31.7.51

The Mummy : Tomb of The Dragon Emperor

เดอะ มัมมี่ 3 คืนชีพจักรพรรดิมังกร ... หนังเพิ่งลงโรงวันนี้วันแรก ก็หาเรื่องดั้นด้นไปดูทันที ... เพราะว่าเสาร์-อาทิตย์ ของเดือนนี้ มีกิจกรรมต้องไปที่นั่น ที่นู่น ที่นี่ตลอด ... เลยต้องจัดกิจกรรมโปรดมาลงวันธรรมดาแทน
เช็คเวลา ตกลงกับคนดีเรียบร้อย ก็จัดการโทรไปจองตั๋วหนังล่วงหน้า ... แล้วก็วุ่นวายกับงานไปเรื่อยๆ พอบ่ายๆ คนดีก็ตามมาเปิดโน้ตบุ๊คนั่งทำงานวุ่นวายใกล้ๆ ... พอห้าโมงเย็น ได้เวลาเลิกงาน ก็รีบชวนกันเก็บสมบัติเผ่นออกจากออฟฟิศ
ถึงเอสพละนาด ก็หาที่จอดรถได้ทันที จอดรถเรียบร้อย รีบขึ้นไปรับตั๋วหนัง ... แล้วก็ลงมาหม่ำราเมนคนละชามที่ร้านบะหมี่เลขแปด ... เราแวะซื้อไอติมแมคอีกหน่อย ก่อนจะเดินขึ้นไปรอเวลาเข้าโรงหนัง

- เรื่องย่อ - (Credit : http://www.majorcineplex.com/ )
นักสำรวจ "ริก โอคอนเนลล์" ลูกชายของเขา "อเล็กซ์" ภรรยา "เอเวอลีน" และ พี่ชายสุดเฟอะฟะของเธอ โจนาธาน ต้องร่วมมือกันต่อสู้กับมัมมี่อีกครั้ง


หลังจากอเล็กซ์ไปปลุกจักรพรรดิมังกรผู้โหดเหี้ยมให้ฟื้นตื่นจากการหลับใหลชั่วนิรันดร์ ... จักรพรรดิมังกร ที่มีจิตใจอำมหิตของแผ่นดินจีน พร้อมนักรบจำนวน 10,000 นาย เคยถูกฝังลืมเป็นระยะเวลาชั่วกัปชั่วกัลป์ จนกลายเป็นกองทัพดินเผาที่ซ่อนตัวอยู่ในสุสาน ภายใต้คำสาปของซิหยวน ... เมื่อฟื้นคืนชีพอีกครั้ง จักรพรรดิมัมมี่ต้องการปลุกกองทัพนักรบของเขาให้กลายเป็นกองทัพผีที่ใครก็หยุดไม่ได้ และใช้อำนาจเหนือธรรมชาติที่มีอยู่อย่างเหลือล้นในตอนนี้ ยึดครองโลก


ตอนต้นเรื่องที่ต้องเล่าที่มาที่ไป ทำเอาผล็อยหลับไปชั่วประเดี๋ยว ... แต่พอเริ่มสำรวจที่ฝังพระศพของจักรพรรดิก็ตื่นมาดูพอดี แล้วก็นั่งดูยาวจนจบไม่ผล็อยหลับอีก ... หนังสนุก ตื่นเต้น ตามสไตล์เดอะมัมมี่ คอมพิวเตอร์กราฟฟิค และฉากต่างๆ น่าตื่นตาตื่นใจมากๆ ... ระหว่างตื่นเต้นก็มีมุขโผล่มาให้ขำเป็นระยะ สรุปแล้ว ชอบค่ะ


แต่ที่ไม่ชอบคือ เพื่อนร่วมชมที่นั่งอยู่ข้างๆ ค่ะ ... เป็นชายหนุ่มร่างสูง ที่นั่งหายใจ ฟืดดด ฟาดดด หายใจเสียงดัง ตอนแรกก็คิดว่าเป็นนิสัยของเค้า ... แต่พอนั่งฟังเสียงฟืดดด ฟาดดด พร้อมกับดูหนังไปเรื่อยๆ ก็รู้ว่า เค้าเป็นหวัด คัดจมูก หายใจไม่สะดวก แล้วที่ต้องสูดฟืดด ฟาดด ก็เพราะน้ำมูกจะหยด


ควานหายาดมในกระเป๋า กะว่าจะส่งไปให้ดมเผื่อจะดีขึ้น แต่ก็คิดได้ว่าแค่ดมยาดมน้ำมูกคงไม่หายไป ... เลยกะว่าจะส่งกระดาษทิสชู่ไปให้ซับซะ จะได้เลิกนั่งฟืดดด ฟาดดด สักที ... หันไปกระซิบปรึกษาคนดี แต่คนดีห้ามไว้


สักพักเค้าก็จาม ฮัดชิ้ววว ยังดีที่เอาเสื้อบังไว้ ไม่งั้นน้ำลายคงกระจายเต็มแขนเต็มไหล่เราแน่ๆ ... พอเริ่มจามครั้งแรก ก็มีครั้งที่ 2 และ 3 ตามมา ... เท่านั้นหละ นั่งเอามือปิดปาก ปิดจมูก ตัวเองเอาไว้ เพราะไม่อยากรับเชื้อโรคที่กระจายออกมา ... แล้วพอเค้าจามอีก ก็จะขยับเนื้อขยับตัวทันที


ใครจะว่าคิดมากก็ยอมรับ ก็โรงหนังอากาศไม่ถ่ายเท แล้วมานั่งจามอยู่ข้างๆ แบบนี้ด้วย ไม่อยากรับเชื้อโรคมาเต็มๆ เพราะไม่อยากเป็นหวัดอีกแล้ว ... ก็เป็นหวัดมาเดือนละครั้ง 3 เดือนติดกันแล้ว ขอเว้นช่วงไม่เป็นหวัดไปอีกนานๆ เถอะ


เจอแบบนี้ก็บอกตัวเองว่า ถ้าเป็นหวัด จะไม่เข้าโรงหนัง จะไม่มาแพร่เชื้อหวัดให้คนอื่น ... แต่ถ้าอยากดูมากๆ ก็จะใช้ผ้าคาดปากกรองเชื้อโรคไว้ก่อน เรายังไม่ชอบใจเลย ก็ไม่ควรจะทำแบบนี้เหมือนกัน ... สงสัยช่วงนี้ต้องอัดวิตามินซีเติมเข้าไปเยอะๆ สักหน่อย

Goodbye - Farewell

สมาชิกในออฟฟิศ ยื่นเรื่องลาออกสิ้นเดือนก.ค. เป็นสาวที่เป็นรุ่นน้องที่มหา'ลัย และ เป็นคู่หูชวนกันกิน ชวนกันช้อป ชวนกันเกะ ... เป็นสาวที่สนิทสนมกับสมาชิกทุกคนในออฟฟิศ
พอจะลาออก เจ้าตัวเลยชวนพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ไปฉลองส่งท้ายกันที่คาราโอเกะ ... เป็น Farewell Party แบบเฮฮา บ้าบอ
วันศุกร์ที่ 25 ก.ค. 51 เลิกงานปุ๊บ ก็ยกขบวนมุ่งหน้าไป "คาราโอเกะซิตี้" ได้ยินชื่อมานาน ว่าร้านสวย บรรยากาศดี แต่จองยากเหลือเกิน ... วันนี้ได้มาเยือนสมใจ
บรรยากาศร้านสดใส ห้องคาราโอเกะแยกเป็นสัดส่วน เป็นห้องกระจก โปร่ง โล่ง ดูสบาย แต่ไม่รักษาหน้าคนที่อยู่ข้างในท่าเผลอทำท่าพิลึกหลุดโลก
อาหารมีให้เลือกหลากหลายประเภท ทั้งไทย ฝรั่ง ญี่ปุ่น ... รสชาติอาหารใช้ได้ ราคาค่อนข้างสูง แต่ก็พอรับไหว
ไปถึงร้านตอนหกโมงนิดๆ หิวกันถ้วนหน้า เลยสนใจกับอาหารมากกว่าร้องเพลง ... และที่สำคัญคือ ยังสว่างเกินไป
พอเริ่มค่ำ ฟ้าเริ่มมืด ท้องอิ่มกันแล้ว ก็หันมาเฮฮาบ้าบอกับสารพัดเพลงที่ถูกเลือกมา ทั้งใหม่ เก่า และ เก่ามาก ... ร้องไป เต้นไป ฮาไป

มีทั้งพวกชอบร้อง พวกชอบเต้น พวกขอนั่งให้กำลังใจ ... แต่ที่ทุกคนเป็นเหมือนกันหมด คือ บ้ากล้อง พอกล้องหันมาจับภาพเป็นกลุ่มเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะร้อง ไม่ว่าจะเต้น หรือนั่งอยู่มุมไหนของห้อง จะกรูมารวมตัวกันเป็นหมู่คณะได้ทันที

ร้องไป เต้นไป ขำไป แล้วก็ทยอยกันกลับไปทีละคน ทีละคู่ ที่ละกลุ่ม ใครบ้านใกล้ใคร ไปทางเดียวกัน ก็ชวนกันไป ... Farewell Party เลิกราวห้าทุ่มกว่า

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

วันพฤหัสบดีที่ 31 ก.ค. 51 วันทำงานวันสุดท้าย ... สมาชิกเลยทำพิธีส่งมอบของที่ระลึก ภาพวาดการ์ตูนล้อเลียนของแต่ละคน

รูปนี้ถ่ายตอนกลางวัน สมาชิกไม่ครบ หายไปประชุม แต่ก็ต้องเก็บภาพเป็นที่ระลึกก่อน


สมาชิกที่พลาดรอบเที่ยง ก็มาทำพิธีส่งมอบกันอีกรอบตอนเย็น สมาชิกก็หายไปอีกหน่อย ... แล้วก็มีสมาชิกพิเศษเพิ่มมาอีกราย นั่นคือ คนดีของเรา ที่ตอนแรกรับหน้าที่เป็นช่างภาพ แต่แล้วก็อดใจไม่ไหว ตั้งกล้อง ตั้งเวลา โดดมาร่วมวงด้วย เพราะสนิทสนมกับสาวคนนี้เหมือนกัน




Goodbye - Farewell ... โชคดีนะจ๊ะ

เพื่อน

เจอกลุ่มเพื่อนมัธยมเมื่อวันที่ 26 ก.ค. แล้ว 2 วันให้หลังก็มีเหตุให้ได้โทรไปกวนบางคนอีก เพราะมีเรื่องต้องการความช่วยเหลือค่ะ ... มีงานด่วนของออฟฟิศที่แจกจ่ายให้กับสมาชิกทุกคน เลยต้องการความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ จากเพื่อนๆ ค่ะ

ตอนแรกก็นั่งมึน งง ว่าจะไปหาจากที่ไหนดีน้อ ... แล้วก็ ปิ๊ง ขึ้นมา "เพื่อน" ไง ... คิดได้ปุ๊บก็คว้ามือถือกดโทรหาเพื่อนๆ บางส่วนทันที บางรายเคยคุย เคยเล่าเรื่องงานชิ้นนี้ให้ฟังบางแล้ว ก็ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ... รายที่ไม่เคยคุยไว้เลยก็ต้องเล่ากันยาวสักหน่อย

แต่หลังจากเล่าความเรียบร้อย ความช่วยเหลือก็ส่งมาหาทันที ... เพื่อนรุ่นพี่ เพื่อนรุ่นน้อง เพื่อนสมัยมัธยม และ เพื่อนของเพื่อน ขอบคุณทุกๆ คนมากๆ ค่ะ

ขอบคุณพี่โอ๋ - ขอบคุณน้องแก้ว - ขอบคุณพี่ตูม - ขอบคุณคุณดิ - ขอบคุณยายนัท - ขอบคุณพระวัย - ขอบคุณเฮียหมู

"เพื่อน" คำสั้นๆ ที่มีความหมายมากมายเกินจะบรรยายได้ ... ถึงไม่ได้เจอหน้ากันทุกวัน ถึงนานๆ จะได้คุยกันสักที แต่เพื่อนก็ยังเป็นเพื่อน เพื่อนยังอยู่ที่เดิม แค่หันไปหา ส่งเสียงทักไป ก็ได้เสียงตอบกลับมา ขอความช่วยเหลือไป ความช่วยเหลือก็ส่งกลับมาทันใจ ... ขอบคุณทุกคนมากๆ จริงๆ ค่ะ

30.7.51

สวมรอย

โดนสวมรอยมาค่อนข้างนานแล้ว เพิ่งจะได้หลักฐานแบบชัดแจ้ง เต็มๆ ตา ... ถ้าไม่มีหลักฐานแบบนี้ เดี๋ยวผู้ต้องสงสัยจะสบช่อง ปฏิเสธได้ ... มีหลักฐานแล้วก็เอามามัดตัวซะเลย


ปกติจะใช้ window live messenger หรือที่เรียกติดปากว่าเอ็ม คุยงานกับน้องๆ ในออฟฟิศประจำ เพราะนั่งอยู่ชั้นล่างคนเดียว ส่วนคนอื่นนั่งทำงานชั้นบน ... แทนที่จะใช้โทรศัพท์กดหากัน ก็พิมพ์คุยกันแทน เพราะคุยไปทำงานไปด้วย ไม่ต้องมาเอียงคอหนีบโทรศัพท์เอาไว้ ... ไม่สะดวก ไม่ว่าง ยุ่ง ก็นิ่งๆ บอกให้รอกันก่อนได้


แล้วพอล็อกอินแล้วก็ปล่อยค้างไว้อย่างนั้น เลยกลายเป็นช่องให้โดนสวมรอยได้ค่ะ ... ซึ่งคนที่มาสวมรอยก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนดี คนใกล้ตัวนี่เองค่ะ ... ถ้าวันไหนที่คนดีมารับเร็ว แล้วเราไม่ได้ใช้งานคอมฯ อยู่ คนดีก็จะขอใช้คอมฯ ใช้อินเตอร์เน็ต ดูนั่น ดูนี่นิดหน่อย แล้วถ้ามีใครส่งข้อความผ่านเอ็มมาทักพอดี ก็เข้าทางเลยค่ะ ... คนดีสวมรอยคุยแทนซะเลย


แรกๆ เหยื่อที่คุยด้วยก็จะงงๆ เพราะรู้สึกว่าภาษาที่คุยกันแปร่งๆ แปลกๆ ไปจากเดิม แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร คุยเล่น แซวกัน แหย่กันสนุกสนาน ... แต่เพื่อเป็นการรักษาชื่อเสียงตัวเองเอาไว้ ก็จะหาช่องแอบส่ง sms หรือ โทรไปบอกคนปลายทางให้รู้ ... คำตอบที่ได้กลับมาคือ มิน่าเล่า ว่าภาษามันแปลกๆ


หลังๆ คนดีก็เริ่มปรับมุข พยายามใช้ภาษาให้ใกล้เคียงกับที่เราใช้มากที่สุด แต่ก็ยังมีหลุดความเป็นตัวเองอยู่บ้างนิดๆ หน่อยๆ ... นับว่าทำได้ค่อนข้างเนียน เพราะเหยื่อลงเชื่อ และจับไม่ค่อยได้ ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ อยู่เล็กๆ แต่ก็ไม่ได้สงสัยมากนัก จนเราต้องตามเฉลยอีกเหมือนเดิม


เมื่อวานมีประชุมออฟฟิศช่วงบ่าย กว่าจะเลิกประชุมก็สี่โมงกว่า ลงมาเจอคนดีนั่งรออยู่แล้ว ... สักพักมีน้องที่เคยทำงานที่นี่ส่งข้อความมาทัก เลยตอบกลับไป โดยให้คนดีช่วยพิมพ์แทน ... ตอบไปตอบมา จากที่ยืนกำกับก็กลายเป็นคนดู เพราคนดีจัดการสวมรอยเรียบร้อย


- เก็บภาพเป็นหลักฐานมัดตัว -


แล้วสักพักก็มีสาวๆ จากข้างบนส่งข้อความมาทักมาถามอีก 2 ราย คนดีก็จัดการทำเนียน คุยแทนอีกเหมือนกัน ... ปรากฎว่า เหยื่อ 3 รายที่คุยอยู่กับคนดี มีทั้งระแวง จับได้ และ ไม่รู้ตัวเลย ... รายที่ระแวงก็กดโทรศัพท์ลงมาถามเพื่อความแน่ใจ รายที่จับได้ก็บอกว่าอย่ามาอำ เดี๋ยวจะแอบย่องลงมาดู ส่วนรายที่ไม่รู้ตัวเราก็ส่ง sms แจ้งไป น้องก็ทำเนียนคุยต่อไปเรื่อยๆ


ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของคนดี ที่ได้แกล้งได้แหย่ใครต่อใคร เป็นการแกล้งที่แรกๆ เหยื่อก็งง แต่ระยะหลังเริ่มสนุกตาม เพราะคอยตามจับผิดกันได้ ... ส่วนเราคนกลาง ที่โดนสวมรอย ก็ตามเก็บหลักฐานมามัดตัวอย่างที่เห็น

29.7.51

STR Reunion

STR เป็นชื่อย่อสำหรับกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยม ที่มาจากชื่อย่อภาษาอังกฤษของโรงเรียน สมถวิล ราชดำริ ... เป็นเพื่อนกลุ่มเล็กๆ เพราะจำนวนสมาชิกที่เรียนจนจบม.6 สายวิทย์-คณิต พร้อมกัน มีทั้งหมด 11 ชีวิตเท่านั้น

โรงเรียนเอกชนเล็กๆ ที่นักเรียนคุ้นหน้าคุ้นตากันทั้งหมด ... เริ่มเข้าเรียนตอนม.1 ก็มีข่าวจะยุบโรงเรียน สมาชิกก็ร่อยหรอลงไปบ้าง เรียนมาเรื่อยๆ จนขึ้นม.4 ก็มีเพื่อนใหม่เพิ่มขึ้น พอๆ กับเพื่อนเก่าที่ย้ายไปเรียนที่อื่น ... แต่เพราะเลือกเรียนสายวิทย์-คณิต จำนวนนักเรียนเลยน้อยกว่าสายศิลป์ แล้วยังมีบางส่วนที่สอบเทียบได้ ก็ออกไปเรียนมหาวิทยาลัยเลย ... เหลือนักเรียนม. 6 สายวิทย์-คณิต ปีการศึกษา 2536 อยู่แค่ 11 คน

บางคนเรียนห้องเดียวกันมาตั้งแต่ ม.1 บางคนรู้จักกันตั้งแต่ม.ต้น แต่เรียนกันคนละห้อง และบางคนก็เป็นเพื่อนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาตอนม.ปลาย ... แต่สุดท้ายที่เหลืออยู่ก็เหนียวแน่นหนึบหนับ

แต่ละคนแยกย้ายกันไปเรียน แยกย้ายกันไปทำงาน โทรคุยกันบ้าง นัดเจอกันบ้าง เป็นครั้งคราว ... และครั้งนี้ที่นัดรวมตัวกัน เพราะมีเพื่อนคนนึงเพิ่งรับปริญญาดุษฎีบัณฑิต เป็น "ดอคเตอร์คนแรกของรุ่น" ก็เลยต้องฉลองกันสักหน่อย


กว่าจะนัดกันลงตัว ท่านดอคเตอร์ก็รับปริญญามาครอบครองไว้แล้ว ยี่สิบกว่าวัน ... สมาชิกก็มีอยู่ไม่กี่คน แต่กว่าจะจัดเวลากันได้ ยากจริง


ได้รับมอบหมายให้หาร้านอาหาร เลือกสถานที่ ... เลยเลือก คอฟฟี่บีนส์ บาย ดาว สาขาร่วมฤดี ถึงจะต้องเข้ามากลางเมือง แต่ก็สะดวกสบายกับทุกคนตอนจะแยกกันกลับ
18.30 น. เวลานัด เรากับคนดีไปถึงก่อนเวลานิดหน่อย เจอเพื่อนมานั่งรออยู่แล้วคนนึง ที่เหลือก็ทยอยมาเรื่อยๆ ... วันนี้รวมตัวกันได้ 7 คน สมาชิกหนาแน่นก็ได้เวลาสั่งอาหาร


เปิดเมนูแล้วก็ละลานตา ต่อมตะกละแตกตามกันเป็นแถวๆ แล้วก็หิวตาลายกันถ้วนหน้า เลยสั่งอาหารกันอย่างสนุกสนาน ... พอทยอยมาวางก็ตัก จิ้ม จ้วง กันใหญ่ แล้วก็ทำการหมุนเวียนสับเปลี่ยนจานนั้นจานนี้กันอย่างเพลิดเพลิน


อิ่มของคาวแล้วก็ต้องตามด้วยของหวาน ก็เค้กร้านนี้ขึ้นชื่อลือชา ... เราสั่งไวท์ชอคโกแลตชีสเค้กของโปรดเหมือนเดิม ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ ก็เลือกเค้กมาแบ่งกันชิม แบ่งกันจิ้ม แบบมีความสุขสุดๆ

นัดครั้งหน้านัดกันว่าจะเลี้ยงส่งข้าราชการสาว ก่อนจะบินไปใช้ทุนเรียนภาษาจีนที่เซี๊ยเหมิน 1 ปี ... เปลี่ยนจากร้านหรูไฮโซ ไปเป็นส้มตำ จิ้มจุ่มแทน ... ไม่รู้จะนัดกันสำเร็จรึเปล่า

28.7.51

คำสำคัญ

ช่วงเวลาในชีวิตเรา ต้องมีช่วงที่ดีและร้าย อาจมีใครมากมายที่ร่วมสุข
แต่ว่าตอนที่เราทุกข์ใจ มองหันไปไม่เคยเจอใคร มีเพียงสองเราเท่านี้

แปลกดีที่ชีวิตคน พยายามดิ้นรนค้นหาเรื่อยไป กับอะไรที่เป็นของนอกกาย
แต่จะมีซักกี่คนเข้าใจ ว่าความรักนั้นไม่ต้องการอะไร มากกว่าใจกับใจที่ให้กัน

บางทีคนเราเหมือนจะลืมมันไป ว่าอะไรที่มีความหมายและสำคัญ

อย่าลืมคำว่ารักคำนั้น อย่าลืมความรู้สึกนั้น คำสำคัญนั้นมีค่า รักษาเอาไว้ให้ดี
อย่าลืมคำว่ารักคำนั้น ที่เคยบอกกันและกัน เพียงแค่คืนและวันได้เลยผ่าน อย่าให้อะไรมาเปิดรักเรา

กว่าที่เราจะได้รักกัน กว่าที่เราจะมีคำว่าเรา เก็บเอาไว้สิ่งเหล่านั้นอย่าให้มันลบเลือนไป
ก็จะมีซักกี่คนเข้าใจ ว่าความรักนั้นไม่ต้องการอะไร มากกว่าใจกับใจที่ให้กัน

บางทีคนเราเหมือนจะลืมมันไป ว่าอะไรที่มีความหมายและสำคัญ

อย่าลืมคำว่ารักคำนั้น อย่าลืมความรู้สึกนั้น คำสำคัญนั้นมีค่า รักษาเอาไว้ให้ดี
อย่าลืมคำว่ารักคำนั้น ที่เคยบอกกันและกัน เพียงแค่คืนและวันได้เลยผ่าน อย่าให้อะไรมาเปิดรักเรา

อย่าลืมคำว่ารักคำนั้น อย่าลืมความรู้สึกนั้น คำสำคัญนั้นมีค่า รักษาเอาไว้ให้ดี
อย่าลืมคำว่ารักคำนั้น ที่เคยบอกกันและกัน เพียงแค่คืนและวันได้เลยผ่าน อย่ามองข้ามบางสิ่ง อย่ามองข้ามบางอย่าง

อย่าลืมคำว่ารักคำนั้น อย่าลืมความรู้สึกนั้น คนสำคัญนั้นมีค่า รักษาเอาไว้ให้ดี
อย่าลืมคำว่ารักคำนั้น ที่เคยบอกกันและกัน แม้ว่าคืนและวันได้เลยผ่าน ดูแลรักเราให้ดีให้งดงาม

(Credit song : MaggieMooS C.™ http://www.imeem.com/groups/cHOgz030/music/vkYB-B66/be_pheerapat_important_words_demo_v/)
(Credit lyric : http://www.siamzone.com/ )

26.7.51

Shin Emon - Japanese Curry Rice

เวลาไปเซ็นทรัลเวิลด์ทีไร มีเรื่องทำให้ลำบากใจทุกที ... ลำบากใจตรงที่ ไม่รู้จะเลือกฝากท้องไว้ที่ร้านอาหารร้านไหนดี เพราะมีทางเลือกให้เลือกเยอะเหลือเกิน แล้วก็น่าชิม น่าลองทั้งนั้น ... เพราะฉะนั้นก็ต้องทยอยลอง ทยอยชิมไปเรื่อยๆ


ล่าสุด ไปดูหนังเรื่อง Journey To The Center Of The Earth ... จองตั๋วเรียบร้อย ก็ต้องเติมพลังให้ท้อง เอาหล่ะซิ จะเลือกร้านไหนดี ... เดินวนไปวนมาก็ไปเจอะกับร้านนี้ หลังจากสำรวจเมนูแล้วก็ตัดสินใจก้าวเท้าเข้าร้าน




Shin Emon : Japanese Curry Rice ร้านอาหารญี่ปุ่นขนาดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งบนชั้น 7 ... มีข้าวแกงกะกรี่เป็นเมนูแนะนำ ก็ต้องลองสั่งมาชิม

จากเมนูข้าวราดแกงกระหรี่ที่มีให้เลือกหลายจาน เราสองคนตกลงเลือกกันคนละแบบ จะได้แบ่งกันชิม ... คนดีเลือก Kutsu Curry เมนูฮิตของร้าน ส่วนเราเลือก Mix Curry ที่มีไส้กรอก กุ้งทอด และ croquette ได้มาครบสองจานแล้วก็ตักแบ่งกัน ... น้ำแกงกะหรี่รสชาติใช้ได้ ไม่ข้น ไม่ฉุนกลิ่นเครื่องแกงจนเกินไป กินกับผักดองที่เตรียมไว้ให้ตักเติมได้เอง ก็อร่อย เพลิน

เป็นทางเลือกสำหรับมื้อที่เร่งด่วน เพราะใช้เวลาเตรียมอาหารไม่นาน แป๊บเดียวก็มาเสิร์ฟ แต่อาจจะเสียเวลารอโต๊ะนานสักหน่อย เพราะมีโต๊ะที่นั่งไม่มากนัก ... คิดถึงแล้วก็อยากหม่ำอีกจัง

Journey To The Center Of The Earth



ว่างเว้นจากการดูหนังไปนาน พอจะมีเวลาเลยชวนกันไปดูหนัง จากโปรแกรมหนัง ก็มีเรื่องนี้แหละ Journey To The Center Of The Earth - ดิ่งทะลุสะดือโลก ที่น่าสนใจ ... ไหนๆ ก็มีแบบ 3D ให้เลือกดู แล้วก็ไม่ได้รีบร้อนไปไหน เลยเลือกรอบบ่ายแก่ๆ เพื่อจะดูหนังแบบ 3D ครั้งแรก

กินข้าว เดินเล่น ดูของ ช้อปปิ้ง พอใกล้เวลาก้ไปนั่งรออยู่หน้าโรงหนัง มีคนสนใจดูหนังแบบ 3D เยอะเชียว เพราะคนรอเข้าโรงหนังเพียบ ... พอคนเริ่มทยอยเข้าโรงหนัง เราสองคนก็พากันลุกไปเข้าแถวตามใครต่อใคร เข้าคิวฉีกบัตร ตรวจกระเป๋า และรอรับแว่นตาด้านหน้าโรงหนัง

นั่งประจำที่ปุ๊บ หนังตัวอย่างก็เริ่มฉาย เป็นอนิเมชั่นเรื่อง "Bolt" ที่เป็นหนังตัวอย่างแบบ 3D เหมือนกัน ... จบหนังตัวอย่างปุ๊บ ยืนถวายความเคารพ แล้วหนังก็เริ่มฉายทันที ... ดีจัง ไม่ต้องเสียเวลาดูโฆษณายืดยาว เยิ่นเย้อ

- เรื่องย่อ - (Credit : http://movie.mthai.com/ )

ระหว่างการทดลองทางวิทยาศาสตร์ในประเทศไอซแลนด์ นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง เทรวอร์ แอนเดอร์สัน (แบรนเดน เฟรเซอร์) ฌอน หลานชาย (จอร์ซ อัทเชอร์สัน) และไกด์สาวแสนสวย ฮานนา (แอนนิต้า ไบรแอม) ทั้งหมดบังเอิญติดอยู่ในถ้ำที่พวกเขาไม่สามารถหาทางออกได้นอกจากเดินลึกเข้าไป ลึกเข้าไปจนผ่านเข้าไปยังส่วนที่ลึกสุดของโลก

ทั้ง 3 ต้องร่วมเดินทางไปยังดินแดนที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยค้นพบมาก่อน รวมถึงต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่ไม่คาดคิดว่าจะมีจริง ไม่ว่าจะเป็น พืชกินคน ปลาพีรันย่ายักษ์ที่บินได้ นกเรืองแสง และไดโนเสาร์จากยุคอดีตกาล ก่อนที่ทั้งหมดจะตระหนักถึงอันตรายจากภูเขาไฟที่กำลังปะทุพร้อมระเบิดได้ตลอดเวลา พวกเขาต้องหาทางออกเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

หนังสนุก ตื่นเต้นดีค่ะ ที่สำคัญคือ ตื่นตาตื่นใจกับภาพและเทคนิคการถ่ายทำ แล้วดูแบบสามมิติ ที่มีวัตถุลอยเด้งออกมาด้วย เลยกิ๊วก๊าวเหมือนเป็นเด็กๆ ... เสียดายที่ไม่ได้ติดแว่นไปด้วย ไม่งั้นสวมแว่นสามมิติ ทับแว่นสายตา ภาพคงจะแจ่มชัดแจ๋วแหววมากกว่านี้ ... เสียอีกนิดที่นอกจากวัตถุจะเด้งออกมาแล้ว ตัวหนังสือซับไตเติ้ลก็ลอยเด้งออกมาเหมือนกัน แต่ตัวเล้กไปนิด อ่านลำบากหน่อย

แอบลองยกแว่นสามมิติขึ้น เพราะอยากรู้ว่าจะเป็นยังไง ... ปรากฎว่าทั้งภาพและตัวหนังสือ เหลื่อมซ้อนกัน เบลอๆ งงๆ เหมือนตาลายจะเป็นลม แต่พอสวมแว่นกลับเข้าที่ภาพก็ชัด ลอยเด้งเข้าตาทันที ... จ่ายตังค์เพิ่มอีกนิด แต่ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ แปลกดีค่ะ

23.7.51

โกยี @ วังหิน

ร้านโกยี ที่วังหิน เป็นหนึ่งในร้านโปรด ... ต้องขอบคุณสาวคู่หูในออฟฟิศที่บ่นอยากกินข้าวผัดปูร้านนี้บ่อยๆ จนทำให้ต้องตามไปชิม ไปดูให้รู้ว่ามีดีอะไร


ข้าวผัดปูร้านนี้ไม่แฉะ ไม่มัน และไม่ต้องควานหาเนื้อปู มาให้เห็นชัดๆ กินได้เต็มๆ ... ในราคา 35 บาท นับว่าคุ้มค่า


อีกเมนูโปรดคือ ผัดมักกะโรนี โดยเฉพาะมักกะโรนีไส้กรอก ... ไม่มัน ไม่เลี่ยน รสกลมกล่อมกำลังดี ไม่ต้องใช้ซอสมะเขือเทศ หรือ ซอสพริก ปรุงเพิ่มเลย



ส่วนกระเพาะปลา กับ ยำมะเขือยาว เป็นจานโปรดของคนดี ... เราก็ขอแจม แอบฉกมาจานละคำ สองคำ



จริงๆ ยังมีอีกหลายเมนูที่โปรดปรานมากๆ ทั้ง บะหมี่ปู บะหมี่หมูย่าง สเต็กไส้กรอก แต่มากันแค่สองคนเลยสั่งได้จำกัด ... ไว้ต้องชวนพรรคพวกไปหม่ำกันเป็นหมู่คณะ ถึงจะสั่งได้ครบทุกจาน

16.7.51

คนใจร้าย

ปกติเวลาได้กินของอร่อย ก็จะมีความสุข ตาวิบวับเป็นประกาย ... แต่นี้ได้กินของอร่อย แต่กินแล้วหงุดหงิด โมโห และไม่อยากกินอีกเลยค่ะ

วันเสาร์นัดกับคนดีจะไปเดินสวนจตุจักร เพราะคนดีอยากซื้อเสื้อ ... ครึ่งวันเช้าคนดีไปทำงาน ส่วนเราเข้าออฟฟิศมาดูช่างคอมฯ ที่เข้ามาเช็คคอมฯ ประจำเดือนนี้

เที่ยงกว่าคนดีก็มาถึงออฟฟิศ อุ่นกับข้าวนั่งหม่ำกันจนอิ่มแล้ว ช่างคอมฯ ก็ยังทำงานไม่เสร็จ ... เล่นเกม ดูคอนเสิร์ทจาก youtube สุดท้ายคนดีก็นั่งหลับรอ ... กว่าช่างคอมฯ จะเช็คคอมฯ ครบทุกเครื่องก็บ่ายสามโมงกว่า

รีบเก็บของ ปิดออฟฟิศ ขึ้นรถ มุ่งหน้าไปที่จอดรถของรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีบางซื่อ ... ต่อรถไฟใต้ดินย้อนมา 1 ป้ายเท่านั้นก็ถึงจุดหมายของวันนี้

เข้าไปปุ๊บก็ดิ่งไปร้านที่เราตั้งใจจะไปซื้อของก่อนเป็นอันดับแรก เพราะตั้งใจมาซื้อแค่นี้เท่านั้น ... พอได้ของเรียบร้อยก็ถึงคิวคนดี เดินชมตลาด แวะร้านต่างๆ ที่เล็งเอาไว้ ... ส่วนใหญ่ก็เป็นร้านเสื้อที่เคยซื้อไปใส่แล้วชอบใจ แวะกลับมาดูสักนิดนึง เผื่อมีแบบใหม่ๆ ที่น่าสนใจ

เพราะมีร้านเป้าหมายกันแล้วทั้งคู่ ใช้เวลาไม่นานก็ได้ของที่ต้องการครบถ้วนทั้งคู่ ... เลยชวนกันเดินเล่น รอบๆ สักนิดนึง เพราะไม่ได้ตั้งใจจะซื้ออะไรแล้ว เลยเดินวนตามทางหลัก ... ตั้งต้นจากร้านภูฟ้า แล้วเดินวนขวาไปเรื่อยๆ

ไปเจอะร้านทับทิมสยาม คุณลุงคนขาย ตัวโต เคาะกะละมังทับทิมกรอบใบใหญ่เบ้งเรียกลูกค้า ... เสียงเคาะกะละมังดังสนั่น เหมือนเคาะระฆังเลยค่ะ ... ได้ยินตอนแรกสะดุ้ง ตกใจ ไม่คิดว่าจะดังขนาดนี้ พอตั้งสติได้ก็สะกิดบอกคนดีว่ามีคนบอกว่าทับทิมกรอบร้านนี้อร่อย

ทับทิมกรอบจัดเป็นเมนูของหวานที่โปรดปราน คนดีคงนึกได้เลยชวนให้นั่งชิม เพราะด้านในมีโต๊ะเล็ก อยู่ 4 ชุด ... นั่งกินขมมหวาน ชื่นใจ แล้วได้นั่งพักเท้าด้วย เลยตกลง

ทับทิมกรอบเม็ดโตสีชมพูใส ในน้ำกะทิหอมๆ ชื่นใจดีค่ะ ... จะใส่ถ้วยโฟมนั่งทานในร้าน ถือถ้วยโฟมเดินทาน หรือใส่ถุงกลับบ้านก็ 30 บาท เท่ากัน ... ของเราทับทิมกรอบล้วน ส่วนของคนดีใส่แห้ว กับ มะพร้าวกะทิด้วย ก็ราคาเท่ากัน

นั่งกินเพลินๆ ไปใกล้จะหมดถ้วย ก็เห็นมีลูกค้าแวะมาซื้อเรื่อยๆ ... แล้วสักพักก็ได้ยินเสียงเพลงดังแว่วๆ มา เหมือนเสียงวิทยุในรถดังจะผ่านมาถึง ... ปรากฎว่าเป็นคนตาบอด เดินร้องเพลง ผ่านมา แล้วก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านพอดี ... กะว่ากินหมดถ้วย เดินออกไปก็จะแวะหยอดตังค์ช่วยสักหน่อย

... แต่เกิดเหตุที่ทำให้ไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ค่ะ

คุณลุงเจ้าของร้าน เคาะกะละมัง โป๊งงงงง โป๊งงงง โป๊งงงงงง เสียงดังลั่น แข่งกับเสียงดนตรีจากลำโพง ... ทีแรกก็คิดว่าแกเคาะเรียกลูกค้า เพราะหน้าร้านเริ่มโล่ง ที่ไหนได้ แกเคาะไล่คนตาบอดที่หยุดยืนร้องเพลงอยู่หน้าร้านแกพอดีค่ะ ... โป๊งงงงง โป๊งงงง โป๊งงงงง ตีแรงขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ เสียงสนั่นหวั่นไหว ... เคาะแล้วก็ตะโกนไล่ซ้ำ “เดินตรงไปเลย เดินตรงไปเลย เดินไปเลย เดินไปเลย ของขายใกล้จะหมดแล้ว มาหยุดอยู่หน้าร้านทำไม”

เห็นกิริยาคุณลุงแล้วโมโห ได้ยินที่แกบ่นแล้วปรี๊ดดดดดดด ... ทำไมใจร้ายจัง ทำไมต้องไล่กันขนาดนี้ด้วย ... ทับทิมกรอบที่อร่อย หวานหอมชื่นใจ ที่กินหมดไปเมื่อกี้ ขม เฝื่อน ขึ้นมาทันที ... ไม่รู้ว่าคนตาบอดคนนั้นเดินเลี่ยงไปทางไหน เพราะไม่ได้ยินเสียงดนตรีจากลำโพงอีก

เราสองคนลุกออกจากร้าน แล้วหันมาคุยกันว่า จะไม่แวะกินทับทิมกรอบร้านนี้อีกเลย ไม่มีวันที่จะจ่ายตังค์ให้คนใจร้ายแบบนี้ ... ไม่เข้าใจกันทั้งคู่ว่าทำไมต้องไล่กันขนาดนี้ เค้าอาจจะกำลังจะเดินผ่านไป แต่ไม่รู้จะไปทางไหนก็ได้ แค่หยุดอยู่หน้าร้านแป๊บเดียวเอง
เจอแบบนี้ จุกทั้งคู่ รู้สึกแย่ที่ซื้อขนมหวานของคนขายใจขม ... ไม่ช่วยแล้วยังไล่ซ้ำอีก คนอะไร ทำไมใจร้ายจัง

5.7.51

Hancokc - ฮีโร่ขวางนรก

การดูหนัง คือ กิจกรรมยามว่าง สำหรับวันเสาร์ที่ยังไม่มีโปรแกรมอะไร ... Hancock - ฮีโร่ขวางนรก คือหนังเรื่องล่าสุดที่ถูกเลือกเป็นกิจกรรมประจำวันเสาร์


- เรื่องย่อ -

ใครๆ ก็รู้ดีว่าซุปเปอร์ฮีโร่ ต้องมีพลังวิเศษ และมีภาระหน้าที่มากมาย แต่ไม่ใช่ "แฮนค็อค" ที่ได้รับฉายานามว่าเป็นฮีโร่มาดเซอร์ผู้ไม่เอาอ่าว แถมยังเป็นนักดื่มตัวยง จึงกลายเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งเมือง เพราะที่ไหนมีแฮนค๊อคที่นั้นจะต้องมีแต่ความเสียหาย



แต่สำหรับ เรย์ พีอาร์หนุ่มมือหนึ่งที่แฮนค๊อคได้ช่วยชีวิตเค้าไว้ ได้ยื่นมือเข้าช่วยเพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์ของแฮนค๊อคซะใหม่ให้ดูดีไร้ที่ติ ... ระหว่างนี้เองที่แฮนค็อคได้เจอกับแม่บ้านสาวสุดเซ็กซี่ แมร์รี่ ภรรยาสาวสวยของพีอาร์หนุ่ม และเพราะเหตุนี้เองความชุลมุนวุ่นวายจึงได้เริ่มขึ้น


หนังสนุกดีค่ะ ฮีโร่แบบที่แปลกไปจากเรื่องอื่นที่เคยดู ขวางๆ กวนๆ แต่ก็มีมุขขำๆ ... ได้ใช้โปรโมชั่นส่วนลดตั๋วหนังของเอไอเอสด้วย เลยจัดว่าคุ้มมาก


(โรงหนัง - Esplanade : รอบ 14.00 น.)

2.7.51

Wanted - ฮีโร่เพชรฆาตสั่งตาย

หนังที่คนดีอยากดูมากๆ บ่นตั้งแต่ต้นเดือนมิ.ย.ว่าอยากดู อยากดู ... แล้วก็ได้ดูสมใจ




เวส ชายหนุ่มวัย 25 ปี หนุ่มสุดเฉื่อยชาที่เกลียดชีวิตของตัวเอง ด้วยเหตุผลที่ว่าเพราะมันเป็นชีวิตสุดห่วย ... ในที่ทำงาน เจ้านายทรมานเขาต่อหน้าเพื่อนร่วมงานที่ล้วนแต่เป็นพวกสันหลังยาว เมื่อกลับบ้าน แฟนสาวของเขาคือตัวดึงดูดทางเพศสำหรับทุกคน ยกเว้นเขา ซึ่งรวมถึงเพื่อนซี้ของเวสด้วย ... ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนุ่มไม่เอาอ่าวผู้นี้ต้องกินยาระงับประสาทราวกับเป็นลูกอมขนมหวาน



คำแก้ตัวที่น่าสมเพชของเวสอาจมาถึงจุดสิ้นสุด และเขาอาจต้องใช้ชีวิตอยู่ในความน่าเวทนาไปชั่วชีวิต โชคยังดีสำหรับเวส ชีวิตของเขาจบสิ้นแล้ว หมายถึง ชีวิตแบบเดิมๆ ทั้งหมดนี้เพราะผู้หญิงคนเดียว เมื่อฟ็อกซ์ สาวฮ็อตก้าวเข้ามา ... ดูเหมือนพ่อของเวสที่หายหน้าหายตาไปนาน จนถูกลืมไปแล้วนั้น จะถูกฆ่าตายในระหว่างปฏิบัติงานให้กับฟราเธอร์นิตี้ กลุ่มมือสังหารระดับหัวกะทิที่ก่อตั้งมานานหลายร้อยปี พวกเขาได้ปฏิญาณที่จะสืบสานชะตากรรมที่ไม่อาจทำลายได้ คำขวัญประจำใจพวกเขาก็คือ ฆ่าแค่หนึ่ง ช่วยชีวิตคนนับพัน



บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่เวสจะต้องเดินตามรอยเท้าพ่อ และปลดปล่อยหมาป่าที่ถูกขังเอาไว้ภายในตัวเขาออกมา การฆ่าคือสัญชาตญาณที่อยู่ในสายเลือดของเวส และเมื่อเขาฝึกฝนฝีมือภายใต้การดูแลของฟ็อกซ์และเพื่อนร่วมกลุ่มที่มีความหลากหลาย แต่ล้วนแต่เป็นตัวอันตราย ซึ่งรวมถึงสโลน ผู้นำสุดลึกลับของฟราเธอร์นิตี้ ... เวสที่เป็นมือสังหารหัดใหม่ถูกเคี่ยวจนเขาต้องพัฒนาปฏิกิริยาตอบโต้อย่างฉับพลันและมีความว่องไวเหนือมนุษย์ ไม่มีใครเคยบอกเขานี่ว่าการกลายมาเป็นมือสังหารเป็นเรื่องง่ายๆ


อดีตจอมขี้เกียจได้ถือกำเนิดใหม่กลายเป็นมือสังหารอนาคตไกลของกลุ่มฟราเธอร์นิตี้ เวสเริ่มลิ้มรสชาติชีวิตใหม่ และตั้งใจแน่วแน่ที่จะแก้แค้นบรรดาผู้ที่เคยทรมานเขาในอดีต แต่ในไม่ช้า รสชาติหอมหวานของการมีอำนาจกลับกลายเป็นรสขมเมื่อเขารู้สำนึกว่าความตั้งใจขององค์กรที่แสนร้ายกาจของเขาไม่ได้ทรงเกียรติอย่างที่เห็นในทีแรก ... เมื่อเขาเกิดลังเลระหว่างความเป็นผู้กล้าที่เขาเพิ่งค้นพบกับความแค้นที่เผาผลาญจิตวิญญาณ เวสกำลังจะได้เรียนรู้ว่าไม่มีใคร ไม่ว่าจะเป็นพ่อผู้เลือดเย็นหรือมือสังหารเลือดร้อน จะสอนให้เขาเข้าใจได้ นั่นก็คือเรื่องที่ว่ามีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กุมชะตากรรมของตัวเองได้


หนังเริ่มต้นแบบที่ทำให้รู้สึกมึนๆ งงๆ เล็กน้อย แต่พอดูไปเรื่อยๆ ก็มันมากขึ้น สนุกมากขึ้น ... เทคนิคการถ่ายภาพ มุมกล้อง การตัดต่อภาพ หวือหวา ฉับไว รวดเร็ว ดูน่ามึนหัว แต่ก็น่ามอง ... ฉากแอ็คชั่น ตื่นตาตื่นใจ น่าลุ้นมากๆ ... แต่เป็นหนังที่ไม่เหมาะกับการพาเด็กๆ เข้าไปดู เพราะยิงกันกระจุย เลือดสาดกระจาย ... แต่ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูแล้วเจริญหูเจริญตาคือ สาวแองจี้ แองเจลิน่า โจลี่ นี่หล่ะค่ะ ผู้หญิงอะไรสวย เท่ เซ็กซี่ ครบเครื่องมากๆ มองเพลินจริงๆ แค่ยืนนิ่งๆ ก็ยังน่ามอง


(โรงหนัง - Esplanade : รอบ - 19.05 น.)