุ่งดอกกระเจียวท่ามกลางม่านสีขาวบางๆ สวยเหมือนฝันเลยค่ะ


เพราะเมื่อวานมาเดินสำรวจไปรอบนึงแล้ว วันนี้เราเลยทำเวลาในการเดินได้เร็วขึ้น และรู้เป้าหมายตัวเองชัดเจน ... แยกย้ายกันไปถ่ายรูปตามจุดต่างๆ ถ่ายรูปเดี่ยวบ้าง คู่บ้าง และเจาะถ่ายรูปดอกกระเจียวกันอย่างสนุกสนาน




เมื่อวานน้องเก๋ อาสา อช. ให้ความรู้เพิ่มเติมไว้ว่า ... ดอกกระเจียวตัวจริงเสียงจริง คือดอกสีขาวม่วง ที่เห็นค่ะ ส่วนเจ้าสีชมพูสดใสที่เบ่งบานอยู่นั้น เป็นกลีบเลี้ยงค่ะ ... โอ้ หลงคิดอยู่ตั้งนานว่าดอกกระเจียว คือส่วนที่เป็นสีชมพูสดใส ขนาดเห็นรองเท้าตัวเองสีเข้ากันพอดีเลยเก็บรูปคู่กันไว้สักหน่อย ที่แท้เป็นดอกเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ต่างหาก


เดินถ่ายรูปกันจนท้องเริ่มร้องดังเรื่อยๆ ราวๆ แปดโมงเช้าก็ล่าทัพกลับเข้าที่พักค่ะ ... รอบนี้เว้นวรรคไม่ไปที่ ลานหินงาม เพราะเมื่อวานเดินสำรวจทั่วแล้ว และกลัวว่าถ้าเดินกันเองคงหลงวนไปมาอยู่ตามหินก้อนต่างๆ กว่าจะวนออกมาได้คงไส้กิ่วก่อนแน่ๆ


กลับเข้าที่พัก ก็ตรงดิ่งไปหม่ำมื้อเช้าทันที เป็นเกาเหลาผักจินจูฉ่ายใส่กระดูกหมู เมนูแนะนำของที่นี่ค่ะ ... โต๊ะอื่นกินเป็นเกาเหลากับข้าว แต่โต๊ะพวกเรา กินเป็นข้าวต้มค่ะ น้ำซุปหวาน กลมกล่อม อร่อยมากค่ะ


อิ่มแล้วก็แวะช้อปปิ้ง ซื้อของพื้นบ้านที่ชาวบ้านมาวางขาย ทั้ง หน่อไม้ ฟักทอง ข้าวกล้อง ดอกพลอยชมพู เสื้อ กางเกง ถุงผ้า ช้อปกันสนุกสนาน ... ช้อปจนหนำใจแล้วก็กลับเข้าห้องพัก ทยอยอาบน้ำ เก็บข้าวของเตรียมเดินทางกลับ


ออกจากชัยภูมิย้อนมาตามเส้นทางเดิม แต่เปลี่ยนเป้าหมายนิดหน่อยค่ะ ... ตรงดิ่งเข้าไปที่ตัวเมืองลพบุรี เพราะพี่ตุ๊กรีเควสท์ อยากจะไปดู พระปรางค์สามยอด กับ พระนารายณ์ราชนิเวศน์


ตรงดิ่งยิงยาวไปที่ตัวเมือง ไปถึงพร้อมกับท้องที่หิวมากขึ้นเรื่อยยๆ ... เลยแวะหาร้านอาหารที่สะดวก และสะดุดตา สุดท้ายไปได้ร้านอาหารตามสั่งเยื้องกับศูนย์มะเร็ง เป็นการเสี่ยงชิมที่มีโชคมากค่ะ เพราะ กะเพราหมูสับไข่ดาว ผัดซีอิ๊ว สุกี้น้ำทะเล ก๋วยเตี๋ยว ที่สั่งมา อร่อยทุกอย่างค่ะ


อิ่มสบายท้องแล้วก็เดินทางกันต่อค่ะ ... มุ่งหน้าไปที่ พระปรางค์สามยอด พอใกล้จะถึงก็ตื่นตระหนกตกใจ เนื่องจากน้องลิงกระจายตัวอยู่ทั่ว ทั้งรอบๆ พระปรางค์ และถนนหนทางอาคารบ้านเรือนในละแวกใกล้เคียง ... เห็นแล้วประสาทค่ะ หวั่นใจไปต่างๆ นาๆ น้องลิงจะมาแย่งของรึเปล่า จะมาโดดเกาะขามั้ย เดินเครียดหน้ายุ่งไปจนถึงทางเข้า




เดินก้าวเท้าเข้าไปในพื้นที่ จ่ายค่าธรรมเนียมก็ยิ่งหวั่น เพราะน้องลิงรายล้อมไปหมด ... มาโล่งอก สบายใจ ตอนที่รู้ว่า จะมีคนที่ดูแลเดินประกบไปด้วย ในมือคนดูแลจะมีหนังสติ๊ก หรือ ด้ามไม้ ไว้เคาะไล่น้องลิง ... แล้วยังช่วยอธิบายเล่าเรื่องราวที่มาที่ไป และแนะนำมุมถ่ายรูปให้ ประทับใจพวกเรามาก เลยให้ทิปเป็นสินน้ำใจไป




ตอนแรกที่เดินก็กลัวน้องลิง เดินไประแวงไป แต่พอมองนานๆ เดินเพลินๆ ก็เห็นว่าน่ารักดี ... คนดูแลบอกว่า น้องลิง ชอบกระจกค่ะ ถ้าใครที่ถือกล้องตัวโตๆ เลนส์บิ๊กๆ ไปส่องถ่ายรูป น้องลิงทั้งหลายจะให้ความร่วมมือ มองตรงมาที่เลนส์ค่ะ ... พี่ตุ๊กพกกล้องตัวโต เห็นเลนส์ชัดไว้ในมือ ลองไปส่องใกล้ๆ ถ่ายรูป น้องลิงก็จ้องตาเป๋งมองตรงมาที่เลนส์ แล้วอยู่นิ่งให้ถ่ายรูปง่ายๆ ค่ะ


เดินกลับออกมาจากพระปรางค์สามยอด ด้วยความรู้สึกที่ต่างจากขาเข้า ... เพราะน้องลิงก็น่ารักดี เค้าอยู่กันเป็นหมู่คณะ รักกันบ้าง ตีกันบ้าง ช่วยเหลือกันบ้าง ตามประสาลิงๆ ... มนุษย์เราต่างหากที่เข้ามายึดพื้นที่ของเค้า จนเค้าต้องวิ่งวุ่น หลบทั้งรถยนต์ รถไฟ บาดเจ็บไปก็เยอะ ตายไปก็หลายตัว น่าสงสาร


เริ่มร้อน เหงื่อเริ่มซึม เลยชวนกันย้ายที่ ไปที่ พระนารายณ์ราชนิเวศน์ ที่อยู่ห่างไปเพียงนิดเดียว ... เข้าไปเดินชมโบราณสถานที่หลงเหลืออยู่ ไปดูพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์ที่มาที่ไป และจัดแสดงโบราณวัตถุ ที่ขุดค้นได้




เดินทัศนศึกษาเหมือนสมัยเรียนมัธยม ครบทุกจุดแล้วก็เคลื่อนขบวน มุ่งหน้ากลับค่ะ ... แดดเริ่มร้อน เหงื่อซึม เหงื่อชื้น เต่าเปียก จนแวะเดินเล่นที่ไหนไม่ไหวแล้วค่ะ มุ่งหน้ากลับบ้าน


ระหว่างทางกลับก็นั่งเม้าท์กันมาเรื่อยๆ อัพเดทชีวิตบ้าง ย้อนอดีตรำลึกความหลังกันบ้าง เพลินดีค่ะ ... ทริปนี้ถึงจะจัดเป็นทริปสมบุกสมบัน มีกัน 4 ชีวิตตะลุยกันไป แต่ก็สนุกสนานเพลินเพลิน


ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหน เที่ยวแบบไหน ถ้าไปกับเพื่อนที่รู้ใจ ทริปไหนๆ ก็สนุกและน่าประทับใจ ... ทริปนี้ถึงจะเหนื่อย ถึงจะเพลีย แต่ก็คุ้มค่าค่ะ

20.6.52

สัมผัสหมอก ชมดอกกระเจียว # 1

เที่ยวอีกแล้วค่ะ ... ทริปก่อนเที่ยวแบบพักผ่อนนอนสบาย ทริปนี้เที่ยวแบบสมบุกสมบัน นอนน้อย ตื่นเช้า ปีนป่ายภูเขา ... แต่สนุกค่ะ


นัดเจอกัน 7 โมงเช้า ที่ปั๊ม ปตท.วิภาวดีฯ ... ถึงแล้วก็ต้องเช็คลมยางของโกลดี้สักหน่อย ว่าพร้อมเดินทางไกลรึเปล่า ... ทริปนี้ไปกัน 4 ชีวิต 4 สาว สมาชิกพร้อม รถพร้อม ก็ออกเดินทางกันเลยค่ะ


ใช้เส้นทาง รังสิต - วังน้อย - สระบุรี - ลพบุรี - ชัยบาดาล - ลำสนธิ - เทพสถิต ... ถนนสองเลน สภาพถนนดี รถไม่เยอะมาก วิ่งได้สบายๆ ค่ะ ยิงยาวไปเรื่อยๆ ราวๆ 11 โมงครึ่ง ก็ถึงที่พัก "ไร่ภูเทพพิมาน" ... แวะเข้าไปเช็คอิน หอบสัมภาระลง แล้วก็วนออกมาเติมพลังค่ะ


ไม่มีข้อมูลว่าร้านไหนน่าสนใจ เลยใช้วิธีเสี่ยงดวงเลือกจากร้านที่มีโต๊ะเยอะๆ รถจอดเยอะๆ ลูกค้าเยอะๆ ค่ะ ... ผลออกมาที่ร้าน ครัวจ่าจ้าง สมาชิกมีมติว่าน่าลองเสี่ยงชิมดู


ตำไทยใส่ปู รสชาติใช้ได้ค่ะ ... ต้มยำปลาดอกไม้ ก็รสชาติดี เสียดายที่ให้เนื้อปลามาน้อยไปนิด ... ไก่บ้านทอดเกลือ ทอดมากำลังดี หนังกรอบ เนื้อไก่ก็แน่นหนึบสมกับเป็นไก่บ้านจริงๆ ... คั่วไก่หน่อไม้ รสดีค่ะ ถ้าได้ข้าวสวยร้อนๆ เยี่ยมไปเลย ... ไก่ย่าง เป็นไก่บ้านเนื้อหนึบอีกเหมือนกันค่ะ อร่อยดี ... เผลอตัวสั่งเมนูไก่มาชนกันถึง 3 อย่าง กินกันเบื่อไก่เลยหล่ะค่ะ สั่งมาตอนหิว กินไม่หมด เลยหอบไก่ย่างกับไก่ทอดที่เหลือกลับมาด้วย

ก่อนจะเข้าที่พัก ผ่าน น้ำตกเทพพนา เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำเลยแวะเข้าไปดูหน่อย ... กะว่าจะไปนั่งรับลมสบายๆ ดูสายน้ำทิ้งตัวลงมาซู่ซ่า ... แต่พอไปถึง


ทำไมน้ำตกไม่ตกซู่ซ่า โครมคราม อย่างที่คิด ดูไหลเอื่อยชอบกล ... แล้วยังคนเยอะมากกกกกกก แต่มีที่นั่งพักนิดเดียว หันซ้ายก็คน หันขวาก็คน กว่าจะถ่ายรูปแบบไร้คนมาได้เล็งแล้วเล็งอีก ... แล้วมีอยู่ 2 มุมเท่าที่เห็นนี่หล่ะค่ะ ไม่ได้มีมุมอื่นๆ ให้เดินดูเลย ... กดถ่ายรูปกันพอสมควรก็ชวนกันเข้าที่พักค่ะ


กลับมาถึง ห้องพักก็เรียบร้อยพร้อมให้เข้าพักค่ะ ... ฟูกปูเรียงกันเป็นแนวเหมือนเด็กหอ ห้องน้ำก็เรียบง่าย มีเครื่องทำน้ำอุ่นก็สบายใจแล้ว มีน้ำพร้อมแก้วให้ ... เรียบ ง่าย ธรรมดา ต่างจากทริปก่อนสิ้นเชิง ก็จ่ายคนละ 700 ได้ห้องพัก 1 คืน อาหาร 2 มื้อ ก็รับได้แล้วค่ะ ... ราคานี้ได้มาจากงานไทยเที่ยวไทยเหมือนเดิมค่ะ


เก็บของแล้วก็ออกเดินสำรวจที่พักค่ะ ... ที่นี่มีบึงน้ำ มีต้นไม้นานาชนิด สารพัดพืชพันธุ์ ให้เดินชมนก ชมไม้ ชมบรรยากาศได้สบายๆ เพลินๆ ค่ะ ... 4 คน มีกล้องกันคนละตัว กดถ่ายรูปมุมนั้น มุมนี้กันสนุกไปเลยค่ะ


ถ่ายรูปกันจุใจแล้ว ก็อยากจะเที่ยวต่อค่ะ เห็นว่าใกล้ๆ ที่พักมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ "บ้านดิน" กับ "ผาน้ำย้อย" ... ลองเดินไปสอบถามข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ที่พัก ให้ลองติดต่อรถอีแต๋นพาเที่ยว แต่ดูถ้าจะเจอกรุ๊ปใหญ่จองล่วงหน้ามาก่อน รถไม่พอให้บริการ .. เราเลยเปลี่ยนใจเข้าไปที่ อช.ป่าหินงาม เลยค่ะ

ตอนแรกวางแผนจะมาดูดอกกระเจียวท่ามกลางสายหมอกตอนเช้า แต่มาดูทั้งรอบบ่าย รอบเช้าเลยแล้วกัน จะได้เปรียบเทียบความแตกต่าง ... เพราะเป็นช่วงเทศกาลท่องเที่ยวชมดอกกระเจียวพอดี นักท่องเที่ยวเยอะ รถแยะ แล้วก็มีงานขายสินค้า OTOP ด้านหน้าทางเข้าด้วย


จ่ายค่าเข้าอุทยาน คนละ 10 บาท เดินเข้าไปจ่ายค่ารถชมสถานที่อีกคนละ 20 บาท แล้วก็ขึ้นรถไปตามจุดต่างๆ เลยค่ะ ... จุดแรกรถพาไปส่งที่ จุดชมวิวสุดแผ่นดิน เป็นหน้าผาสูงชัน และเป็นจุดสูงสุดของเทือกเขาพังเหย ซึ่งอยู่ในเขต อช.ป่าหินงาม ... เกิดจากการยกตัวของพื้นที่เป็นที่ราบสูงภาคอีสาน จึงเป็นรอยต่อระหว่างภาคกลาง ภาคอีสาน ภาคเหนือ ... เห็นทิวทัศน์ของสันเขาพังเหย และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา


ตรงนี้วิวสวยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ค่ะ ... เห็นแล้วชื่นใจ ถ้าคนไม่เยอะ ไม่มีโปรแกรมไปดูดอกกระเจียวกันต่อ คงนั่งชมวิว ถ่ายรูปอยู่แถวนี้ได้นาน น้าน นาน เลยหล่ะค่ะ


ถ่ายรูปกันพอสมควรแล้ว ก็ขยับไปจุดต่อไป เดินไปชม ทุ่งดอกกระเจียว ค่ะ ... มีเส้นทางเดินชมธรรมชาติรอบตัว เดินสบายๆ ไปราวๆ 300-400 เมตร แล้วก็ถึงทางเข้าชมทุ่งดอกกระเจียว



เป็นสะพานทางเดินที่สร้างทอดตัวผ่านไปตามทุ่งดอกกระเจียวจุดต่างๆ ... ที่ต้องทำเพราะที่ผ่านมามีคนเดินลุยทุ่งไปถ่ายรูปกับดอกกระเจียว ซึ่งการเดินลุยทุ่งเข้าไปแบบนี้ เป็นการทำลายดอกกระเจียวทางนึงค่ะ ... เพราะดอกกระเจียวแตกออกมาจากหน่อ ถ้าหน่อที่ยังไม่แตกออกมาโดนเหยียบไป กระเจียวก็จะตายแล้วก็ไม่ขึ้นมาอีก ... เลยต้องมีแนวทางเดิน พร้อมป้ายห้ามลง และป้ายระบุค่าปรับแจ้งไว้


แค่ดูด้วยตาเปล่า มองไปไกลๆ เห็นต้นกระเจียวสีชมพูสดใส แทรกมาท่ามกลางหญ้าเขียวๆ ก็มองเพลินแล้วค่ะ ... หันซ้ายก็เจอ หันขวาก็เจอ โอ๊ย สบายตา สบายใจ


มาเดินชมวิวเที่ยวนี้ มีไกด์พิเศษมาด้วยค่ะ ... ตอนเดินเข้ามามีเจ้าหน้าที่อุทยานมาคุยด้วย ถามว่ามาครั้งแรกรึเปล่า อยากได้อาสามาช่วยแนะนำให้ข้อมูลมั้ย ... เป็นน้องนักเรียนจากโรงเรียนแถวนี้ที่ผ่านการอบรม ทดสอบ และคัดตัวมาแล้ว ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ


กรุ๊ปเราเลยได้ น้องเก๋ มาช่วยแนะนำให้ข้อมูล แล้วยังช่วยถือของ ช่วยถ่ายรูป ... โดยเฉพาะตรง ลานหินงาม จุดสุดท้ายของ อช.ป่าหินงาม น้องพาเราเดินลัดเลาะไปตามทางเพื่อดูหินรูปร่างแปลกตา ที่เกิดจากการกัดเซาะของเนื้อดินและหินเป็นเวลาหลายล้านปี ... ตรงนี้ถ้าไม่ได้น้องพาเดิน ก็คงหลงค่ะ เพราะไม่มีทางเดินเป็นแนวชัดเจน แต่สามารถปีนป่ายไปตามก้อนหินต่างๆ ได้



แล้วเดินชมไป ถ่ายรูปไป ปีนขึ้นหินก้อนนั้น ก้อนนี้ ไปเรื่อยๆ ... เดินๆ ไป งงค่ะ หาทางออกไม่เจอ ได้น้องเก๋ช่วยเล็งพิกัดหาทางพากลับเข้าทางหลักจนได้ ถึงแม้จะต้องบุกต้นไม้ฝ่าออกมาบ้าง


เดินตั้งแต่บ่ายสาม จนเกือบหกโมงเย็น เดินจนหิวอ่ะค่ะ ถึงได้กลับ ... สงสารน้องเก๋ที่เดินตามพวกเราต้อยๆ คอยบอกเล่าข้อมูล แล้วยังยืนรอ ยืนดู อยู่พักใหญ่ พี่ๆ เลยลงมติทิปน้องเป็นค่าขนมเยอะหน่อย


เมื่อยขา และหิวท้องกิ่วกันถ้วนหน้า ... กลับถึงที่พักก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดีค่ะ เพิ่งเปิดบุฟเฟ่ต์พอดี เราๆ เลยจองโต๊ะ คว้าจานตักข้าวทันที ... ไข่ลูกเขย ผัดผักกาดขาว แกงเขียวหวาน หมูผัดพริก และ น้ำพริกกะปิกับปลาทูทอด ... อร่อยทุกอย่างค่ะ


อิ่มแล้วก็มีโชว์จากเด็กนักเรียนของโรงเรียนเทพพนาฯ มา รำ เล่น เต้น ร้อง ให้ดู ... แสดงจบก็เดินถือกล่องรับบริจาค เพราะน้องๆ หนูๆ พวกนี้จัดเป็นนักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ค่ะ ได้ยินแบบนี้ คนดีหันมาสะกิดบอกให้เราจัดทริปบริจาคของทันที


พอโชว์จบ ก็เปิดให้ลูกค้าร้องคาราโอเกะ ส่วนพวกเราขอหลบเข้าห้องพักเตรียมนอนดีกว่า เพราะพรุ่งนี้วางแผนว่าจะตื่นเช้า ... แต่ก่อนจะเข้าห้องนอนได้ก็ต้องตื่นเต้นกับตุ๊กแกที่มาโชว์ตัวหน้าประตูกันสักหน่อย ... เรากลัวน้อยที่สุด เดินผ่านไปเช็คในห้องให้ว่ามีตุ๊กแกแอบหลงเข้ามารึเปล่า ส่วนอีก 3 ชีวิตที่เหลือ เกาะกันหนึบอยู่ด้านนอก รอพนักงานมาไล่เจ้าตัวลายหน้าห้องไปให้


ผ่านมาได้เรียบร้อย ก็ทยอยอาบน้ำ เตรียมตัวนอน นั่งเม้าท์กันสักพักก็ปิดไฟนอน เพราะไม่มีทีวีให้ดู แต่มีนิตยสารให้หยิบยืมมาอ่าน ... ราวๆ สามทุ่มนิดๆ ก็ทยอยหลับ เป็นการเข้านอนแต่หัวค่ำจริงๆ แต่เป็นการนอนชาร์จพลังเพื่อวันพรุ่งนี้ค่ะ

17.6.52

คุณค่าที่คุณคู่ควร

ไม่ได้จะโฆษณาผลิตภัณฑ์ของลอรีอัลนะคะ ขอยืมแค่ประโยคเด็ดมาใช้เท่านั้นค่ะ ... เพราะประโยคนี้ "คุณค่าที่คุณคู่ควร" เป็นประโยคฮิตติดปากของหมวยบี ที่หยิบมาประยุกต์ใช้วลาเจอของถูกใจค่ะ


เวลาหมวยบีไปช้อปปิ้ง แล้วเจอของโดนใจ ประโยค "คุณค่าที่ดิฉันคู่ควร" จะหลุดออกมาจากปาก พร้อมกับหน้าตาภูมิใจ ... ฟังแล้วให้อารมณ์ประมาณว่า ของชิ้นนั้น เกิดมาเพื่อดิฉัน มันลงตัวพอเหมาะพอเจาะที่สุดแล้ว ... และสุดท้ายก็ต้องสอยเจ้าของชิ้นนั้นกลับบ้านมา


หรือถ้าหมวยบีไปเจอไอเท็มอะไรที่อยากได้มากๆ "คุณค่าที่ดิฉันคู่ควร" จะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ... แต่ถ้ามีใครยับยั้ง หรือ มีเหตุที่ทำให้ยังซื้อไม่ได้ หมวยบีก็จะเพ้อถึงไอเท็มนั้น แล้วรำพึงว่า "มันเป็นคุณค่าที่บีคู่ควรจริงๆ นะพี่" ... จ้า รู้จ้า เข้าใจจ้า


ฟังแล้วก็เข้าใจอารมณ์ของหมวยบีนะคะ ว่ามันลงตัวพอเหมาะ ถูกอกถูกใจขนาดไหน ... จนเมื่อวันศุกร์เจอเข้ากับตัวเอง ถึงได้เข้าใจกระจ่างแจ้งถ่องแท้


ระหว่างเดินเล่นฆ่าเวลารอดู UP ก็แวะไปที่ XXI Forever ร้านเสื้อเจ้าประจำ เข้าไปโฉบเล่นๆ เพลินๆ ... คนดีเจอเสื้อเชิ้ตถูกใจ ลองแล้วลงตัว ต้องสอยกลับบ้าน ... แต่ฝากพนักงานไว้ก่อน ให้เราเดินเล่นดูก่อนว่าจะเสียทรัพย์ด้วยรึเปล่า


เราเองไม่อยากได้เสื้อใหม่ กะเดินดูเพลินๆ แค่นั้น แต่คนดีเห็นมีเสื้อเชิ้ตลายสก็อตหลากสีหลายแบบ อยากเห็นเราลองใส่ ... เราเองไม่เคยคิดจะซื้อเสื้อเชิ้ตลายสก็อตมาใส่ เพราะมีความเชื่อส่วนตัวว่า เสื้อเชิ้ตลายสก็อตเป็นเสื้อปราบเซียน ถ้าเลือกแบบ เลือกสีไม่ดี มีดับได้ง่ายๆ ... ที่คิดจะใส่แล้วดูแก่นแก้วเป็นลูกสาวกำนัน อาจจะพลาดพลั้งกลายเป็นคนงานไร่อ้อย


คนดีคะยั้นคะยอว่าช่วยลองให้ดูหน่อยเหอะ นะ นะ นะ ... เอ้า ลองก็ลอง ก็แค่ลอง พลาดพลั้งมัวหมอง ก็ขำกันอยู่แต่ในห้องลองเท่านั้น ... แล้วก็เลือกเสื้อเชิ้ต 2 แบบ จากหลากหลายแบบ หยิบติดมือเข้าไปลอง


ตัวแรก เชิ้ตลายสก็อตสีแดงดำ ดูเผินๆ เหมือนลายผ้าขาวม้า ... ลองใส่แล้วพอดีตัวเป๊ะ อกพอดี ช่วงตัวพอดี เรียกว่าเข้ารูปพอดี ความยาวกำลังดี ... ใส่แล้วอึ้ง เฮ้ย มันจะพอเหมาะพอเจาะลงตัวพอดีอะไรแบบนี้


ตัวที่สอง เชิ้ตลายฟ้าอมเขียว แทรกลายเส้นสีน้ำตาล มีเชือกเส้นเล็กให้ผูกด้านหลัง ... ลองใส่แล้ว สีสวยดีค่ะ ดูไม่เหมือนผ้าขาวม้า ความยาวกำลังดี แต่ช่วงอกดูพองๆ ถึงแม้จะลองผูกเชือกด้านหลังแล้วก็ยังดูพองๆ ฟูๆ พิกล


คนดีบอกว่า จริงๆ ก็โอเคทั้ง 2 ตัว ใส่แล้วไม่กลายเป็นสาวไร่อ้อย ... เพื่อความมั่นใจเลยหยิบตัวแรกมาลองใหม่อีกครั้ง พอลองใส่รอบสอง ประโยค "คุณค่าที่คุณคู่ควร" ก็ลอยเข้าหัวมาทันที วินาทีนั้น เข้าใจอารมณ์ของหมวยบีอย่างกระจ่างใจ ว่าความรู้สึกมันเป็นแบบนี้นี่เอง


ที่ไม่ได้ตั้งใจจะซื้อเสื้อ เลยมีเหตุให้เสียทรัพย์ตามคนดีไปด้วยจนได้ค่ะ ... เพราะ "คุณค่าที่คุณคู่ควร" แท้ๆ

16.6.52

17 Again

เพราะตรงดิ่งกลับจากหัวหิน ไม่ได้แวะเถลไถลที่ไหน เลยถึงกรุงเทพฯ ราวๆ บ่ายสามโมง ... เวลายังเหลือ เลยชวนกันดูหนังสักเรื่องก่อนกลับเข้าบ้านดีกว่า




จากโปรแกรมหนังที่มีฉายตอนนี้ ที่เข้าตาที่สุดก็คงต้องเลือกดู 17 Again : 17 ขวบอีกครั้ง กลับมาแก้ฝันให้เป็นจริง ... เพราะตอนดูโปรแกรมหนังเมื่อเช้า ตาเบลอเซ่อซ่า เห็นรอบฉายว่ามีเฉพาะที่เอสเอฟ เลยตรงดิ่งเข้าเมืองไปดูทีเซ็นทรัลเวิลด์ ... ไปถึงก็รีบเช็ครอบฉายทันที กำลังจะฉายในอีก 15 นาทีข้างหน้า รีบซื้อตั๋วแล้วขึ้นไปโรงหนังทันทีค่ะ





เรื่องย่อ

ปี 1989 ไมค์ โอ'ดอนแนล เป็นดาวรุ่งของทีมบาสเกตบอลไฮสคูล มองเห็นอนาคตอันสดใสอยู่ใกล้แค่เอื้อม ... แต่เขากลับตัดสินใจโยนทุกสิ่งทุกอย่าทิ้งเพื่อที่จะไปร่วมชีวิตกับสการ์เล็ตแฟนสาว และลูกน้อย ที่เขาทั้งสองคนเพิ่งรู้ว่ากำลังจะมาเกิด


เกือบยี่สิบปีให้หลัง วันวารอันหวานชื่นของไมค์ กลับถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง ... การแต่งงานของเขากับสการ์เล็ตต้องจบลง ตัวเขาถูกมองข้ามในการได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งในที่ทำงาน ลูกๆ วัยรุ่นของเขาพากันคิดว่าเขาเป็นไอ้ขี้แพ้ ... และตัวเขาเองก็ถูกจำกัดอยู่ในแวดวงที่มีเพียงเพื่อนซี้ร่วมชั้นมัธยมคนเดียว ที่เป็นมหาเศรษฐีแต่กลับละทิ้งสังคม และคลั่งเทคโนโลยี อย่าง เน้ด เพียงคนเดียวเท่านั้น


แต่ไมค์ก็ได้รับโอกาสอีกครั้ง ในชีวิตเมื่อเขาได้ถูกเปลี่ยนร่างกลับไปเมื่ออายุ 17 ปีอีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ ... แต่โชคไม่เข้าข้างที่ไมค์อาจจะดูเหมือนอายุ 17 อีกครั้ง แต่ท่าทางที่เขาแสดงนั้นเป็นของคนอายุสามสิบกว่าทำให้เพื่อนร่วมชั้นในปี 2009 ของเขารู้สึกว่าประหลาด ... และในความพยายามที่จะหวนรำลึกถึงหลายปีที่รุ่งโรจน์ ไมค์อาจจะสูญเสียสิ่งที่ดีที่สุดที่ได้เคยเกิดขึ้นกับเขา

( Credit : Picture & Synopsis http://movie.mthai.com/ )


ดูแล้วนึกถึงหนังเรื่อง 13 going on 30 ที่เจนนิเฟอร์ การ์เนอร์ เล่นค่ะ ที่สาววัย 13 กลายร่างไปเป็นสาว 30 ตามคำอธิษฐาน ... แต่เรื่องนี้ สลับกัน กลายเป็นลดวัยลงมา


หนังดูเรื่อยๆ เพลินๆ สบายๆ ค่ะ ... แต่ที่ทำให้หนังน่าดู และดูเพลินก็ต้องยกให้พ่อหนุ่ม แซค เอฟรอน นี่หล่ะค่ะ ... เด็กอาไร้ หน้าตาน่ามองจริงๆ


ดูหนังจบ ก็แวะหม่ำ ก๋วยเตี๋ยวเรือท่าสยาม ก่อนกลับบ้าน ... อิ่มอก อิ่มท้อง อิ่มใจ ครบถ้วน เป็นวันพักร้อนี่มีความสุขดีจริงๆ

หัวหิน : กิน นอน ร้อน เล่นน้ำ # 4

เพราะเมื่อคืนเปิดม่านนอนชมวิว เช้าวันนี้เลยมีแสงแรกของดวงตะวันปลุกให้ลืมตาค่ะ ... แต่แค่ลืมตามาชมความงาม เก็บภาพเป็นที่ระลึกเอาไว้ ก่อนจะปีนกลับขึ้นที่นอนไปหลับปุ๋ยพร้อมกับวิวยามเช้า




นอนต่อจนท้องเริ่มร้อง ถึงได้ลุกจากที่นอน ล้างหน้าแปรงฟันลงไปหม่ำมื้อเช้าค่ะ ... บุฟเฟ่ต์มื้อเช้าที่นี่ จัดว่ามีอาหารหลายประเภทให้เลือกค่ะ แต่ยังไม่ละลานตาเท่าที่เอวาซอนค่ะ ... แต่ที่นี่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวค่ะ มี แยมมะพร้าว มีขนมปังสังขยา มีน้ำแครอทคั้นสด สั่งปุ๊บคั้นปั๊บเสิร์ฟทันที




ส่วนสเตชั่นของสารพัดไข่ ไม่มีให้เห็นค่ะ พนักงานจะมารับออเดอร์ที่โต๊ะเลยว่าต้องการ ไข่ประเภทไหน เลือกเครื่องเคียงอะไรบ้าง ... เราเลือกสแครมเบิลแฮมชีส กับ ไส้กรอก และ เบคอน ค่ะ ... คนดีที่มึนงงมัวขี้ตา เลยเลียนแบบด้วยซะเลย


มีอาหารเช้าให้เลือกเยอะนะคะ แต่กินไปนิดเดียว อิ่มๆ ตื้อๆ พิกลค่ะ เลยได้ชิมอาหารไม่ทั่วถึง ... ไม่เป็นไรค่ะ หมายมั่นปั้นมือแล้วว่า จะหาโอกาสกลับมาชิมอีกสักครั้ง


อิ่มเรียบร้อย ก็กลับขึ้นห้อง นอนพึ่งพุงพักท้องสักพัก ก็อาบน้ำ เก็บของเตรียมตัวเช็คเอาท์ค่ะ ... เมื่อวานได้ต้นพุด จาก The Bihai เป็นที่ระลึก ... ที่ Rest Detail ก็ให้สร้อยข้อมือเป็นที่ระลึกเหมือนกันค่ะ จริงๆ ให้มาตั้งแต่ตอนเช็คอินแล้วค่ะ แต่เพิ่งมีโอกาสถอดมาถ่ายรูป




ก่อนจะกลับก็ขอดูห้องพักแบบอื่นอีกหน่อยค่ะ เพราะกะว่าจะกลับมาใช้บริการอีก ... ประทับใจที่นี่มากๆ ค่ะ บรรยากาศดี การตกแต่งสบายตา พนักงานน่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใสเต็มใจบริการ ... คนดีเองก็ชอบใจที่นี่มากเหมือนกันค่ะ


ออกจากโรงแรมแล้วย้อนกลับเข้าไปในตัวหัวหินค่ะ ไปซื้อขนมหวาน ร้านแม่เก็บ มาฝากสาวๆ ที่ออฟฟิศ ... แล้วก็วนออกเตรียมตัวกลับค่ะ วันนี้งดมื้อเที่ยงค่ะ เพราะคนดีเองไม่ค่อยสบายตัว ส่วนเราเองก็ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่


ส่งท้ายทริปหัวหินด้วยจุดท่องเที่ยวล่าสุดของที่นี่ค่ะ เพลินวาน ... ตั้งอยู่ระหว่าง ซ.หัวหิน 40 กับ ซ.หัวหิน 38 ค่ะ อยู่เยื้องกับวังไกลกังวล ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะแวะไปถ่ายรูป เพราะคอนเซปท์ที่นี่เป็นแนวย้อนยุค รำลึกถึงความหลัง แต่ด้านในก็มีร้านกาแฟ ร้านเสื้อ ร้านขนม ของเล่น และบาร์ ให้แวะใช้บริการค่ะ



ในอนาคตเห็นว่าจะมีโรงหนัง กับ โรงแรมนะคะ แต่ตอนนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างค่ะ ... วันธรรมดา คนเลยไม่พลุกพล่านเท่าไหร่ เราสองคนและลงไปถ่ายรูปเล่น สบายๆ พักเดียวเท่านั้น ก็ขึ้นรถมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ค่ะ


ระหว่างทางก็แวะซื้อของฝากกันนิดหน่อย แล้วก็ยิงยาวเข้ากรุงเทพฯค่ะ ... เป็นอันปิดทริป หัวหิน : กิน นอน ร้อน เล่นน้ำ ไปแบบสบายๆ ... ทริปนี้ได้พักผ่อนจริงๆ นอนสบาย กินอิ่ม กินอร่อย พักเต็มที่


จะมีทริปกลับไปหัวหินอีกเมื่อไหร่ยังไม่แน่ใจค่ะ ... แต่ทริปหน้าต่อจากนี้จะไปดูทุ่งดอกกระเจียวเร็วๆ นี้หล่ะค่ะ

15.6.52

หัวหิน : กิน นอน ร้อน เล่นน้ำ # 3

เช้านี้ไม่มีโปรแกรมออกไปตะลอนไหน เลยตื่นซะ 8 โมงกว่า ... ตื่นมาพร้อมกับความหิว รีบล้างหน้าแปรงฟัน แล้วตรงไปห้องอาหารทันทีค่ะ


ถึงห้องอาหารแล้วตกใจ ตายแล้ว ไม่มีคนเลย ... เมื่อวานคนเต็มทุกโต๊ะ จนไม่กล้าถ่ายรูป เพราะเกรงใจลูกค้าคนอื่นๆ แต่วันนี้มีแค่เราสองคน ... ได้ครอบครองห้องอาหารแต่เพียงลำพัง มีพนักงานบริการเต็มที่



ปุพเฟ่ต์มื้อเช้าวันนี้ อาหารเลยพร่องไปจากเมื่อวานนิดหน่อย ... ผัดผัก กับ ข้าวผัด ที่วางไว้เมื่อวานหายไป ... ส่วนขนมจีบ พนักงานอุ่นมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะ ... นอกนั้นมีครบถ้วนเหมือนเดิมค่ะ


อิ่มแล้วก็กลับเข้าห้องไปนอนเอกเขนกดูทีวี ส่วนคนดีก็เปิดคอมฯ ต่อเน็ท เคลียร์งาน ... จนใกล้ๆ สิบเอ็ดโมง ก็อาบน้ำ แต่งตัว เก็บของ เตรียมเช็คเอาท์ค่ะ ... เช็คเอาท์เรียบร้อย ทางโรงแรมก็ยกกระถางต้นพุดมาให้ 1 ต้น น่ารักจัง


ออกเดินทาง แต่ยังไม่กลับค่ะ หาที่แวะติมพลังมื้อเที่ยงก่อน ลังเลอยู่หลายร้าน ... สุดท้ายลงตัวที่ ร้านโกทิ มื้อนี้ขอแบบสบายๆ ไม่เยอะมาก เพราะมื้อเช้ายังไม่ย่อย ยังไม่หิวเลยค่ะ แต่รู้ว่าต้องรองท้องไว้สักหน่อย



ออส่วน รสชาติดี เหนียวหนึบกำลังดี หอยนางรมตัวเล็กๆ แต่ก็มันค่ะ กินกับซอสพริก เข้ากันดีที่สุดค่ะ ... กุ้งอบวุ้นเส้น วางปุ๊บ กินหอมโชยเตะจมูกปั๊บค่ะ เส้นชุ่ม ไม่แห้ง รสชาติดี แต่มันไปนิดค่ะ ดีที่ได้น้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดมาช่วย เลยจัดการได้เรียบ


อิ่มของคาวแล้ว มองหาของหวานทันทีค่ะ ... ตอนนี้คนดีติดใจลอดช่องสิงคโปร์ลุงดำม้ากมากค่ะ เพราะหวาน หอม ได้น้ำแข็งเกล็ดเล็กละเอียด ดูดปรื้ดดดดด ชื่นใจ ... เลยแวะซื้อแก้วใหญ่ให้คนดี และแก้วเล็กสำหรับเราเอง


ดูดลอดช่องเพลินๆ แป๊บเดียวก็ถึงที่พักสำหรับวันพิเศษค่ะ ... Rest Detail Hotel โรงแรมเก๋ๆ น่ารัก ที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปลิง 3 ตัว ... ใช้ voucher จากงานไทยเที่ยวไทยเช่นเคยค่ะ เพราะที่นี่อยู่ใน wish list ที่อยากจะไปสักครั้ง เจอโปรโมชั่นน่าสนใจสำหรับวันธรรมดา ที่อัพเกรดห้อง ดูแล้วราคากัดฟันรับได้ เลยสอยมาซะก่อน ได้โอกาสใช้พอดี



เช็คอินเข้าห้องได้ปุ๊บ ก็กระหน่ำกดชัตเตอร์เก็บภาพมุมต่างๆ ในห้องไม่ยั้งค่ะ เพราะที่นี่ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ จริงๆ ค่ะ ... ในตู้เสื้อผ้าที่นี่ นอกจากชุดคลุมอาบน้ำแล้ว ยังมีเสื้อ Tunic สำหรับผู้หญิง ไว้ใส่คลุมชุดว่ายน้ำ หรือ ใส่เดินเล่น กับ กางเกงเลสำหรับผู้ชายไว้ให้ ... มีทั้งสลิปเปอร์ใส่เดินในห้อง และรองเท้าแตะใส่เดินข้างนอก ... มีกระเป๋าผ้าไว้ใส่ของลงไปเดินเล่น ... และสำหรับผู้รักเสียงเพลง ที่นี่มีลำโพงให้เสียบไอพอดได้เลยค่ะ แต่ถ้าใครไม่ได้พกเครื่องมา ก็ขอยืมเครื่องพร้อมเพลงที่คัดไว้แล้วมาใช้ได้ค่ะ


และในของทุกชิ้น จะมีเจ้าลิง 3 ตัว โชว์ตัวอยู่ตลอดค่ะ ... ถ่ายรูปหนำใจแล้ว ก็เปลี่ยนชุดไปแช่น้ำชมวิวในอ่างจากุชชี่ทันทีค่ะ ลอยคอ แช่น้ำชมวิว นานจนตัวจะเปื่อยถึงจะขึ้น ... แช่น้ำชมวิวนี่ก็เพลินดีนะคะ


เพราะกะจะใช้โรงแรมให้คุ้มค่า และอยากมีมื้อพิเศษ สำหรับวันพิเศษ เลยเลือกใช้บริการของห้องอาหารที่นี่เลยค่ะ ... เมนูส่วนใหญ่เป็นอาหารฝรั่งซึ่งคนดีไม่ค่อยชอบ ต้องลองเสี่ยงดูสักหน่อย



เริ่มจากเครื่องดื่ม เราเลือก ฟรุตพันช์ เครื่องดื่มประจำ ส่วนคนดีลอง Coke Tom Yum ที่พนักงานแนะนำ เป็นโค้กที่มีเครื่องต้มยำทุบใส่ลงไปด้วย เป็นโค้กรสต้มยำจริงๆ ค่ะ แปลกดี ... สักพักพนักงานมาเสิร์ฟขนมปังพร้อมเครื่องจิ้ม เป็น กระเทียมย่างราดน้ำผึ้ง กับ เห็ดสับผสมน้ำมันมะกอก อร่อยดีค่ะ ทานเพลินๆ ระหว่างรออาหารที่สั่ง ... สลัดทูน่ากับผักร็อคเก็ตราดบัลซามิคซอส อร่อยค่ะ อร่อยทั้งรูป และอร่อยทั้งรสค่ะ ... สปาเก็ตตี้เส้นหมึกดำผัดเครื่องต้มยำ จานนี้รสดีเลยค่ะ กลมกล่อมถึงเครื่องต้มยำ แต่ก็ไม่เผ็ดจี๊ดจ๊าดจัดจ้านเกินไป


ตักกันหนุบหนับ กวาดเรียบ แต่ยังไม่อิ่มมากเท่าไหร่ค่ะ อยากจะสั่งเมนูอื่นมาลองชิมเพิ่มก็กลัวจะอิ่มเกินไป และ กลัวจะเลี่ยนเกินไป ... เลยปิดท้ายกับขนมหวาน ที่หมายตาไว้ตั้งแต่ตอนรอเช็คอิน Duo Chocolate Mousses ช็อคโกแลตมูสสองสี ... เห็นปุ๊บถูกชะตาปั๊บ พอตักเข้าปากเท่านั้นหล่ะค่ะ มีความสุขสุดๆ อร่อยมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ... คิดถึงสองสาวสมาชิกแก๊งค์ลูกหมูขึ้นมาทันใด


อิ่มสบายท้องแล้วก็กลับขึ้นห้องค่ะ กะจะไปชมวิวทะเลยามค่ำต่อ ... ขึ้นไปก็เจอขนมหวานยามค่ำจากทางโรงแรม เผือกกวน ที่มีลายลิง 3 ตัว หอม หวาน อร่อยมากค่ะ



เสพอาหารอิ่มท้องแล้ว ก็ไปเสพวิวต่อค่ะ ... ไฟอ่างจากุชชี่ เข้ากับไฟสระว่ายน้ำด้านล่าง แล้วยังมีไฟจากเรือรบ และเรือประมงในทะเลด้วย ... หูย มองเพลินค่ะ ... ถ้าฟ้าเปิดมีดาวระยิบระยับด้วยหล่ะก็ คงได้นอนชมวิวบริจาคเลือดให้ยุงพักใหญ่เลยค่ะ


นอนชมวิวนอกห้องแล้ว ลองหันเข้ามามองในห้องบ้าง ... อุ๊ย ว๊าย ตายแล้ว เก๋ค่ะ ... ไฟด้านบนเปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ ค่ะ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง ส้ม แดง วนไปวนมา มองเพลินค่ะ ... แต่ช่วงที่เป็นสีส้ม--ชมพู-แดง นี่ดูอีโรติคไปนิดนะคะ เห็นแล้วนึกถึงบาร์แถวพัทยาค่ะ



คืนนี้วางแผนไว้ว่า จะเปิดไอพอดฟังเพลงแนวบอสซ่า เปิดม่านดูวิวฟ้าวิวทะเลตอนค่ำคืน แล้วรอแสงอาทิตย์ยามเช้าปลุกให้ตื่น ... หูย ประทับใจที่พักที่นี่สุดๆ ค่ะ

: 87 เดือน :

วันที่ 15 อีกครั้ง อายุความรักก็เขยิบเพิ่มมาอีก 1 เดือน ... เดือนนี้พิเศษตรงที่ 8+7 = 15 ด้วย เลยหาเรื่องพิเศษ พักร้อนออกไปตะลอนเที่ยวกันดีกว่า


จริงๆ ตามแผนวางไว้แค่ 3 วัน 2 คืน แต่พอดูปฏิทินแล้ว พักเพิ่มอีกสักคืน กับที่พักพิเศษ และอาหารค่ำมื้อพิเศษ ถ้าจะดี ... หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ นอนชมวิว ฟังเสียงคลื่น สงบ สบายใจ


ตะลอนเที่ยวด้วยกัน แต่ไม่ได้ตัวติดกันหนึบหนับเป็นปาท่องโก๋ตลอดเวลา ... หลายครั้งที่คนดีหลับ เรานั่งเล่นเกม เล่นเน็ท อ่านหนังสือ หรือ ดูทีวี ... หลายทีที่เราหลับ ส่วนคนดีตาแป๋วดูหนัง ... หลายมื้อที่ตั้งอกตั้งใจกิน โดยไม่ได้คุยอะไรกันเท่าไหร่


แต่แค่มีคนดีอยู่ข้างๆ ก็อุ่นใจแล้ว ... ไม่ต้องพูด ไม่ต้องคุย ไม่ต้องสัมผัส ก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ



คนดีขา ... ขอบคุณนะคะ ที่อยู่ข้างๆ เป็นคู่หู กันมา 87 เดือนแล้ว อยู่ด้วยกันแบบนี้ไปนานๆ นะ

14.6.52

หัวหิน : กิน นอน ร้อน เล่นน้ำ # 2

ตั้งใจว่าจะตื่นราวๆ 7 โมง กินข้าวเช้า แล้วออกไปเที่ยว ... แต่ว่าตื่นมาจวนจะ 8 โมงแล้ว เออ นอนอิ่มจริงๆ ... ตื่นแล้วก็จัดการอาบน้ำ แต่งตัว ไปจัดการอาหารเช้า อิ่มท้องเรียบร้อยก็ออกเดินทาง


จุดหมายของเราอยู่ที่ปราณบุรีค่ะ มุ่งตรงไป ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี ไปศึกษาธรรมชาติกันค่ะ ... ตั้งใจว่าจะแวะหลายทีแล้วค่ะ แต่ไม่มีโอกาส คราวนี้เลยตั้งใจมาเต็มที่




ศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี เป็นศูนย์เรียนรู้ด้านการฟื้นฟูป่าชายเลนจากนากุ้งร้างแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองเก่า-คลองคอย ตำบลปากน้ำปราณ ... เดิมเป็นพื้นที่สัมปทานนากุ้งในช่วงปี พ.ศ. 2524-2539 ป่าผืนนี้ฟื้นชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยน้ำพระราชหฤทัยของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เมื่อครั้งเสด็จฯ ปราณบุรี


ปี พ.ศ. 2539 กรมป่าไม้สนองพระราชดำริ ด้วยการยกเลิกสัมปทานและผนวกเป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาป่าไม้ปากน้ำปราณบุรี อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ... อีกทั้งยังดำเนินการฟื้นฟูป่าด้วยการกำหนดเป็นพื้นที่เป้าหมายปลูกป่า (Forest Plantation Target - FPT) ในโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสทรงครองราชย์ปีที่ 50 ในปีพุทธศักราช 2539 ... ซึ่ง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้เข้าร่วมโครงการ และดำเนินการปลูกป่าชายเลน เพื่อฟื้นฟูสภาพพื้นที่และสิ่งแวดล้อม และพัฒนาเป็นศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลน ในเวลาต่อมา

(ข้อความบางส่วน จากแผ่นพับ ของศูนย์ศึกษาเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนสิรินาถราชินี)




การเดินชมธรรมชาติของที่นี่เริ่มต้นที่ กลุ่มเรือนนิทรรศการค่ะ ... แค่เข้าไปลงชื่อลงทะเบียนเท่านั้น ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ แล้วก็เข้าไปชมนิทรรศการภายในที่มีการจัดแสดงข้อมูลได้น่าสนใจค่ะ ... รูปล่างซ้าย เป็นระเบียงป่าชายเลน ที่มีหุ่นนั่งอยู่ ดูเผินๆ แวบแรกก็คิดว่าคน ตรงนี้ให้ข้อมูลนิดหน่อยเกี่ยวกับสัตว์ที่จะเจอได้ในป่าชายเลนค่ะ ... รูปล่างขวา มีหุ่นสัตว์จำลองให้เห็น ตอนแรกก็ไม่ทันสังเกต พอมองดีดีก็เห็นน้องลิงห้อยโหนอยู่ ด้านล่างมีปลาตีน ปู และ งู ให้เห็นด้วย


จากนั้นก็ออกไปเดินสำรวจธรรมชาติตามเส้นทาง ... ทางที่นี่เป็นสะพานปูนแข็งแรง สะอาด เดินสบายค่ะ เมื่อเทียบการศูนย์ศึกษาธรรมชาติ อ่าวคุ้งกระเบน ก็ได้บรรยากาศต่างไปอีกแบบ ... ระหว่างทางมีป้ายข้อมูลบรรยายอยู่ตามจุดต่างๆ


มาถึงที่นี่เกือบๆ 10 โมง แดดเริ่มแรงขึ้นเรื่อย ก็หวั่นใจว่าจะโดนแดดแผดเผาระหว่างเดินแน่ๆ แต่พอเดินเข้าไปด้านใน ได้ร่มไม้บังไว้ ก็ร่มรื่นเดินสบายดีค่ะ มีร้อนบ้างเป็นช่วงๆ ... เดินกันอยู่ 2 คน เดินสบาย แต่แอบวังเวงนิดหน่อย เดินไป ถ่ายรูปเล่นไป เหมือนเดินออกกำลังกาย




ไฮไลท์ของที่นี่ อยู่ที่ หอชะคราม เป็นหอสูงที่ให้เดินวนขึ้นไปชมวิวด้านบนค่ะ ... คนดีที่กลัวความสูงเห็นแล้วใจสั่นนิดหน่อย แต่ขัดใจเราที่ชักชวนและล่อหลอกให้ขึ้นไปไม่ได้ เพราะมีบันไดเดินขึ้นสบาย ไม่น่ากลัว แล้วเรายืนยันว่าวิวด้านบนคุ้มค่าที่จะขึ้นไป ... พอขึ้นไปเห็นแล้วก็ชื่นใจจริงๆ ค่ะ ป่าชายเลนเขียวๆ ขึ้นกันแน่นครึ้ม เมื่อมีภาพเปรียบเทียบสภาพจากที่เป็นนากุ้ง จนมาเป็นป่าเขียวครึ้มแบบนี้ ชื่นใจค่ะ


ตอนแรกคิดว่าจะใช้เวลาอยู่ที่นี่นานจะถึงมื้อเที่ยงพอดี จะได้แวะเข้าไปที่ ครัวแจ๋ว ร้านประจำ ... แต่ว่ายังไม่ทัน 11 โมง ก็เดินวนจนทั่วค่ะ จะนั่งเรือชมแม่น้ำปราณก็เกรงว่าจะร้อนเกินไป และนานเกินไป ... เลยยกเลิกแผนไปครัวแจ๋ว เพราะยังไม่ทันจะรู้สึกหิวเลยค่ะ


ชวนกันเข้าตัวเมืองหัวหิน ไปหาส้มตำกินรองท้องสักหน่อยดีกว่า ... ตอนแรกว่าจะไปลองส้มตำร้านใหม่ แต่หาร้านไม่เจอค่ะ แผนที่ที่ได้มา ไม่บอกจุดอะไรชัดเจนเลย วนหาอยู่พักใหญ่ก็ยังไม่มีแวว เลยวกรถไปร้านประจำของเราดีกว่า




ร้านอาหาร ในโรงแรมสิริน ... มากินส้มตำ ไก่ทอด ที่นี่ประจำ ตอนแรกติดใจส้มตำไทยปู แต่รู้สึกว่าเค้าจะเปลี่ยนแม่ครัว เพราะรสเปลี่ยนไป ไม่เหมือนก่อน ... คราวนี้เลยลองสั่ง ส้มตำหอยดอง กับ ส้มตำปูม้า แต่รสชาติก็ยังไม่โดนใจ ไม่แน่ใจว่าเพราะสั่งไปว่าเผ็ดน้อยรึเปล่า เนื่องจากร้านนี้ตำมาเผ็ดจี๊ดจ๊าดมาก ... ส่วน ไก่ทอด ยังอร่อยโดนใจเหมือนเดิม ค่ะ


อิ่มแล้วก็แวะซื้อ ไอติมอิตาเลี่ยน ร้านเจลาโต ชิมกันคนละถ้วย คนละรส ... อิ่มครบถ้วนทั้งคาว หวาน ก็มุ่งหน้ากลับโรงแรมค่ะ ... กลับเข้ามาถึงห้องพัก ก็เจอ คัพเค้ก จากทางโรงแรมมาวางไว้ให้ 1 ชิ้น แต่ยังอิ่มเกินจะจัดการ




คนดีนอนพึ่งพุง ส่วนเราก็อ่านหนังสือ เล่นเกม เล่นเน็ท ไปตามเรื่อง ... บ่ายแก่ๆ พอคนดีตื่นก็มาแบ่งกันชิม เค้กเนื้อแน่น ครีมหวานไปนิดค่ะ ... กินไปเปิดดีวีดีหนังดูกันไปด้วย รอบนี้เลือก มาดากัสการ์ 2 ค่ะ


พอเย็นก็เลือกฝากท้องไว้ที่ห้องอาหารของโรงแรมนี่หล่ะค่ะ ขี้เกียจออกไปข้างนอก แล้วอยากกินอะไรง่ายๆ นิดหน่อย เพราะยังไม่ทันจะหิวเท่าไหร่ ... กะว่าจะไปนั่งกินที่ห้องอาหาร แต่ห้องอาหารปิดค่ะ เข้าใจว่าเค้าคงคิดว่าไม่มีลูกค้ามาใช้บริการ คงออกไปทานที่ร้านข้างนอก ดันมียัย 2 คนนี่โผล่มา




เค้าก็รับออเดอร์ แล้วรีบไปทำมาให้นะคะ แต่เปลี่ยนทำเลจากห้องอาหารมาเป็นในห้องเราเองค่ะ ... ข้าวราดกะเพราไก่ หน้าตาเหมือนไก่ทอดกระเทียมแล้วใส่ใบกะเพรา แต่ก็รสชาติใช้ได้ค่ะ ... ต้มยำกุ้ง ที่มีแค่กุ้งกับเครื่องต้มยำ ก็รสชาติไม่เลวค่ะ ถ้ามีเห็ดฟางอีกหน่อยคงเยี่ยม ... หมูย่างจิ้มแจ่ว หมูชิ้นหนาย่างมากำลังดี เสียดายที่แจ่วเค็มไปนิด ... ยำวุ้นเส้น ที่มีเครื่องแค่วุ้นเส้นกับหมูสับเท่านั้น แต่ก็รสชาติโอเคนะคะ ... สงสัยเค้าคงจะไม่ได้เตรียมเครื่องปรุงไว้สำหรับอาหารเย็นจริงๆ หล่ะค่ะ


อิ่มแล้วก็ได้เวลาพักผ่อน เปิดดีวีดีเรื่อง โบลท์ ดูอีกเรื่อง ... หนังจบแล้ว เตรียมอาบน้ำ แล้วมาดูหนังเรื่องต่อไปดีกว่า ... วันพรุ่งนี้จะกินอะไร ทำอะไร ไว้พรุ่งนี้ค่อยคิด เผื่อแผนจะพลิกอีกค่ะ

13.6.52

หัวหิน : กิน นอน ร้อน เล่นน้ำ # 1


เที่ยวหัวหินอีกแล้วค่ะ ไปหัวหินทีไรกิจกรรมหลักไม่พ้นเรื่องตระเวนชิม แล้วอาจจะมีแวะเที่ยวนิดๆ หน่อยๆ ... ทริปนี้ คนดีขอแบบ ชิลด์ ชิลด์ พักผ่อน สบายๆ ... โอเค จัดให้ คอนเซปท์ทริปนี้เลยเป็น กิน นอน ร้อน เล่นน้ำ ค่ะ


พอดีกับที่เมื่อคืนกว่าจะดู UP จบ กว่าจะถึงบ้านก็เที่ยงคืนแล้ว ... คนดียังต้องเคลียร์งาน เคลียร์เอกสาร ส่งไฟล์งานสั่งซัพพลายเออร์ ก่อนจะหายมาเที่ยวกับเรา 3-4 วัน ... เราเองก็นั่งอัพบล็อก เช็คข้อมูล ล้มตัวนอนราวๆ ตีสอง ส่วนคนดีบอกว่าเก็บงานขึ้นห้องมานอน ราวๆ ตีสาม ... เหอ เหอ จะเที่ยวทีไร นอนกันดึกทุกที


เจ็ดโมงนิดๆ เราลุกไปอาบน้ำก่อน แล้วค่อยปลุกคนดี อาบน้ำแต่งตัว ขนของขึ้นรถ แวะเติมน้ำมัน ... ฤกษ์ดีล้อหมุนออกจากกรุงเทพฯ ตอน 8.30 น. พอดี


มื้อเช้าอาศัย ข้าวเหนียวหมูฝอย หมูเค็ม หมูแดดเดียว กันคนละกล่อง ... คนดีรับหน้าที่ขับรถเหมือนเดิม ส่วนเราทริปนี้ไม่ทำหน้าที่เนฯ แต่หันมา หลับ เพราะเห็นว่าเส้นทางกรุงเทพฯ - หัวหิน คนดีคุ้นเคยดี ... แล้วก็ง่วงงุนเหลือเกิน เลยงีบซะ


เข้าหัวหินราวๆ สิบเอ็ดโมง เลยแวะกินมื้อเที่ยงให้เรียบร้อย ก่อนตรงเข้าที่พัก ... ยังไม่หิวกันมากนัก เลยเลือกอาหารง่ายๆ แต่เลือกร้านที่ไม่เคยมาลอง



เลือก ก๋วยเตี๋ยวปลานายหอย เอาใจคนดีที่ชอบกินลูกชิ้นปลา เส้นปลา ... เกี๊ยวปลาของเรา เกี๊ยวปลา+เส้นปลา ของคนดี และหนังปลาทอด มาแบ่งกัน ... น้ำซุปร้านนี้อร่อยมากค่ะ ไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มเลย แค่เหยาะพริกไทยเพิ่มอีกนิดหน่อยก็อร่อยแล้ว ... ขอปันเส้นปลาของคนดีมาชิมหน่อยนึง เส้นบาง แต่เนื้อหนึบกำลังดี อร่อยค่ะ


อิ่มอาหารคาวแล้ว ก็หาอาหารหวานล้างปากค่ะ ... ให้คนดีวนรถไปซื้อ ลอดช่องสิงคโปร์ร้านลุงดำ แก้วเล็ก 2 แก้ว ... หอมหวาน ชื่นใจ เหมาะกับช่วงเที่ยง ที่อากาศร้อนจริงๆ
ดูดลอดช่องมุ่งตรงเข้าที่พัก The Bihai Hua Hin ที่พักที่ซื้อ voucher จากงานไทยเที่ยวเก็บไว้ ... อยู่สุดหาดเขาตะเกียบเลยค่ะ มีห้องพักสิบกว่าห้องเท่านั้น ถึงจะไม่อยู่ติดหาด แต่ก็เดินไปได้ ใกล้นิดเดียว




เลือกห้องพักแบบ Pool Terrece เพราะลงไปลอยคอแช่น้ำ เล่นน้ำสะดวก ... แต่ปรากฎว่า พอถึงห้องพักปุ๊บ เจอแอร์เย็นๆ ที่นอนนุ่มๆ ก็หลับอุตุแข่งกัน สลับกับตื่นมาดูทีวีเป็นพักๆ


งัวเงีย ง่วงงุน อยู่จนหกโมงเย็น ก็ชวนกันออกไปหม่ำ ... เหมือนเดิมค่ะ เลือกร้านที่ไม่เคยไป ครัวบ้านครู อยู่ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่ ร้านอยู่ติดหาด บรรยากาศสบายดี ผู้คนพลุกพล่าน เล่นน้ำกันเต็มหน้าหาด




เพราะยังตื้อๆ ไม่รู้สึกหิวเท่าไหร่ กะว่าจะสั่งอาหารนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ 4 อย่างอีกแล้ว ... แกงส้มปูไข่หน่อไม้ดอง รสชาติใช้ได้ค่ะ แต่เราสองคนมาตรฐานสูง เพราะร้านเรือนปลาทู อร่อยกลมกล่อมลงตัวกว่านี้ ... ไข่เจียวปู เพราะอยากได้อาหารที่เข้ากับแกงส้ม เนื้อปูมาเป็นชิ้น แต่ไข่ค่อนข้างอมน้ำมันไปนิด สุดท้ายก็กินไม่หมด มานึกเสียดายว่าสั่งไข่เจียวธรรมดาก็ได้ บางๆ ฟูๆ กรอบๆ น่าจะดีกว่า ... ส้มตำไทย สั่งเพราะไม่รู้จะสั่งยำอะไรดี เลยหันมาสั่งส้มตำแทน จานนี้รสดี กลมกล่อม อร่อยค่ะ ... ข้าวผัดกุ้ง รสชาติโอเคค่ะ ได้กุ้งตัวอวบๆ มา 5 ตัว แต่เราสองคนมาตรฐานสูง มีร้านอื่นที่ถูกปากถูกใจให้เปรียบเทียบ



มากันสองคนเลยชิมได้ไม่มาก ถ้ามาหลายคนคงจะสั่งอาหารมาชิมได้มากขึ้น และลงคะแนนได้ว่าร้านนี้ควรจะได้กี่ดาว ... แต่เท่าที่เห็นก็มีลูกค้าทยอยมาใช้บริการเรื่อยๆ นะคะ อาจจะมีจานเด็ด จานอร่อย ขึ้นชื่อ ที่เรายังไม่ได้ลองชิม


อิ่มกำลังดี จ่ายตังค์ แวะซื้อยา แล้ววนรถกลับเข้าที่พักเลยค่ะ ... แขก Pool Terrece ห้องอื่นลงเล่นน้ำตอนบ่าย ออกไปกินข้าวกันหมด เราสองคนเลยลงไปครองสระช่วงค่ำ ... ลอยคอไปมา พอให้ได้ยืดแข้งยืดขานิดหน่อย ก็ปีนกลับมาอาบน้ำ


ได้เวลาเอ็นเตอร์เทน เลือกดีวีดีหนังที่หอบมาด้วย เปิดดูกันเพลินๆ ... แต่คนดีดันเลือก Slumdog Millionaire มาดู ... พระพุทธเจ้าช่วย ดูแล้วหดหู่ ห่อเหี่ยว หัวใจ เป็นวูบๆ


พอหนังจบ ก็ชวนกันเข้านอน ... พรุ่งนี้เช้า วางแผนกะจะออกเที่ยวแต่เช้า จะตื่นมั้ยเนี่ย

12.6.52

UP - ปู่ซ่าบ้าพลัง



อนิเมชั่นเรื่องล่าสุดของพิกซาร์ ที่แค่เห็นหนังตัวอย่างเมื่อหลายเดือนก่อน ก็นับวันตั้งตารอว่าเมื่อไหร่จะเข้าฉายน้อ ... จะไปดูให้ได้ ... แล้วจะยอมเสียตังค์แพงดูในแบบ 3D ด้วยค่ะ


พอหนังเข้าโรง ก็กระตือรือร้น อยากดู อยากดู้ อยากดู รบเร้าเซ้าซี้คนดีตั้งแต่เย็นเมื่อวาน ... แต่แล้วก็เปลี่ยนใจกลับบ้านไปเก็บกระเป๋าเตรียมตัวเที่ยวก่อนดีกว่า แล้วค่อยมาดูหนังวันนี้แทน ... เช้ามาก็รีบเช็ครอบหนัง โทรจองทันทีค่ะ


เรื่องนี้เลือกใช้บริการโรงหนังในเมือง เอสเอฟ เวิลด์ ซินีม่า เซ็นทรัลเวิลด์ค่ะ เพราะเคยดูหนัง 3D ที่นี่ครั้งนึงแล้วชอบใจ โรงใหญ่ หน้าจอกว้าง ... แต่ลำบากตรงการเดินทางเข้าไปรับบัตรให้ทันเวลานี่หล่ะค่ะ เลิกงานปุ๊บ ต้องพุ่งตัวทันที ... แต่วันนี้มีสัมภาระหลายชิ้น เพราะพรุ่งนี้มีทริปหัวหิน เหอ เหอ เอาไงกับชีวิตดี


แล้ววันนี้คนดีมีนัดตระเวนส่งงานให้ลูกค้าตามจุดต่างๆ ทั่วกรุง ต้องเร่งทำเวลาน่าดู ... วางแผนทำเวลาการเดินทางไปรับบัตรเพื่อดูหนังให้ทันรอบ 18.50 ... แต่สุดท้ายก็ต้องยกเลิกแผน เพราะคนดีติดธุระนุงนัง เลยเลื่อนไปรอบ 21.30 แทน ... พอเลื่อนเวลา ก็มีเวลาหายใจคล่องขึ้น เอ้อระเหยได้มากขึ้น
ออกจากออฟฟิศแวะเข้าบ้านขนกระเป๋าขึ้นรถ แล้วฝ่าการจราจรวันศุกร์ที่รถติดยาวววววว เข้าเมือง ... ถึงเซ็นทรัลเวิลด์ตอนทุ่มกว่า แวะหม่ำแมคฟรายรองท้องหน่อยนึง แล้วจูงกันไปดูเสื้อ รอเวลา






เรื่องย่อ


คาร์ล เฟรดริกเซน คุณปู่พ่อค้าขายลูกโป่งวัย 78 ปี ที่ต้องการออกตามหาฝันของภรรยาผู้ล่วงลับ นั่นก็คือการไปท่องดินแดนอเมริกาใต้สักครั้ง ... และแล้ววันหนึ่ง คุณปู่ขี้โมโหคนนี้ก็ทำให้เพื่อนบ้านแตกตื่นเป็นทิวแถว เมื่อตัดสินใจผูกลูกโป่งเป็นหมื่นๆ ใบไว้กับบ้านของเขาเพื่อใช้เป็นยานพาหนะบินขึ้นฟ้าออกเดินทางสู่ดินแดนลึกลับที่โลกลืม ... แต่ คาร์ล ไม่ได้เดินทางเพียงลำพังอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะยังมี รัสเซล ลูกเสือเจ้าปัญหาวัย 9 ขวบ หลงมาเกาะระเบียงหน้าบ้านของคุณปู่ ขณะที่บ้านลอยขึ้นฟ้ามาด้วย ... ความสนุกสนาน และมิตรภาพต่างวัยอันน่าประทับใจจึงเริ่มต้นขึ้น
(Credit : Picture & Synopsis from http://www.majorceniplex.com/ )


ตอนแรกที่สวมแว่นสามมิติ รู้สึกเบลอๆ มัวๆ งงๆ ก็คิดว่าตาตัวเองมีปัญหา เลยลองเปลี่ยนแว่นกับคนดี เพื่อหาสาเหตุ ก็มัวงงเหมือนเดิม งั้นตาฉันเบลอแน่ๆ ... แต่ผ่านไปครึ่งเรื่อง มีอยู่ช่วงที่ภาพหน้าจอ ดำวูบไปแวบนึง พอภาพกลับมาใหม่ ชัดแจ๋ว ใส ปิ๊ง ... อ้าว มันมีปัญหาที่ตัวหนังหรอกเหรอ
ถึงภาพจะมีปัญหานิดหน่อย แต่ตัวเรื่องไม่มีปัญหาเลยค่ะ ... เป็นอนิเมชั่นที่สีสันสดใส แล้วยังเป็นสามมิติอีก เลยตื่นตาตื่นใจน่าดู ... ช่วงต้นเรื่อง ที่เล่าถึงคำสัญญา ที่มาของการออกผจญภัยของคุณปู่ ไม่มีบทพูดใดๆ ภาพล้วนๆ แต่สื่อสารได้ครบค่ะ ประทับใจ ซาบซึ้ง ... พอเริ่มออกผจญภัย ก็สนุก ตื่นตา ตื่นเต้น และขำ มาเป็นระยะค่ะ


การผจญภัยของสองหนุ่มต่างวัย สนุกมาก ค่ะ ... อนิเมชั่นในดวงใจปีที่แล้ว เป็น กังฟูแพนด้า กับ Wall-E ปีนี้ก็ต้องยกตำแหน่งนี้ให้ UP นี่หล่ะค่ะ