ย้อนไปดูวันที่สาม ที่นี่ค่ะ
เริ่มต้นวันด้วยอาหารเช้าค่ะ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ก่อนเราจะออกเดินทางก็ต้องเติมพลังค่ะ ... อาหารเช้าที่ศศิดารา มีชุดอาหารเช้าให้เลือก 4 ชุดค่ะ
ชุดอเมริกันเบรคฟาสท์ ที่มีให้เลือก 2 แบบ ว่าจะเป็น ไข่ดาว หรือ ออมเลท แล้วมีชุดข้าวต้ม และ ชุดข้าวราดผัดกะเพรา ... เข้าใจว่าวันที่มีแขกเข้าพักเยอะ น่าจะเป็นบุฟเฟ่ต์ให้ตักเองค่ะ
ท้องอิ่มแล้ว แต่ยังไม่ออกเดินทาง คนดีขอเข้าไปเปิดคอมฯ ต่อเน็ท เช็คเมล์ ส่งไฟล์งานให้ลูกค้าก่อน ... ส่วนเราก็เอนหลังชาร์จพลังรอ
เคลียร์งานเรียบร้อยก็ออกเดินทางได้ค่ะ ... วนรถขึ้นไปบนเขาน้อยที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมค่ะ จริงๆ พี่ไกด์ที่นำทัวร์นั่งรถรางชมเมืองเมื่อวาน แนะนำว่า ควรจะขึ้นมาดูวิวดวงอาทิตย์ตกตอนเย็น แต่เราวนรถกลับมาไม่ทันดวงอาทิตย์แน่ๆ ขอขึ้นมาชมวิวยามเช้าที่ค่อนไปตอนสายดีกว่า
เราขอเลือกขึ้นมาทางรถ วนรถขึ้นมาจอดที่ลานด้านบน แทนที่จะเดินขึ้นบันไดยาวววววววว เพราะถึงอากาศจะเย็นสบาย แต่ไต่บันไดขนาดนี้คงเหงื่อตก ... วนรถมายังรู้สึกว่าทางชัน วกวนอยู่นิดนึงก็ถึง "วัดพระธาตุเขาน้อย"
จอดรถเสร็จก็รีบเดินไปบริเวณลานชมทิวทัศน์ ที่ประดิษฐานพระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน ... พระพุทธรูปปางประทานพรที่สร้างขึ้นเนื่องในมหามงคลฯ ตอนในหลวงเจริญพระชนมพรรษา 6 รอบค่ะ
ตรงจุดนี้สามารถมองเห็นวิวตัวเมืองน่านได้รอบเลยค่ะ ... แหม เห็นแบบนี้แล้วก็ชักเสียดาย ถ้าขึ้นมาดูตอนอาทิตย์ลับฟ้า หรือ เพิ่งเริ่มต้นวันใหม่ บรรยากาศจะดีขนาดไหนน้อ
ชมวิวจนจุใจ และไหว้พระเรียบร้อย ก็ขึ้นรถออกเดินทางกันต่อค่ะ ... มุ่งหน้าไป อ.ปัว ระหว่างทางสามารถแวะชม หอศิลป์ริมน่าน และ ดูต้นดิกเดียม ที่วัดปรางค์ ได้ค่ะ แต่เพราะเนฯ หลับ คนขับเลยยิงยาวพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างเดียวค่ะ
ทริปนี้นั่งรถแล้วหลับได้ตลอดทางค่ะ เพราะมีระบบอัตโนมัติในตัว พอเจอทางคดโค้ง วกไปวนมาเมื่อไหร่ พักเดียวจะหลับป๊อกไปได้ ... แต่พอใกล้ทางไป อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ก็ต้องตื่นมาช่วยคนดีลุ้นค่ะ
เพราะทางคดโค้งไปมา สูงกว่า ชันกว่า โค้งกว่า ทางขึ้นอุทยานแห่งชาติศรีน่านเมื่อวันก่อน และมีหลายจุดเป็นโค้งหักศอก ... นอกจากลุ้นคนดีแล้ว ก็ต้องลุ้นโกลดี้ด้วยว่าจะหมดแรง หรือเกเร ระหว่างทางรึเปล่า
คนดีเป็นโรคกลัวความสูงอยู่แล้ว พอมาเจอถนนเส้นนี้ที่ไต่ขึ้นเขาสูง และบางช่วงถนนแคบเห็นหุบเหวด้านข้าง หรือเห็นวิวโล่งกว้าง ... คนดีก็ออกอาการ มือไม้จะอ่อน เพราะหวาดเสียว เลยต้องนั่งกำกับให้คนขับมองแต่ถนนอย่างเดียว ส่วนเราชื่นชมวิวซ้ายขวาอย่างเพลิดเพลิน
วกๆ วนๆ ลุ้นกันจนเหนื่อยก็ขึ้นมาถึง อุทยานแห่งชาติดอยภูคา แล้วค่ะ อากาศดีมากค่ะ สดชื่น ขนาดบ่ายโมงแล้วยังเย็นฉ่ำ ... มาถึงก็ติดต่อที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวก่อนค่ะ ติดต่อบ้านพักที่โทรมาจองไว้ ... จริงๆ ทำเรื่องจองผ่านเว็บของกรมอุทยานฯ ได้เลยค่ะ แต่ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะนอนเต้นท์ มาเปลี่ยนใจเอาระหว่างทางเพราะสงสารคุณพิไล
ได้บ้านพักเรียบร้อย ท้องที่ครางมาตลอดทางก็ร้องสนั่นขึ้น เลยฝากท้องไว้ที่ร้านอาหารของ อช. นี่หล่ะค่ะ ... พอดีเมื่อครู่ใหญ่ มีกรุ๊ปทัวร์ใหญ่แวะมาทานข้าวเที่ยง เพิ่งกลับไป เลยลองถามดูว่ามีอะไรให้ทานบ้าง
ผลออกมาดังนี้ค่ะ น้ำพริกอ่อง ต้มยำไก่ ส่วนไข่เจียวสั่งเพิ่ม ... อาหารง่ายๆ 3 อย่าง รสชาติพอไหวค่ะ ต้มยำไก่รสคล้ายซุปไก่ ที่เปรี้ยวปะแล่มๆ นิดหน่อย ไม่แย่ แต่ก็ไม่ทำให้ปลื้ม ... น้ำพริกอ่องก็รสมาตรฐานค่ะ ... ไข่เจียว เยี่ยมที่สุด ... มื้อนี้ค่าเสียหาย 210 บาทค่ะ
อิ่มแล้วก็ไปเดินย่อยกันหน่อยค่ะ ... ช่วงที่เรามา ดอกพญาเสือโคร่ง (ซากุระเมืองไทย) เพิ่งโรยไป ส่วน ดอกชมพูภูคา ก็เตรียมตัวจะบานเดือนหน้า ... ไม่มีดอกไม้สวยๆ ให้ดู แต่ก็มีต้นไม้หายากให้ดูค่ะ
กระโถนพระฤาษี ยังบานอยู่พอดีค่ะ ... ไต่ลงบันไดตามทางเดินลงไปราวๆ ร้อยกว่าขั้น ไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ แล้วเดินฉีกไปอีกทางนึง มีน้องเจ้าหน้าที่มาช่วยเดินนำทางไปชม เพราะออกนอกเส้นทางหลักที่ทำไว้ค่ะ
ดูดอกไม้หน้าตาสวยแปลกแล้ว ไต่บันไดกลับขึ้นมานั่งพักให้หายหอบ หายเหนื่อย ... ก็ขึ้นรถ ขนสัมภาระไปลงที่บ้านพักค่ะ
ได้บ้านพักหมายเลข 106/1 เป็นบ้านพักสำหรับ 4 คน ราคา 800 บาทค่ะ มีฟูกนอน พร้อมเครื่องนอน เครื่องทำน้ำอุ่น กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า ผ้าขนหนู ... ที่ถูกใจมากๆ ก็คือ มีระเบียงเดินออกไปดูวิวได้ และเป็นหลังที่มองเห็นวิวอาทิตย์ตกได้พอดี แล้วยังอยู่ใกล้ร้านอาหารด้วยค่ะ
บ้านพักหลังนี้ไม่มีพัดลม แล้วยังปิดหน้าต่าง ประตูทุกบาน แต่ยังมีลมเย็นๆ ลอดเข้ามาได้ค่ะ ... ขนาดบ่ายแก่ แดดแรง แต่ก็ยังหนาวค่ะ นอนเอกเขนก อ่านหนังสือ เล่นเกม ยามบ่ายแบบหนาวๆ ค่ะ
ถึงจะเอกเขนก แต่ก็ยังห่วงเรื่องกินค่ะ เพราะไม่แน่ใจว่าร้านอาหารจะปิดกี่โมง เลยส่งคนดีไปถาม แล้วขอเมนูมาดูเพื่อสั่งอาหารไว้ก่อน ... เราเองอยากกินอาหารจานเดียวง่ายๆ แต่คุณพิไล รู้สึกไม่ค่อยสบายท้องอยากทานอะไรเบาๆ ส่วนคนดีอยากกินบะหมี่กึ่ง
ผลเลยลงเอยอย่างที่เห็นค่ะ ... สั่ง หมูกระเทียม กับ ไข่เจียวภูคา จากร้านอาหาร แล้วก็หยิบเสบียงที่เราตุนมาออกมาเสริม ... ไข่เจียวภูคา ชิ้นอวบหนา หน้าตาคล้ายเค้กเมืองตรังเลยค่ะ หนานุ่ม แค่แบ่งกันคนละชิ้นก็อิ่มแล้วค่ะ ... ส่วนหมูกระเทียม รสดีค่ะ ไม่เหนียวเกินไป ... มื้อนี้ค่าอาหาร 2 อย่าง + ข้าวเปล่า 1 จาน อยู่ที่ 160 บาท
นั่งกินข้าวไป ชมวิวอาทิตย์ลับมุมเขาไป บรรยากาศดี๊ดี ลมเย็นจนหนาว ... แล้วอาทิตย์ที่นี้ลับฟ้าเร้ว เร็ว เพราะราวๆ ห้าโมงครึ่งก็ลับหายไปลังเขาแล้ว ... บ้านหลังแรกที่โดนแดดส่อง คือบ้านพักของเราในคืนนี้ค่ะ
อิ่มแล้วก็กลับเข้าห้อง รีบอาบน้ำค่ะ ... ถึงจะมีเครื่องทำน้ำอุ่นให้ แต่อากาศหนาวมาก รีบอาบน้ำดีกว่าค่ะ ... รีบอาบน้ำจะได้รีบนอน เพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามืดอีกแล้วค่ะ
ติดตามตอนต่อ ที่นี่ ค่ะ
5 ความคิดเห็น:
คุณนกเป็นโรคเดียวกะผึ้งเลยค่ะ ขับขึ้นที่สูง มีผา มีเหว ก็มือไม้สั่นเหมือนกัน
สองคนนี่สมกันจริงจริ๊งงงง
ส่วนดอกกระโถนพระฤาษีก็เห็นครั้งแรกจากไดคุณตั๊กนี่แหละค่ะ คงต้องหาโอกาสไปดูของจิงมั่งละ ^^
พี่อ้อก็กลัวความสูงเหมือนกัน มิน่าล่ะ...^ ^
ดอกกระโถนพระฤาษีนี่ หน้าตาน่ารักดีนะคะ
อ่านแล้วคิดถึงจังหวัดน่านจังค่ะ
วะวายเคยไปค่ายอาสาฯ ที่น่านสมัยเรียน เมืองน่านน่าอยู่ ผู้คนก็น่ารักค่ะ
รออ่านต่อนะคะ
เปิดมารูปแรก เห็นไข่ดาวแล้วอยากจิ้มจริง ๆ เลย
BeMuay
จัดไปอีกซักรอบซิหล่ะ...
ไอ้เรื่องกลัวความสูงมันไม่เข้าใครออกใครนะคร้า...555
big_birdy
แสดงความคิดเห็น