27.1.53

Happy Birthday to Big_Birdy

27 มกรา วันคล้ายวันเกิดของคนดี ... Happy Birthday ค่า


ไม่ได้เตรียมการเซอร์ไพรส์อะไรเป็นพิเศษ คบมานานชักจะหมดมุขแล้ว ... และคนดีออกมาทำงานเอง อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง หาตัวยาก ไม่รู้จะดักเซอร์ไพรส์ตรงไหนดี ... แค่วางแผนหาซื้อของขวัญให้สักชิ้นก็ปลีกตัวยากแล้ว


หาเวลาแอบไปซื้อของขวัญ กับ การ์ด ... เพราะรู้ว่าคนดีต้องทวงการ์ดแน่ๆ ส่วนของขวัญที่โผล่ขึ้นมาก็คงสร้างความประหลาดใจได้นิดหน่อย เพราะบอกคนดีไว้แล้วว่า "งดของขวัญ" แต่ก็อดไม่ไหว วันเกิดทั้งทีหาอะไรให้สักหน่อยแล้วกัน


เริ่มต้นอวยพรคนดีด้วย sms เมื่อเริ่มขึ้นวันใหม่ ... ส่งข้อความผ่าน fb ... ตามด้วยเปลี่ยนหัวเอ็ม ... แล้วก็รอเวลาให้คนดีมาหาเย็นนี้ เพื่อที่จะได้รับของขวัญกับการ์ดปิดท้าย


ราวๆ บ่ายสามกว่าๆ คนดีก็มาถึง เราเข้าไปรับ แจกกอดแน่นๆ แล้วบอก Happy Birthday ข้างๆ หู อีกรอบ ... แล้วค่อยรายงานว่ามีเมสเซนเจอร์จากคุณพัชเอางานมาส่ง คุณพัชย้ำให้ตรวจงานดูด้วย โดยเฉพาะชิ้นงานห่อใหญ่ที่สุด แล้วก็กลับมานั่งทำงานหน้าคอมฯ ต่อ


คนดีก็ค่อยๆ พลิกดูงานทีละชิ้น ก่อนจะดึงชิ้นใหญ่สุดออกมาดู ... ก็เจอกับการ์ดพิเศษใบใหญ่บึ้ม ที่เพื่อนๆ และสาวๆ ในออฟฟิศ ลงคำอวยพรไว้ให้


จริงๆ สาวๆ วางแผนว่าจะทำการส่งมอบการ์ด แล้วถ่ายรูปเป็นที่ระลึก แต่วันนี้ สาวๆ กระจายตัวออกไปทำงานข้างนอกกันหมด ... เหลือติดออฟฟิศอยู่แค่ 3 คน เลยขอติดค้างภาพการ์ดใบบึ้มไว้ก่อนนะคะ แล้วจะให้คนดีมาแถลงการณ์ด้วยตัวเองค่ะ


ถึงเวลาเลิกงานก็ปิดออฟฟิศอย่างรวดเร็ว ... เก็บของเตรียมกลับ เราทำเป็นหาถุงใส่ของ แล้วค่อยส่งถุงนั้นให้คนดี เพราะถุงใบนั้นมีของอยู่ข้างใน มีเจ้าของแล้ว ... คนดีทำหน้างงนิดหน่อย แต่พอก้มดูในถุงก็ยิ้มหน้าบาน


ถ่ายภาพเป็นหลักฐานว่ายิ้มแฉ่งหน้าบานจริงๆ ค่ะ ... ดีใจมากที่ได้การ์ด เพราะเดินรำพึงไปตลอดว่า "นึกว่าจะไม่มีการ์ดแล้ว นึกว่าจะไม่ได้การ์ดแล้ว"


พอขึ้นรถได้ก็ถามคนดีว่าจะแกะของเลยรึเปล่า คนดีหยิบมาแกะนิดนึง แล้วก็เปลี่ยนใจออกรถ บอกว่ารถติดค่อยแกะ ... รีบไปก่อน กลัวรถติดหนึบหนับเกิน ... แต่ปรากฎว่ารถเยอะ แต่ไหลไปได้เรื่อยๆ ออกจากออฟฟิศ ขึ้นทางด่วน แป๊บเดียวก็ถึง CTW ค่ะ


พอจอดรถเรียบร้อย คนดีก็จัดการแกะห่อของขวัญเลย ภาพเลยมืดนิดหน่อย เพราะถ่ายในรถ ในที่จอดรถ ... แต่พอเห็นของขวัญข้างใน คนดีก็ยิ้มกว้างสดใส เพราะ Moisture Surge : Clinique ที่คนดีใช้อยู่หมดพอดี ... ถ้าขาดครีมตัวนี้ แก้มเต่งๆ ของคนดีจะแห้งเป็นขุย ... คนดีเลยถูกใจนักที่ได้เจ้านี่


มอบของกันแล้ว ก็ได้เวลาฉลองเล็กๆ ... แต่ตกลงกันไม่ได้ค่ะว่าใครจะเป็นเจ้ามือ แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะกินอะไรดี ... เราอยากกินอาหารญี่ปุ่น ของร้าน Sukishi เพราะอยากกินหมูหมักสไตล์เกาหลีย่างด้วย ... แต่ไม่แน่ใจว่าที่ CTW มีรึเปล่า


ขึ้นลิฟท์ไปเจอ ซาโบเตน มีเมนูใหม่ ... แล้วชั้น 6 อิเซตันก็มีร้านอาหารญ๊่ปุ่นเปิดใหม่หลายร้าน ทำเอาลังเลตาลาย เพราะเลือกไม่ได้ว่าจะกินอะไรดี จะเป็นร้านเดิมที่คุ้นเคย หรือร้านใหม่ เมนูใหม่


สุดท้ายก็เลือก ซาโบเตน ที่คุ้นเคยค่ะ เพราะเมนูใหม่น่าลองมากกกกกกกกกกกกก ... เราสองคนเลือกชุด ชีสคอมโบ เหมือนกัน มี หมูสันในสอดไส้ชีส มินิสันใน และ โคโระเกะปู ... อร่อยเหมือนเดิมค่ะ


อิ่มแล้วก็เดินดูของกันนิดหน่อย ก่อนที่คนดีจะชวนเดินไปดูงานของลูกค้าที่อัมรินทร์พลาซ่า ... แต่จู่ๆ เราเกิดปวดท้อง เสียดท้อง ขึ้นมา คนดีเลยบอกให้รออยู่ที่นี่


ตอนแรกจะแยกกันกลับ เพราะคนดีต้องไปดูงานร้านลูกค้าที่พารากอนต่อ ส่วนเราจะกลับบ้านเอง ... แต่พอปวดท้อง คนดีเลยใจดี ขับรถวนมาส่งก่อน แล้วค่อยวนกลับไปดูงานต่อ


ขอบคุณคนดี ที่ใจดีเป็นเจ้ามือ และทำหน้าที่รับ-ส่งได้ครบถ้วนนะคะ ... ขอให้เป็นคนดี น่ารักแบบนี้ไปตลอดนะคะ และขอให้ความใจดี น่ารัก ส่งผลให้คนดีมีความสุขในทุกๆ วันค่ะ สุขสันต์วันเกิดค่า

23.1.53

พักร้อน ตะลอนภาคเหนือ : 8 (จบ)

ย้อนกลับไปดูวันที่เจ็ด ที่นี่ ค่ะ


วันสุดท้ายของทริปนี้แล้วค่ะ เป็นวันที่ตื่นมาแล้วทรมานที่สุด เพราะตกหมอนค่ะ ตื่นมาคอตึง บ่าตึง หลังตึง ... ยังดีที่เป็นวันสุดท้าย ถ้าเป็นวันแรกๆ คงเซ็ง เพราะจะเดิน จะนั่ง จะหันหน้า ลำบากเกิน แล้วยังต้องนั่งรถอีกหลายร้อยกิโลด้วย แย่แน่ๆ


จัดระเบียบร่างกาย อาบน้ำ เก็บของ เตรียมตัวไปหามื้อเช้าค่ะ ... เพราะราคาห้องพักถูกมากเลยไม่มีอาหารเช้ามื้อหลักๆ ให้ เราก็วางแผนจะเข้าไปตลาดไปหาอะไรรองท้อง


แต่พอเดินลงมาชั้นล่าง ก็เจอโต๊ะตัวนี้ค่ะ ... อาหารเช้าแบบเบาๆ ง่ายๆ พอรองท้อง ที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ค่ะ ... คุกกี้ แซนด์วิช ขนมปังปิ้ง กาแฟ โอวัลติน จัดการบริการตัวเองได้ตามชอบใจค่ะ


ขนมปังปิ้งช่วยชีวิตไว้ได้ค่ะ คุกกี้เกือบดี แต่แซนด์วิชนี่แย่เลยค่ะ เพราะหวานเกิน ... ถ้าใครจะมาพักที่นี่ แนะนำให้ติดคุกกี้ แครกเกอร์มาด้วยนะคะ


รองท้องสักหน่อยแล้วก็ออกเดินทางกันต่อค่ะ วางแผนว่าจะตรงไปนครสวรรค์ไปทานข้าวมื้อ Brunch ที่นั่น ... แต่เปลี่ยนแผนกระทันหัน เลี้ยวจากถนนเส้นหลักเข้าไปตามทางคดเคี้ยวอีกครั้ง


วิ่งคดเคี้ยวไปมาท่ามกลางเขา มุ่งตรงไป ตลาดดอยมูเซอ ค่ะ ... ตอนแรกวางแผนจะพักคืนสุดท้ายที่ อช.ตากสินมหาราช แล้วเช้าก็แวะเดินตลาดตรงนี้ก่อน แล้วค่อยกลับ แต่สงสารคุณพิไลที่นอนเต้นท์แล้วเข้าห้องน้ำไม่สะดวก เลยยกเลิกแผนนี้ไป ...แต่คนดีสนใจตลาดนี้ เลยยอมขับรถวนเข้าไปจากเส้นทางหลักราวๆ 30 กม.


ไปถึงก็เจอ ชาวมูเซอ เจ้าของพื้นที่อยู่กันเต็มเลยค่ะ แต่งตัวกันเต็มที่สีสันสดใส ... ส่วนใหญ่รวมตัวกันอยู่แถวลาดจอดรถ มีที่เปิดแผงขายของไม่มากนัก ของส่วนใหญ่ก็เป็นผัก ผลไม้ อาหารสด และเครื่องปรุง รวมไปถึงต้นไม้แปลกๆ


แต่ที่เราแวะอุดหนุนกันก็คือ แผงขายข้าวสาร ที่มีพ่อค้าหนุ่มน้อยคนนี้ขายอยู่ค่ะ ... หนุ่มน้อยคนนี้มีทั้งชื่อไทยและชื่อมูเซอค่ะ แต่เราสองคนชอบชื่อมูเซอ "ปาปา" มากกว่า ... สอบถามราคา และความแตกต่างของข้าวที่วางขาย จนได้รู้ว่า วันที่เราไปตรงกับ วันปีใหม่ของชาวมูเซอค่ะ ที่เห็นชุมนุมกันเยอะแยะ ก็เป็นชาวมูเซอจากเชียงใหม่ ลงมาเยี่ยมญาติที่ตากค่ะ


อุดหนุนข้าวของปาปาไปหลายถุง ก็ออกมาแวะแผงขายผักสดๆ ด้านหน้าค่ะ เบบี้แครอทมัดละ 10 บาท สด หวาน กรอบ อร่อยค่ะ ... เราซื้อของเสร็จไล่เลี่ยกับชาวมูเซอเชียงใหม่ออกเดินทางกลับพอดีค่ะ ... รถกระบะคันหน้าเดินทางขึ้นเหนือ ส่วนรถเราเดินทางลงใต้ค่ะ


ถนนช่วงตาก-กำแพงเพชร แย่มากค่ะ เป็นหลุม เป็นบ่อ นั่งกระเด้งกระดอนไปตลอดทาง ... สงสารคุณพิไลที่ต้องนั่งเบียดคู่ไปกับสัมภาระสารพัด ทั้งของสด ของแห้ง แต่เราก็ยังจอดแวะซื้อสารพัดกล้วยแปรรูปตรงช่วงกำแพงเพชรมาอัดแน่นกันบนรถเพิ่มค่ะ


ระหกระเหินไปจนถึงนครสวรรค์ ที่ตั้งใจว่าจะเป็นมื้อควบ เลยกลายเป็นมื้อเที่ยงไปซะเพราะไปถึงก็บ่ายแล้วค่ะ ... ไม่รู้จะไปฝากท้องไว้ที่ร้านไหนดี เปิดดูในแผนที่เห็นมีชื่อร้านแนะนำอยู่ 2-3 ร้าน แต่ก็ไม่อยากวนหา เลยตัดสินใจจอดแวะตรงร้านของฝากค่ะ


จอดที่หน้าร้านวัฒนพร เพราะเห็นมีก๋วยเตี๋ยวต้มยำขาย ... ร้านดูโล่งๆ เหงาๆ เพราะเลยเที่ยงมาพอสมควร อาหารเหลือให้เลือกไม่เท่าไหร่ เราสามคนเลยสั่งเส้นเล็กต้มยำเหมือนกันหมดค่ะ


รสชาติใช้ได้นะคะ เปรี้ยว เค็มกำลังดี ไม่ต้องปรุงเพิ่มค่ะ ... อิ่มท้องแบบง่ายๆ สบายๆ จ่ายไป 98 บาท แล้วก็แวะเข้าไปซื้อลูกชิ้นปลาลูกเล็กๆ เป็นของฝากเพิ่มอีกหน่อย


จากนั้นก็ยิงยาวตรงเข้ากรุงเทพฯ ค่ะ นครสวรรค์ - ชัยนาท - สิงห์บุรี - อ่างทอง - อยุธยา - ปทุมธานี แล้วก็กลับเข้ากรุงเทพฯ ... กลับถึงบ้าน ทริปตะลอนภาคเหนือ 2,200 กว่ากิโลเมตรก็จบลงค่ะ


เป็นทริปยาววววว ทริปแรกที่ออกตะลอนทัวร์ด้วยกันนานขนาดนี้ แล้วก็ไปในจังหวัดใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยไปด้วยกัน ... สบายบ้าง ลำบากบ้าง แต่ก็สนุก ... เหนื่อย เมื่อย ล้า แต่ก็ประทับใจที่ได้เห็นโลกกว้างๆ ... หงุดหงิด เถียง เสียงดัง บางช่วง แต่ก็รู้ว่าเราเป็นพาร์ทเนอร์ที่ร่วมมือกันได้


สรุปได้ว่า ทริปนี้เป็นทริปที่น่าประทับใจ และมีความทรงจำดีดีเยอะแยะค่ะ ... เป็นทริปที่จุดประกายแผนการท่องเที่ยวเส้นทางใหม่ๆ เส้นทางอื่นๆ ให้เราสองคนจูงมือกันตะลอนทัวร์อีก ส่วนจะไปที่ไหน เมื่อไหร่ ต้องติดตามดูกันต่อไปค่ะ


คนดีขา ขอบคุณนะคะที่ทำหน้าที่คนขับของทริปนี้ได้อย่างดีเยี่ยม ขอบคุณที่ช่วยดูแลคุณพิไล ... และขอบคุณที่ก้าวมาเป็นคู่หูตะลอนเที่ยวด้วยกัน ขอบคุณค่า

22.1.53

พักร้อน ตะลอนภาคเหนือ : 7

ย้อนไปดูวันที่หกได้ ที่นี่ค่ะ

เริ่มต้นวันใหม่บนดอยตุง ด้วยข้าวต้มอุ่นๆ สักชามก็เข้าทีดีนะคะ ... อาหารเช้าที่ครัวตำหนักมีให้เลือกว่าจะเป็น อเมริกันเบรคฟาสท์ หรือ ข้าวต้ม ค่ะ ซึ่งข้าวต้มก็มีให้เลือกทั้ง หมู ไก่ ปลา ... ที่เห็นในชามนี้เป็นข้าวต้มหมูค่ะ

จัดการข้าวต้ม ชาร้อน และน้ำส้มหมดนะคะ แต่เกรงว่าข้าวต้มจะไม่อยู่ท้อง เลยแวะซื้อ แมคคาเดีย นัท ครีม สลัช อีกแก้วค่ะ ... แก้วนี้ปลอดกาแฟ กินแล้วอิ่มทน อิ่มนานแน่ๆ ค่ะ


ตุนเสบียงลงท้อง และตุนเสบียงระหว่างทางเรียบร้อย ก็ออกตะลอนกันต่อค่ะ ... เพราะเห็นป้ายแนะนำว่ามี กุหลาบพันปี ที่สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง เลยอยากรู้ว่าเป็นยังไง อยากรู้ก็ต้องไปดูค่ะ


ไปตามป้ายบอกทาง แต่ไปเจอทางขึ้น พระธาตุดอยตุง ก่อน เลยแวะไปไหว้พระธาตุก่อนดีกว่าค่ะ ... ทางขึ้นค่อนข้างชันและแคบ คนดีเลยจอดรถไว้ตรงลานด้านล่าง แล้วเดินขึ้นบันไดไปต่อ


เพราะต้องขึ้นบันไดยาว คุณพิไลเลยขอตัวรออยู่ข้างล่าง ปล่อยเรากับคนดีตะกลายบันไดขึ้นไปด้วยกัน ... บันไดร้อยกว่าขั้น เหนื่อยพอควรค่ะ ขึ้นไปถึงแล้วก็เดินตีระฆังที่เรียงเป็นแนวยาวเข้าไปด้านใน แล้วก็เข้าไปไหว้พระธาตุต่ะ


รีบไหว้ รีบถ่ายรูป และรีบลงบันไดกลับค่ะ เพราะกลัวคุณพิไลรอนาน ... ลงมาแล้วก็ขับรถไปอีกสักนิดก็ถึง สวนรุกขชาติแม่ฟ้าหลวง


เดินเข้าไปด้านในก็มองหา ดอกกุหลาบพันปี เป็นอันดับแรกค่ะ ปรากฎว่าหน้าตาไม่ยักกะเหมือนดอกกุหลาบที่คุ้นเคย และมีหลายพันธุ์ หลายสีค่ะ ... ที่นี่มีดอกไม้ ต้นไม้ หลากหลายชนิด คล้ายกับที่สวนแม่ฟ้าหลวงนะคะ แต่ดูว่าพันธุ์ไม้จะต่างชนิดกันพอสมควร และนักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะค่ะ


เดินวนกันจนเริ่มเหนื่อย แต่ก็ยังไม่ทั่วทุกมุม แดดเริ่มแรง เลยชวนกันเคลื่อนขบวนดีกว่า ... ขึ้นรถ แล้วลงจากเขา มุ่งหน้าไปจุดหมายต่อไป มองหาร้านอาาหารระหว่างทางว่าจะกินที่ร้านไหนดี หมายตาร้านอาหารที่มีในหนังสือไกด์บุ๊ค แต่ว่าหาไม่เจอค่ะ เลยใช้ทฤษฏีส่วนตัวเลือกจากร้านที่มีรถจอดเยอะๆ สักหน่อย


ก๋วยเตี๋ยวลำดวน ... มีทั้งก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ก๋วยเตี๋ยวหมู ส้มตำ ขนมจีบ ซาลาเปา แต่เราเลือกก๋วยเตี๋ยวน้ำตากกันคนละชามค่ะ เพราะเบื่ออาหารเหนือ และอยากกินก๋วยเตี๋ยว ซดน้ำซุปร้อนๆ ง่ายๆ เบาท้องค่ะ


รสชาติก๋วยเตี๋ยวร้านนี้หวานโดดค่ะ แล้วยังหวานทน หวานนาน เพราะแม้จะปรุงรสอื่นเพิ่ม และกินไปครึ่งชามแล้ว ก็ยังหวานอยู่จนต้องปรุงอีกรอบ ... รสชาติไม่ค่อยถูกปากพวกเราเท่าไหร่ แต่เป็นร้านที่มีลูกค้าเข้าเรื่อยๆ นะคะ ... อิ่มแบบไม่ปลื้มมื้อนี้อยู่ที่ 75 บาท ค่ะ อิ่มแล้วก็ตะลุยเดินทางกันต่อ


อีกหนึ่งจุดหมายของเชียงรายที่อยากมาก็คือ วัดร่องขุ่น ค่ะ อยากมาชมว่างามแค่ไหน ... แล้วพอมาถึงได้เห็นกับตา ก็ไม่ผิดหวังค่า วัดอยู่ห่างจากถนนพหลโยธินเข้าไปในซอยนิดเดียวเท่านั้น จากริมถนนก็มองเห็นได้ง่ายค่ะ ไปวันธรรมดาแต่ก็มีนักท่องเที่ยวพอสมควรนะคะ


ปูนปั้นที่นี่วิจิตรบรรจงมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก แล้วเป็นสีขาวสะอาดสบายตา มองเพลิน ... แม้กระทั่งปลาในบ่อก็ยังมีแต่ปลาสีขาวค่ะ ... ด้านในพระอุโบสถกำลังมีการวาดลวยลายจิตรกรรมฝาผนัง ด้านที่เสร็จแล้วก็งดงาม ถ้าอยากเห็นต้องไปดูด้วยตาตัวเองค่ะ เพราะงดถ่ายรูปด้านในค่ะ


ห้องน้ำที่นี่ก็ขึ้นชื่อว่าสวยมาก แต่ตอนที่ไปกำลังปิดปรับปรุง เลยอดชมว่าข้างในจะสวยงามขนาดไหน ... ส่วนที่เห็นแล้วชอบใจ ก็ป้ายห้ามคนเมาสุราเข้าวัดค่ะ สวย เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนที่ไหนๆ ... เดินชมวัดเสร็จแล้วก็แวะไปดูร้านจำหน่ายภาพพิมพ์ผลงานของ อ.เฉลิมชัยค่ะ ด้านในงดถ่ายภาพ แต่มีภาพพิมพ์ผลงานของอ.ให้เลือกซื้อได้ตามชอบ ได้ภาพสวยและได้ช่วยกันสร้างวัดค่ะ ... ตรงด้านหน้าร้านมีแท่น และตราประทับวางอยู่ สงสัยเลยเดินเข้าไปดู เห็นว่ามีโปสการ์ดที่ระลึกจากทางวัดให้หยิบได้ฟรีค่ะ หรือจะช่วยหยอดบริจาคตามศรัทธาก็ได้ค่ะ หยิบการ์ดแล้วก็ประทับตราของทางวัดเป็นที่ระลึกมาได้ด้วย


ก่อนจะเดินกลับออกจากวัด ก็เจอตู้กระจกใบใหญ่ของแน่นนนนนนนนนนนนนน ... ตู้ Lost & Found รวบรวมบรรดาของที่นักท่องเที่ยว ญาติโยมทั้งหลายมาลืมไว้ที่วัดค่ะ มีของสารพัดค่ะ เสื้อ หมวก ร่ม กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์มือถือ ขวดนม รีเทนเนอร์จัดฟัน และอีกสารพัดค่ะ ... เห็นแล้วสงสัยว่าจะต้องขยายตู้เพิ่มอีกใบรึเปล่าค่ะ


ก่อนจะออกเดินทางกันต่อ ก็แวะซื้อของฝากตรงร้านค้าหน้าวัดสักหน่อย ... ถ้าใครแวะมาเที่ยวที่นี่ อย่าพลาดชิม ไอติมพรสวรรค์นะคะ เป็นไอติมกะทิรสชาติเข้มข้นค่ะ อร๊อย อร่อย


ใช้เวลาเพลินไปหน่อย ขึ้นรถได้คนดีก็เหยียบยาวววววววววว ค่ะ ผ่านทางพะเยา-ลำปาง เพราะคืนนี้เราจะไปพักรถ ค้างกันที่ตากค่ะ ... ผ่านแค่ 2 จังหวัด แต่ถนนช่วงลำปางยาวมาก จนได้ชมวิวอาทิคย์ตกบนถนนค่ะ หลังจากดูอาทิตย์ดวงโต ลับเหลี่ยมเขามาหลายวัน วันนี้ก็ดูแบบลับยอดไม้ ไหล่ถนนบ้าง ได้บรรยากาศอีกแบบค่ะ


คนดีเหยียบยิงยาวแบบไม่หยุดแวะเที่ยวตรงไหนอีก นอกจากหยุดพักรถ แวะเข้าห้องน้ำ แค่ครั้งเดียว ยังใช้เวลาจากเชียงราย ถึงตาก ราวๆ 5 ชั่วโมงค่ะ ... สงสารคุณพิไลที่ต้องนั่งรถซะเหนื่อย


กว่าจะถึง โรงแรมสวนสิน ที่จองไว้ก็ราวๆ 2 ทุ่ม ... หอบของชึ้นห้องพักแบบ 3 เตียง มีแอร์ ตู้เย็น ทีวี เครื่องทำน้ำอุ่นพร้อมค่ะ สะดวกสบายในราคา 470 บาทเท่านั้นค่ะ ... สภาพอาจจะไม่ได้หรูหรามากนัก แต่ก็นอนพักได้สบายค่ะ


คุณพิไลเหนื่อย เพลีย และไม่ค่อยสบายท้อง เลยงดข้าวเย็น ขอพักเลย ... แต่เราหิวค่ะ เห็นด้านหน้าโรงแรมมีร้านอาหาร หน้าตาเข้าที แล้วสามารถโทรสั่งมาที่ห้องได้ด้วย เลยใช้บริการซะเลย ข้าวราดกะเพราหมูสับไข่ดาว ยำวุ้นเส้น เป๊บซี่ น้ำแข็ง 170 ถ้วนค่ะ


ท้องอิ่ม นั่งพักให้สบายตัว ก่อนจะอาบน้ำ เข้านอน ชารจ์พลังเตรียมเดินทางกลับวันพรุ่งนี้ค่ะ ... วันนี้เที่ยวน้อย นั่งรถเยอะ เลยต้องการพักยาววววค่า


โปรดรอติดตามวันสุดท้าย

21.1.53

พักร้อน ตะลอนภาคเหนือ : 6

ย้อนกลับไปวันที่ห้า ที่นี่ ค่ะ


นอนสบาย หลับเต็มอิ่ม ก็ตื่นมาจัดการเบรคฟาสท์ บุฟเฟ่ต์ที่ห้องอาหารเล็กๆ ของโรงแรม ... ถึงห้องอาหารจะเล็ก แต่ก็ดูอบอุ่น สบายๆ และแม้จะมีเมนูให้เลือกไม่มาก แต่ก็อร่อยนะคะ


อิ่มแล้วก็ออกเดินทางค่ะ เลี้ยวออกจากโรงแรมเข้า ถ.พหลโยธิน ตรงดิ่งยิงยาวขึ้นทางเหนือ ... จุดหมายปลายทางอยู่ที่ อ.แม่สาย ค่ะ


ถ้าเห็นตุงสีทองแบบนี้ แสดงว่าใกล้จะถึงแล้วค่ะ ... ระหว่างทางเราก็ลังเลว่า จะข้ามฟากไป ตลาดท่าขี้เหล็ก ฝั่งพม่ารึเปล่า เพราะถ้าข้ามไปก็จะต้องไปทำบัตรผ่านแดน ตรงที่ทำการอำเภอค่ะ ... เพราะยกเลิกการทำบัตรผ่านแดนตรงหน้าด่านแล้วค่ะ


คิดไปคิดมา ไม่ข้ามไปดีกว่าค่ะ เดินชมตลาดแม่สายก็พอ เพราะเราไม่ได้นึกอยากช้อปปิ้งซื้ออะไร ... แค่อยากเดินชมตลาด ดูของ เก็บบรรยากาศเพลินๆ ค่ะ ... เดินเล่นถ่ายรูป ดูของริมทาง ตามถนน ตามซอยต่างๆ ไปเรื่อย มองหาของฝากไปฝากสาวๆ ที่ออฟฟิศดีกว่า ... สะดุดตากับกำไลสานสีสวยๆ นี่หล่ะค่ะ


เดินเรื่อยๆ เพลินๆ แป๊บเดียวก็ใกล้เที่ยงแล้ว แดดเริ่มร้อน ไม่มีอะไรดึงดูดใจ ... เคลื่อนพลย้ายที่ดีกว่า ตอนขามาเห็นร้านนึงสะดุดตา น่าสนใจ เลยชวนคนดีวนรถไปแวะ


ร้าน จัน กะ ผัก ที่ตั้งอยู่ในบริเวณ ศูนย์พัฒนาพันธุ์พืชจักรพันธ์เพ็ญศิริ บรรยากาดี๊ดี มีดอกไม้สวยๆ เพียบค่ะ ... มีเครื่องดื่ม ชา กาแฟ น้ำผลไม้ และ เมนูอาหารเบาๆ ทานง่ายๆ สบายท้องให้บริการ


เหมาะเลยค่ะ เพราะรู้สึกหิวนิดหน่อย แค่อยากรองท้องเบาๆ ... ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ส้มตำ สลัดผักสดๆ และหมูเส้น ตอบโจทย์ได้พอดีค่ะ ... สลัดที่นี่เป็นสลัดบาร์ที่ตักได้เองตามชอบใจค่ะ มื้อนี้ราคาอาหารรวมเครื่องดื่มอยู่ที่ 422 บาทค่ะ


ท้องอิ่มเรียบร้อย ขึ้นรถเดินหน้าขึ้นดอยค่ะ ... จุดหมายของบ่ายวันนี้อยู่ที่ พระตำหนักดอยตุง ค่ะ ในแผนที่บอกว่าระหว่างทางขึ้นไปมีจุดชมวิว ตรง กม.12


ตอนแรกก็ไม่สนใจ แต่ขอแวะดูสักนิด พอเลี้ยวรถเข้าไปก็ต้องร้องว้าววววววววววววววววววววววววว ... วิวสวยมากกกกกกกกกกกกก มีระเบียงไม้ไผ่ให้ออกไปยืนชมวิวและถ่ายรูป มีป้ายบอกว่ารับน้ำหนักได้ 30 ตัน แต่สภาพของระเบียงดูไม่น่าไว้ใจค่ะ ก้าวลงไปดังกรอบ แกรบ ยวบยาบ น่าหวาดเสียวที่สุด


แวะพักถ่ายรูปจนสบายใจแล้ว ก็เดินหน้ากันต่อค่ะ ... ทางไปพระตำหนักดอยตุงหาไม่ยาก แต่ว่าที่พักของเราคืนนี้ ที่ ดอยตุงลอดจ์ นี่ซิคะ อยู่ตรงส่วนไหนของพื้นที่ในโครงการน้อ


เงอะๆ งะๆ อยู่พักก็ได้ความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ช่วยชี้ทางค่ะ ... ไปติดต่อเช็คอิน จ่ายค่าห้องพัก 3000 บาท รวมเตียงเสริมและอาหารเช้า แล้วก็ขนของเข้าห้องพัก ... ห้องพักเรียบๆ แต่สิ่งอำนวยความสะดวกครบค่ะ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น พร้อมค่ะ มีอินเตอร์เน็ทให้ใช้ แต่ต้องไปซื้อชั่วโมงจากเจ้าหน้าที่ค่ะ


เก็บของเรียบร้อย ก็ออกไปแจ้งเจ้าหน้าที่ขอให้รถมารับขับขึ้นไปส่งที่ด้านบนค่ะ ... รถจอดเป๊ะตรงหน้าเคาเตอร์จำหน่ายตั๋วเลยค่ะ ซื้อตั๋วรวมเข้าชม 3 จุด แล้วก็เริ่มเดินชมกันเลยค่ะ


จุดแรก หอแห่งแรงบันดาลใจ เป็นนิทรรศการพระราชประวัติ ราชสกุลมหิดลค่ะ ... ด้านในห้ามถ่ายภาพเลยมีเพียงแค่ป้ายด้านหน้ามาฝากค่ะ แต่ถ้าใครแวะไปเชียงราย ขึ้นไปเที่ยวดอยตุง ที่นี่เป็นจุดที่ไม่ควรพลาดค่ะ ... รูปภาพและข้อความสั้นๆ ในส่วนแรกของนิทรรศการ น่าประทับใจมากกกกกกกกกกกกค่ะ


เพลิดเพลิน และเผลอใช้เวลาในหอแห่งแรงบันดาลใจไปพอสมควรค่ะ ... ต้องรีบออกมาเดินชมจุดต่อไปค่ะ เดี๋ยวจะหมดเวลาทำการไปซะก่อน รีบตรงดิ่งขึ้นไปชม พระตำหนักดอยตุง


จะเข้าชมพื้นที่ส่วนนี้ต้องแต่งตัวเรียบร้อยนะคะ จะมีเจ้าหน้าที่ตรวจอยู่ด้านหน้า ถ้าใครไม่ผ่านเกณฑ์ ที่นี่มีเสื้อและกางเกงให้สวมทับค่ะ ... พร้อมแล้วก็เข้าไปชมด้านในกันเลยค่ะ


มีรอบเวลาในการเข้าชมพระตำหนักค่ะ และงดถ่ายภาพภายใน แต่พื้นที่บริเวณด้านหน้า บริเวณสวนถ่ายได้ค่ะ ที่นี่มีดอกไม้สวยๆ หลากสีหลากชนิดให้ชม ... สวยๆ งามๆ ตื่นตาตื่นใจ


อิ่มตา อิ่มใจ ไปแล้ว ก็ย้ายไปจุดสุดท้ายค่ะ สวนแม่ฟ้าหลวง ... พื้นที่กว้างงงงงง และปิดทำการช้ากว่า 2 จุดแรกค่ะ เดินเพลินๆ ชมต้นไม้ ดอกไม้ นานาพรรณ ได้เพลินสุดๆ ค่ะ มุมไหนๆ ก็สวยไปหมด


มีร้านกาแฟดอยตุงอยู่ภายในสวนด้วยค่ะ นั่งพัก จิบกาแฟไป ชมสวนไปก็เข้าทีนะคะ ... แต่จุดสำคัญที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ก็คือ สวนตรงกลาง กับ รูปปั้นความต่อเนื่อง ค่ะ ... เดินชมสวนตอนแดดร่มลมตก ที่นักท่องเที่ยวทยอยกลับไปพอสมควรแล้ว เดินสบาย ถ่ายรูปสะดวกค่ะ


เดินจนทั่วพลังงานหมด ก็ต้องเติมพลังกันค่ะ มื้อนี้ฝากท้องที่ ครัวตำหนัก ห้องอาหารของที่นี่ค่ะ ... เลือกได้ว่าจะนั่งด้านในร้าน หรือ จะนั่งรับลมด้านนอกค่ะ


เราเลือกรับลมสบายๆ ด้านนอก เพราะอากาศเย็นกำลังดี สั่งอาหารเบาๆ ง่ายๆ มาทานให้เข้ากับบรรยากาศค่ะ ... ต้มยำเห็ด ผัดผักบุ้งทอดกรอบ หมูยอนึ่ง และน้ำพริกสะป๊ะ ที่มีน้ำพริก 4 แบบให้ได้ลองชิม เสิร์ฟพร้อมกับผักสด ผักลวก และ แคบหมูค่ะ


มื้อนี้เป็นมื้อที่อร่อยมากกกกกก ค่ะ น้ำพริกรสชาติดีทั้ง 4 แบบ ต้มยำก็รสดี ถ้ามีเตาแบบอุ่นร้อนตลอดก็คงจะเยี่ยมค่ะ ... มื้อนี้อิ่มอร่อย ที่ราคา 403 บาทค่ะ


อิ่มเรียบร้อย ก็แจ้งเจ้าหน้าที่ขอรถมารับ ลงไปส่งที่อาคารที่พัก ... เอกเขนกดูทีวี พักผ่อน เตรียมตัวเดินทางยาวววววววว วันพรุ่งนี้ค่ะ
โปรดติดตามตอนต่อไป ที่นี่ ค่ะ

20.1.53

พักร้อน ตะลอนภาคเหนือ : 5

ย้อนไปดูวันที่สี่ ที่นี่ ค่ะ


ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ตรี๊ดดดดด .. ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ตรี๊ดดดดดดด เสียงมือถือดังปลุกตอนตีห้า ... ฮ้าวววววววว ยังอยากซุกตัวนอนอยู่ในผ้าห่ม แต่ก็จำใจต้องงัดตัวเองลุกออกมา เพราะมีภารกิจยามเช้าค่ะ


ล้างหน้าแปรงฟัน ออกจากบ้านพักไปขึ้นรถ เราจะไปชมอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวซึ่งอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานไปประมาณ 8 กม. ค่ะ ... อากาศหนาวมากกกกกกกกกกกกกกกกกก


คนดีขับรถไปตามทางคดเคี้ยว เราเองก็ช่วยเล็งทาง ช่วยลุ้น เพราะทางไม่คุ้น และไม่รู้พิกัดที่แน่นอน ... ได้แต่มองเข็มไมล์ว่าระยะทางผ่านไปแค่ไหนแล้ว จนคิดว่าเลยแน่ เลยต้องย้อนกลับมาค่อยๆ สาดไฟ เล็งป้าย แล้วเราก็เจอป้าย จุดชมวิวค่ะ


ฟ้ามืดตึ๊ดตื๋อ ขยับตัวออกจากรถไปสังเกตวี่แววดวงอาทิตย์ และหมอก แต่มองอะไรไม่เห็นเลย ... รู้แต่ว่าหนาวมากกกกกกกกกก


รอ ร้อ รอ ให้ดวงอาทิตย์ค่อยๆ แง้มตัวออกมาทีละนิด ... ไม่มีทะเลหมอกเป็นแนว แต่เป็นเงาบางๆ ลอยอยู่ทั่ว ... สุดท้ายก็มีแสงสว่างค่ะ เห็นแต่แสง ไม่เห็นตัว เพราะเมฆเยอะจัด


บรรยากาศยามเช้า ณ ความสูงเท่านี้ อากาศดี สดชื่น แต่หนาวววววววววววววววว ... พอแน่ใจว่าไม่เจอดวงอาทิตย์กลมโตแน่ๆ ก็ชวนกันขึ้นรถย้อนกลับไปที่บ้านพัก ... ก่อนเข้าบ้านพักขอแวะดูเทอร์โมมิเตอร์ เช็คอุณหภูมิหน่อย ตัวเลขอยู่ที่ 12 องศาเซลเซียสค่ะ


มิน่าเล่าถึงได้หนาวนัก ขนาดนอนในบ้านพักที่ปิดประตูหน้าต่างมิดชิด ใส่ชุดนอนแบบตอนที่นอนเต้นท์บนดอยเสมอดาว แต่ก็ยังหนาวสุดๆ ... ขนาดมีฟูกที่นอน มีผ้านวม แต่ก็ยังรู้สึกตลอดคืนว่าหนาวจัง ... กลับถึงที่พักเลยขอนอนตุนเอาแรงอีกนิด รอให้มีแสงแดดส่องสว่างสร้างความอุ่นสักหน่อย เราค่อยออกเดินทางค่ะ


ราวๆ 8 โมง สมาชิกก็ตื่นพร้อมหน้าเราอาบน้ำ แต่คุณพิไลกับคนดีขอแค่อาบเฉพาะส่วน ... ดื่มกาแฟ โอวัลติน กินโจ๊กกึ่ง กับ ไข่เจียวภูคาที่เหลืออยู่ รองท้องพอให้มีแรงก็ได้เวลาออกเดินทาง


คนดีขับรถไปลุ้นไปอีกแล้วค่ะ ก็ดูทางซิคะ ถนนบนเขาสูงเสียดฟ้า ซ้ายขวาเห็นวิวกว้างแบบพาโนรามา ... คนกลัวความสูงเลยใจสั่น หวั่นไหว


แล้วขาลงจากเขาก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะทางชัน และคดโค้ง แล้วยังมีโค้งหักศอกให้ตื่นเต้นเป็นระยะ ... เปิดกระจกรับลมเย็นชื่นใจ แต่สักพักก็ได้กลิ่นไหม้ คนดีบอกว่าน่าจะเป็นกลิ่นผ้าเบรคไหม้ เพราะต้องเหยียบลากยาวต่อเนื่องเป็นช่วงๆ ... เลยต้องระมัดระวังและลุ้นกันน่าดู


สุดท้ายเราก็ลงมาพื้นราบด้วยความปลอดภัย ยิงยาวกันต่อค่ะ จุดหมายอยู่ที่ภูลังกา จ.พะเยา ... ใช้เส้นทาง ปัว - ท่าวังผา - สองแคว สองข้างทางมีวิวสวยๆ ให้ดูอีกแล้วค่ะ ขึ้นๆ ลงๆ เขาไปตลอด บางช่วงวิ่งไปตามสันเขา ... บรรยากาศดี อากาศดี ขับรถเปิดกระจกรับลมธรรมชาติได้ตลอดค่ะ


ทางเริ่มวกไปวนมา เราก็หลับไปอีก ... เป็นเนฯ ที่บอกทางคนขับเป็นระยะว่าให้สังเกตป้ายเส้นทางไหน ยึดทางหลวงเส้นไหนเป็นหลัก แล้วหลับๆ ตื่นๆ มาช่วยดูทางเป็นระยะ


จนเข้าใกล้จุดหมายที่เราตั้งใจจะเป็นที่พักคืนนี้ ภูลังการีสอร์ท ก็ช่วยกันดูทางหาเส้นทางค่ะ ... เจอทางเข้าแล้ว ขับเข้าไปแล้ว แต่เข้าไปไม่เจอใครเลยค่ะ เพราะเป็นวันธรรมดาที่ไม่มีแขกเข้าพัก ดูแล้วเราหน้าจะเป็นแขกชุดเดียวของที่นี่


วิวสวย บรรยากาศดี มองเห็นวิวกว้าง และเห็นเส้นทางที่เราเพิ่งผ่านมา ... แต่ว่าเราอาจจะอดอยากและหิวโหยเพราะไม่มีอะไรทานแน่ๆ ค่ะ ... ยืนรออยู่พักใหญ่ก็ยังไม่มีคนดูแลออกมาแสดงตัว เราเลยตัดสินใจเปลี่ยนแผนกระทันหัน จากที่กะว่าจะให้รถ และคนขับได้พักจากการขับลงเขา เปลี่ยนเป็นยิงยาวผ่านช่วงเขาที่เหลือ ตรงเข้าไปที่เชียงรายเลยค่ะ


ใช้เส้นทาง เชียงคำ - เทิง ตรงเข้าเชียงรายค่ะ ... ระหว่างทางก็อาศัยมือถือตัวใหม่ของคนดี เข้าเน็ท ค้นหาข้อมูลที่พักว่าเราจะพักที่ไหนดี ... โรงแรมในเชียงรายเยอะ แต่ที่ไหนจะเหมาะกับเรา นึกขึ้นได้ว่า คุณบี๋ bearberry เคยทำรีวิวเอาไว้ 2-3 ที่ เลยเข้าไปดู เช็คพิกัดที่ตั้ง แล้วลองโทรเช็คค่ะ


ลงเอยที่ ปาล์มการ์เด้น โรงแรมขนาดกะทัดรัดที่อยู่ไม่ไกลจากห้าแยกพ่อขุน ... ห้องพักขนาดกะทัดรัด มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบ ทีวี มีช่องเคเบิล wi-fi ใช้ฟรี เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น พร้อม ... ราคารวมเตียงเสริมและอาหารเช้าอยู่ที่ 1700 บาทค่ะ


ปล่อยให้คุณพิไลได้งีบสักพัก ส่วนคนดีก็จัดการเคลียร์งาน คุยโทรศัพท์สั่งงาน ตามงาน เช็คงาน ... เราก็เอกเขนก ดูทีวี เล่นเกมไปเรื่อย


จนหกโมงกว่า ก็ชวนกันไปหาอะไรทานค่ะ เพราะหิวโหยกันเต็มที่แล้ว ... คนดีโทรไปขอข้อมูลจากลูกค้าที่สนิทกันที่มีญาติอยู่เชียงราย ว่ามีร้านอาหารไหนน่าสนใจบ้าง

จากหลากหลายร้านที่ได้คำแนะนำมา ร้านสลุงคำ อยู่ในเส้นทางที่เราเดินทางไปจากโรงแรมได้สะดวก และน่าจะหาไม่ยากค่ะ ... ร้านอยู่ติดริมถนนพหลโยธิน อยู่ข้างโรงเรียน (จำชื่อไม่ได้ค่า) หาง่ายค่ะ จอดรถได้ที่ริมถนนเลยค่ะ


รสชาติอาหารที่นี่ใช้ได้เลยค่ะ ... น้ำพริกหนุ่ม อร่อย คนดีชอบใจมากจนต้องสั่งถ้วยที่สอง ... เห็ดหอมสดอบซีอิ๊ว ก็หอม เค็มปะแล่มๆ พอบีบมะนาวก็รสชาติอร่อยดี ... ปวยเล้งผัดน้ำมันหอย ผักสดๆ ผัดมาหวานอร่อย ... หมูรมควัน รสดี ไม่เหนียว ... แต่ แกงเลียง รสไม่เข้มข้นเท่าไหร่ค่ะ ... ค่าเสียหายมื้อนี้ 590 บาทค่ะ


อิ่ม อร่อย กำลังสบายท้อง เพราะเผื่อท้องไว้สำหรับร้านไอติมกะทิที่คุณลูกค้าแนะนำมาด้วย ... แต่ว่าหาพิกัดร้านที่ชัดเจนไม่ได้ ลองถามพนักงานในร้านก็ได้เส้นทางมาคร่าวๆ ดูแล้วต้องขับรถไปอีกทางห่างจากโรงแรมพอสมควร เลยยกเลิกของหวาน ตรงกลับโรงแรมค่ะ


ให้คนดีกับคุณพิไล ได้พักยาวๆ เพราะคนดีขับรถไกล ส่วนคุณพิไลก็นั่งรถยาว น่าจะเหนื่อยกันทั้งคู่ ... อาบน้ำ เตรียมเข้านอน ชาร์จแบตไว้สำหรับเดินทางพรุ่งนี้ต่อดีกว่าค่ะ


ติดตามวันที่หก ที่นี่ ค่ะ

19.1.53

พักร้อน ตะลอนภาคเหนือ : 4

ย้อนไปดูวันที่สาม ที่นี่ค่ะ


เริ่มต้นวันด้วยอาหารเช้าค่ะ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ก่อนเราจะออกเดินทางก็ต้องเติมพลังค่ะ ... อาหารเช้าที่ศศิดารา มีชุดอาหารเช้าให้เลือก 4 ชุดค่ะ


ชุดอเมริกันเบรคฟาสท์ ที่มีให้เลือก 2 แบบ ว่าจะเป็น ไข่ดาว หรือ ออมเลท แล้วมีชุดข้าวต้ม และ ชุดข้าวราดผัดกะเพรา ... เข้าใจว่าวันที่มีแขกเข้าพักเยอะ น่าจะเป็นบุฟเฟ่ต์ให้ตักเองค่ะ


ท้องอิ่มแล้ว แต่ยังไม่ออกเดินทาง คนดีขอเข้าไปเปิดคอมฯ ต่อเน็ท เช็คเมล์ ส่งไฟล์งานให้ลูกค้าก่อน ... ส่วนเราก็เอนหลังชาร์จพลังรอ


เคลียร์งานเรียบร้อยก็ออกเดินทางได้ค่ะ ... วนรถขึ้นไปบนเขาน้อยที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมค่ะ จริงๆ พี่ไกด์ที่นำทัวร์นั่งรถรางชมเมืองเมื่อวาน แนะนำว่า ควรจะขึ้นมาดูวิวดวงอาทิตย์ตกตอนเย็น แต่เราวนรถกลับมาไม่ทันดวงอาทิตย์แน่ๆ ขอขึ้นมาชมวิวยามเช้าที่ค่อนไปตอนสายดีกว่า


เราขอเลือกขึ้นมาทางรถ วนรถขึ้นมาจอดที่ลานด้านบน แทนที่จะเดินขึ้นบันไดยาวววววววว เพราะถึงอากาศจะเย็นสบาย แต่ไต่บันไดขนาดนี้คงเหงื่อตก ... วนรถมายังรู้สึกว่าทางชัน วกวนอยู่นิดนึงก็ถึง "วัดพระธาตุเขาน้อย"


จอดรถเสร็จก็รีบเดินไปบริเวณลานชมทิวทัศน์ ที่ประดิษฐานพระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน ... พระพุทธรูปปางประทานพรที่สร้างขึ้นเนื่องในมหามงคลฯ ตอนในหลวงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบค่ะ


ตรงจุดนี้สามารถมองเห็นวิวตัวเมืองน่านได้รอบเลยค่ะ ... แหม เห็นแบบนี้แล้วก็ชักเสียดาย ถ้าขึ้นมาดูตอนอาทิตย์ลับฟ้า หรือ เพิ่งเริ่มต้นวันใหม่ บรรยากาศจะดีขนาดไหนน้อ


ชมวิวจนจุใจ และไหว้พระเรียบร้อย ก็ขึ้นรถออกเดินทางกันต่อค่ะ ... มุ่งหน้าไป อ.ปัว ระหว่างทางสามารถแวะชม หอศิลป์ริมน่าน และ ดูต้นดิกเดียม ที่วัดปรางค์ ได้ค่ะ แต่เพราะเนฯ หลับ คนขับเลยยิงยาวพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างเดียวค่ะ


ทริปนี้นั่งรถแล้วหลับได้ตลอดทางค่ะ เพราะมีระบบอัตโนมัติในตัว พอเจอทางคดโค้ง วกไปวนมาเมื่อไหร่ พักเดียวจะหลับป๊อกไปได้ ... แต่พอใกล้ทางไป อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ก็ต้องตื่นมาช่วยคนดีลุ้นค่ะ


เพราะทางคดโค้งไปมา สูงกว่า ชันกว่า โค้งกว่า ทางขึ้นอุทยานแห่งชาติศรีน่านเมื่อวันก่อน และมีหลายจุดเป็นโค้งหักศอก ... นอกจากลุ้นคนดีแล้ว ก็ต้องลุ้นโกลดี้ด้วยว่าจะหมดแรง หรือเกเร ระหว่างทางรึเปล่า


คนดีเป็นโรคกลัวความสูงอยู่แล้ว พอมาเจอถนนเส้นนี้ที่ไต่ขึ้นเขาสูง และบางช่วงถนนแคบเห็นหุบเหวด้านข้าง หรือเห็นวิวโล่งกว้าง ... คนดีก็ออกอาการ มือไม้จะอ่อน เพราะหวาดเสียว เลยต้องนั่งกำกับให้คนขับมองแต่ถนนอย่างเดียว ส่วนเราชื่นชมวิวซ้ายขวาอย่างเพลิดเพลิน


วกๆ วนๆ ลุ้นกันจนเหนื่อยก็ขึ้นมาถึง อุทยานแห่งชาติดอยภูคา แล้วค่ะ อากาศดีมากค่ะ สดชื่น ขนาดบ่ายโมงแล้วยังเย็นฉ่ำ ... มาถึงก็ติดต่อที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก่อนค่ะ ติดต่อบ้านพักที่โทรมาจองไว้ ... จริงๆ ทำเรื่องจองผ่านเว็บของกรมอุทยานฯ ได้เลยค่ะ แต่ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะนอนเต้นท์ มาเปลี่ยนใจเอาระหว่างทางเพราะสงสารคุณพิไล


ได้บ้านพักเรียบร้อย ท้องที่ครางมาตลอดทางก็ร้องสนั่นขึ้น เลยฝากท้องไว้ที่ร้านอาหารของ อช. นี่หล่ะค่ะ ... พอดีเมื่อครู่ใหญ่ มีกรุ๊ปทัวร์ใหญ่แวะมาทานข้าวเที่ยง เพิ่งกลับไป เลยลองถามดูว่ามีอะไรให้ทานบ้าง


ผลออกมาดังนี้ค่ะ น้ำพริกอ่อง ต้มยำไก่ ส่วนไข่เจียวสั่งเพิ่ม ... อาหารง่ายๆ 3 อย่าง รสชาติพอไหวค่ะ ต้มยำไก่รสคล้ายซุปไก่ ที่เปรี้ยวปะแล่มๆ นิดหน่อย ไม่แย่ แต่ก็ไม่ทำให้ปลื้ม ... น้ำพริกอ่องก็รสมาตรฐานค่ะ ... ไข่เจียว เยี่ยมที่สุด ... มื้อนี้ค่าเสียหาย 210 บาทค่ะ


อิ่มแล้วก็ไปเดินย่อยกันหน่อยค่ะ ... ช่วงที่เรามา ดอกพญาเสือโคร่ง (ซากุระเมืองไทย) เพิ่งโรยไป ส่วน ดอกชมพูภูคา ก็เตรียมตัวจะบานเดือนหน้า ... ไม่มีดอกไม้สวยๆ ให้ดู แต่ก็มีต้นไม้หายากให้ดูค่ะ


กระโถนพระฤาษี ยังบานอยู่พอดีค่ะ ... ไต่ลงบันไดตามทางเดินลงไปราวๆ ร้อยกว่าขั้น ไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ แล้วเดินฉีกไปอีกทางนึง มีน้องเจ้าหน้าที่มาช่วยเดินนำทางไปชม เพราะออกนอกเส้นทางหลักที่ทำไว้ค่ะ



ดูดอกไม้หน้าตาสวยแปลกแล้ว ไต่บันไดกลับขึ้นมานั่งพักให้หายหอบ หายเหนื่อย ... ก็ขึ้นรถ ขนสัมภาระไปลงที่บ้านพักค่ะ


ได้บ้านพักหมายเลข 106/1 เป็นบ้านพักสำหรับ 4 คน ราคา 800 บาทค่ะ มีฟูกนอน พร้อมเครื่องนอน เครื่องทำน้ำอุ่น กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า ผ้าขนหนู ... ที่ถูกใจมากๆ ก็คือ มีระเบียงเดินออกไปดูวิวได้ และเป็นหลังที่มองเห็นวิวอาทิตย์ตกได้พอดี แล้วยังอยู่ใกล้ร้านอาหารด้วยค่ะ


บ้านพักหลังนี้ไม่มีพัดลม แล้วยังปิดหน้าต่าง ประตูทุกบาน แต่ยังมีลมเย็นๆ ลอดเข้ามาได้ค่ะ ... ขนาดบ่ายแก่ แดดแรง แต่ก็ยังหนาวค่ะ นอนเอกเขนก อ่านหนังสือ เล่นเกม ยามบ่ายแบบหนาวๆ ค่ะ


ถึงจะเอกเขนก แต่ก็ยังห่วงเรื่องกินค่ะ เพราะไม่แน่ใจว่าร้านอาหารจะปิดกี่โมง เลยส่งคนดีไปถาม แล้วขอเมนูมาดูเพื่อสั่งอาหารไว้ก่อน ... เราเองอยากกินอาหารจานเดียวง่ายๆ แต่คุณพิไล รู้สึกไม่ค่อยสบายท้องอยากทานอะไรเบาๆ ส่วนคนดีอยากกินบะหมี่กึ่ง


ผลเลยลงเอยอย่างที่เห็นค่ะ ... สั่ง หมูกระเทียม กับ ไข่เจียวภูคา จากร้านอาหาร แล้วก็หยิบเสบียงที่เราตุนมาออกมาเสริม ... ไข่เจียวภูคา ชิ้นอวบหนา หน้าตาคล้ายเค้กเมืองตรังเลยค่ะ หนานุ่ม แค่แบ่งกันคนละชิ้นก็อิ่มแล้วค่ะ ... ส่วนหมูกระเทียม รสดีค่ะ ไม่เหนียวเกินไป ... มื้อนี้ค่าอาหาร 2 อย่าง + ข้าวเปล่า 1 จาน อยู่ที่ 160 บาท


นั่งกินข้าวไป ชมวิวอาทิตย์ลับมุมเขาไป บรรยากาศดี๊ดี ลมเย็นจนหนาว ... แล้วอาทิตย์ที่นี้ลับฟ้าเร้ว เร็ว เพราะราวๆ ห้าโมงครึ่งก็ลับหายไปลังเขาแล้ว ... บ้านหลังแรกที่โดนแดดส่อง คือบ้านพักของเราในคืนนี้ค่ะ


อิ่มแล้วก็กลับเข้าห้อง รีบอาบน้ำค่ะ ... ถึงจะมีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ แต่อากาศหนาวมาก รีบอาบน้ำดีกว่าค่ะ ... รีบอาบน้ำจะได้รีบนอน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามืดอีกแล้วค่ะ


ติดตามตอนต่อ ที่นี่ ค่ะ

18.1.53

พักร้อน ตะลอนภาคเหนือ : 3

ย้อนไปดูวันที่สอง ที่นี่ ค่ะ



... อรุณสวัสดิ์ สวัสดีจ้าดวงอาทิตย์ ...


เมื่อคืนได้เห็นดาวเต็มฟ้าบนดอยเสมอดาวแล้ว เช้าก็ต้องตื่นแต่มืดมาดู หมอก กับ ดวงอาทิตย์ ค่ะ ... หลังจากเจอเหตุการณ์เต้นท์ถล่มไปตอนตีสามกว่า ย้ายเครื่องนอนเข้าเต้นท์ใหม่แล้ว ก็หลับสลบไสลค่ะ ... กะว่าจะตื่นตอนตีห้ากว่า มาสะดุ้งตื่นตอนหกโมงนิดๆ ค่ะ


พอรูดซิปเต้นท์ก้าวออกไป ก็ปะทะกับลมแรงที่พัดเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง หนาวมากกกกกกกกกกกกกกก ... ตั้งสติได้ ก็เดินงัวเงียขึ้นเนินไปจุดชมวิวค่ะ


ถึงจะไม่มีทะเลหมอกเต็มแน่นอย่างที่อยากเห็น ... แต่วิวที่อยู่ตรงหน้า ณ เวลานั้น ก็คุ้มค่าที่นั่งรถคดเคี้ยวขึ้นดอย คุ้มที่ออกมายืนโต้ลมหนาวแบบนี้


ซึมซับบรรยากาศ บันทึกลงในความทรงจำเรียบร้อย ก็ชวนกันลงมาเติมความอุ่นค่ะ ... ตั้งเตา ต้มน้ำร้อน ชงกาแฟ โอวัลติน และ โจ๊กกึ่งสำเร็จรูปค่ะ ... ท้องอิ่มแล้ว ก็ชวนกันแปลงร่าง ล้างหน้าแปรงฟัน งดอาบน้ำค่ะ เพราะน้ำเย็นเฉียบเกิน ถ้าอาบอาจจะช็อคได้ ... จัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย ก็ขึ้นรถเดินทางเข้าเมืองน่านค่ะ


ด้วยความที่งัวเงีย และใจจดจ่อกับเส้นทาง เลยลืมแวะไปดู ผาชู้ กับ เสาดินนาน้อย สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงค่ะ ... ตรงดิ่งเข้าเมือง ก่อนจะถึงตัวเมืองก็จะเจอโรงแรมที่จองไว้สำหรับคืนนี้ค่ะ "ศศิดารา รีสอร์ท"


เข้าไปเช็คอิน แล้วเข้าห้องพัก อาบน้ำอุ่นให้สบายตัว เอนหลังเอาแรงสักหน่อย ... ห้องพักแบบสุพีเรีย ขนาดกะทัดรัด ราคา 1300 บาท รวมเตียงเสริมและอาหารเช้าค่ะ ... สิ่งอำนวยความสะดวกครบ เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น และมี wi-fi ให้ใช้ฟรี


พักพอสบายตัวแล้วก็ออกตะลุยเมืองค่ะ เพราะใกล้เที่ยง ท้องเริ่มหิว ... กางแผนที่ไปสุ่มเสี่ยงหาร้านอาหารกันต่อ หวังว่าวันนี้คงไม่ต้องแวะไปถามหาร้านอร่อยกับคุณตำรวจค่ะ


วนรถหาร้านอาหาร แต่ไปเจอะกับ "วัดมิ่งเมือง" เห็นป้ายบอกว่ามีศาลหลักเมืองอยู่ด้วย เลยวนเข้าไปสักการะสักหน่อย ... แต่พอวนรถเข้าไปก็ต้องร้องว้าวววววววววววววว


เพราะลายปูนปั้นที่ผนังพระอุโบสถ งดงามวิจิตรบรรจงมากค่ะ ... ศาลาจตุรมุขที่ประดิษฐานเสาหลักเมืองก็งดงาม ยอดเสาแกะสลักรูปพรหมพักตร์ สวยมาก


ชื่นชมกับความงามจนอิ่มใจแล้ว ก็ออกไปเติมท้องให้อิ่มค่ะ ร้านที่เลือกอยู่ไม่ไกลวัดค่ะ เดินไปนิดเดียวก็ถึง "ร้านเฮือนฮอม" ... เจอข้อมูลร้านนี้จากในเว็บ เลยลองแวะมาชิม


รสชาติอาหารส่วนใหญ่ ก็อยู่ในมาตรฐานที่ควรจะเป็น แต่นับว่ารสค่อนข้างอ่อนไปสำหรับมาตรฐานของเราค่ะ ... มีก๋วยเตี๋ยวลุยสวนที่เข้าท่าเข้าทาง เพราะน้ำจิ้มรสเด็ด ... แต่หมูสับทอดปลาเค็มนี่ไม่ผ่านเลยค่ะ คนดีที่เป็นคนสั่ง ชิมคำแรกถึงกับส่ายหัว ... ค่าเสียหายมื้อนี้อยู่ที่ 330 บาทค่ะ


อิ่มแบบไม่อร่อยเต็มที่ ก็มีแรงเที่ยวกันต่อค่ะ ... ขับรถไปอีกนิดก็ถึง "ข่วงเมือง" เป็นเหมือนลานอเนกประสงค์ที่ เหมือนอย่างสนามหลวงนี่หล่ะค่ะ ... ตรงนี้มีหลายจุดให้เที่ยวชมค่ะ เราเลยเอารถไปจอดไว้ตรงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เห็นว่ามี รถรางชมเมืองน่าน เลยแวะไปถามข้อมูลสักหน่อย


ปรากฎว่ารถรางมีรอบเย็น เลยชวนกันเดินสำรวจเดินเที่ยวใกล้ๆ ก่อนค่ะ ... เริ่มต้นที่ฝั่งตรงข้ามของศูนย์ "วัดภูมินทร์"


จุดเด่นของวัดนี้คือ พระอุโบสถทรงจตุรมุข ใจกลางพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ 4 องค์ หันพระพักตร์ออกด้านประตูทั้ง 4 ทิศ ... ไม่ว่าจะขึ้นบันไดจากทิศใด ก็จะพบพระพักตร์พระพุทธรูปทุกด้าน


แล้วยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง เล่าถึง ชาดก ตำนานพื้นบ้าน และความเป็นอยู่ของชาวน่านในอดีต ... ที่โด่งดัง ก็คือภาพ "ปู่ม่าน ย่าม่าน" ที่เป็นเหมือนภาพสัญลักษณ์ของ จ.น่าน ค่ะ


มาถึงน่านก็ต้องไปดูสัญลักษณ์อีกจุดของที่นี่ค่ะ นั่นก็คือ งาช้างดำ ที่อยู่ใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน ... แต่เดิมเรียกว่า "หอคำ" เป็นที่ประทับของเจ้าผู้ครองนครน่าน


น่าเสียดายที่กรมศิลปากรเพิ่งประกาศวันหยุดใหม่ ให้หยุดวันจันทร์-อังคาร แทนเสาร์-อาทิตย์ ... เราไปวันจันทร์พอดี เลยอดเข้าไปดู งาช้างดำ วัตถุมงคลคู่บ้านคู่เมืองน่าน สงสัยต้องกลับมาใหม่ค่ะ


ไม่ได้เข้าพิพิธภัณฑ์ ก็ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม ไปที่ "วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร" ... เป็นวัดหลวงที่เจ้าผู้ครองนครน่านใช้ประกอบพิธีสำคัญต่างๆ ทางพุทธศาสนา


ที่ฐานองค์พระเจดีย์ มีรูปปั้นช้างครึ่งตัว ด้านละ 5 เชือก และที่มุมทั้งสี่อีก 4 เชือก ดูคล้ายเอาหลังหนุน หรือค้ำ องค์เจดีย์ไว้


จริงๆ ในละแวกใกล้ๆ ยังมีอีกหลายวัดที่น่าสนใจนะคะ แต่แดดร้อนเหลือเกิน เดินชมแล้วเพลียแดดค่ะ ... เราเลยชวนกันไปขึ้นรถ มุ่งหน้าตรงไปวัดสำคัญประจำจังหวัดที่อยู่ห่างออกไปหน่อย "วัดพระธาตุแช่แห้ง"


เป็นพระธาตุประจำปีเถาะค่ะ ที่นี่ก็จะมีรูปกระต่ายอยู่ที่หน้าพระธาตุค่ะ มีทั้งที่เป็นรูปปั้น และเป็นตุ๊กตาที่มีคนเอามาบูชาค่ะ


บ่ายสามแล้ว ทั้งเหนื่อยและเพลียแดดที่แรงเหลือเกิน ถึงจะมีลมเย็นๆ พัดมาเรื่อยๆ แต่แดดก็แรงจัด ... เลยชวนกันไปหาที่นั่งพัก หาเครื่องดื่มเย็นๆ วนกลับไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอีกค่ะ ที่นี่มีทั้งศูนย์ข้อมูล และมีร้านกาแฟ ... ไปนั่งจิบเครื่องดื่มเย็นๆ หาข้อมูลเที่ยวเพิ่ม และจองที่พักของคืนต่อๆ ไป รวมถึงจองที่พักของทริปหัวหิน ตอนเดือนมีนาด้วยเลย ... ปักหลักยาว รอเวลานั่งรถรางชมเมืองน่านค่ะ


16.30 น. ได้เวลาขึ้นรถชมเมืองค่ะ ค่าบริการคนละ 30 บาท วันนั้นมีกันอยู่ 7 คน เจ้าหน้าที่ก็พาลัดเลาะไปชมรอบเมือง ... มีพี่ไกด์ใจดีที่คอยให้ข้อมูลต่างๆ แดดร่มลมตก บรรยากาศดี นั่งวนไปชมชีวิตความเป็นอยู่ที่สงบ สบายของคนน่าน เห็นแล้วชื่นตาชื่นใจค่ะ ... ใครที่แวะเที่ยวน่าน แนะนำให้มานั่งรถรางชมเมืองค่ะ


วนจนทั่วเมือง ใช้เวลาราวๆ 45-50 นาที ก็กลับมาส่งที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเหมือนเดิมค่ะ ... พี่ไกด์แนะนำว่าตอนค่ำให้กลับมาดูไฟตรงข่วงเมืองอีกครั้ง เพราะวัดภูมินทร์ กับ วัดช้างค้ำ จะเปิดไฟสวยงาม ให้บรรยากาศที่ต่างจากตอนกลางวันค่ะ


เราเลยชวนกันไปหม่ำมื้อเย็นกันก่อน ตอนแรกจะเลือกร้านที่มีป้ายแนะนำอยู่ตรงศูนย์ข้อมูลฯ แต่เจ้าหน้าที่แนะนำอีกร้านนึงมาให้ ... คนแนะนำยืนยันหนักแน่นให้ไปลอง เราก็ตามไปลองค่ะ


"ร้านกอร์เม่ต์" อยู่ติดริมแม่น้ำน่านค่ะ ติดแบบมีทางเดินริมน้ำคั่นไว้นิดนึงนะคะ แต่ก็นับว่าบรรยากาศดีค่ะ ... ดูอบอุ่น เหมือนมานั่งกินข้าวบ้านเพื่อน บรรยากาศผ่าน ต้องดูรสชาติอาหารกันต่อค่ะ


อาหารส่วนใหญ่รสชาติใช้ได้ค่ะ ยำก็จัดจ้าน ทานได้เพลินๆ ค่ะ ... เราไปนั่งเป็นโต๊ะแรกๆ ดูไม่ค่อยมั่นใจว่าจะรสชาติดีจริงรึเปล่า แต่พอค่ำลงก็มีลูกค้าเพิ่มมาเรื่อยๆ ค่อยยังชั่ว ... อิ่มแล้วก็ชำระค่าเสียหาย จ่ายไปที่ 620 บาท ค่ะ


ชวนกันวนกลับมาตรงข่วงเมือง มาชมวัด ชมไฟตอนค่ำค่ะ ... สวยแปลกตา ได้อีกบรรยากาศจริงๆ ค่ะ อิ่มอกอิ่มใจ กลับเข้าที่พักไปชาร์จแบตไว้สำหรับวันรุ่งขึ้นได้แล้วค่ะ


ติดตามวันที่สี่ ที่นี่ค่ะ