31.10.51

นานๆ นะๆ

หลังจากคนดีลาออก เราสองคนก็ไม่ได้เจอหน้ากันทุกเช้าเหมือนเดิม เพราะคนดีไม่ต้องแวะพัก มางีบก่อนไปทำงานแล้ว ... ต่างคนต่างเริ่มวันตามวิถีของตัวเอง


เช้าวันนี้ระหว่างกำลังเดินมาทำงาน คนดีก็โทรมารายงานว่ากำลังออกจากบ้านเข้าไปออฟฟิศเก่า ถามไถ่กันเล็กน้อยก็วางสายแยกย้ายกันไป ... เราถึงออฟฟิศปุ๊บก็เคลียร์เอกสาร เปิดคอมฯ และนั่งหม่ำแซนด์วิชมื้อเช้า สักพักก็มีสายจากคนดีดังมาอีกรอบ รีบรับทันทีนึกว่าลืมอะไร หรือ จะให้ทำอะไร ... แต่คนดีถามว่าเปิดวิทยุคลื่นที่ฟังประจำอยู่รึเปล่า ให้ฟังเพลงที่กำลังดังอยู่ตอนนี้ ... โอเค ได้ค่ะ


เพลงนั้นก็คือ ... นานๆ นะๆ ของ Lula

คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอ เธอกับฉันแค่เพียงสองคน
เหมือนโชคชะตาเล่นกล ให้เรามาพบกัน
ในวันที่คิดถึงเธอ และเธอนั้นก็คิดถึงกัน
ใจเธอกับฉันตรงกัน ในวันที่บังเอิญ
ลมอะไรที่พัดพาเธอ มาเจอฉัน วอนลมนั้นอย่า เพิ่งพัดเธอผ่านไป
หากว่าเธอไม่รีบร้อน ก็อยู่กับฉันก่อน จะได้ไหม
อยู่กับฉันนานนานนะนะ อย่าเพิ่งรีบไปเลยนะนะ
ใจฉันยังไม่มีธุระ ยังว่างว่างอยู่นะเธอ
อยู่กับฉันนานนานนะนะ สบตาฉันนานนานนะนะ
หากใจเธอไม่มีธุระ ก็เดินเคียงข้างกันตลอดไป นะนะเธอ

หากวันนี้เราต้องร่ำลา และวันหน้าเราคิดถึงกัน
หากใจเราว่างตรงกัน ก็นัดพบกันใหม่
ลมอะไรที่พัดพาเธอ มาเจอฉัน วอนลมนั้นอย่า เพิ่งพัดเธอผ่านไป
หากว่าเธอไม่รีบร้อน ก็อยู่กับฉันก่อน จะได้ไหม
อยู่กับฉันนานนานนะนะ อย่าเพิ่งรีบไปเลยนะนะ
ใจฉันยังไม่มีธุระ ยังว่างว่างอยู่นะเธอ
อยู่กับฉันนานนานนะนะ สบตาฉันนานนานนะนะ
หากใจเธอไม่มีธุระ ก็เดินเคียงข้างกันตลอดไป นะนะเธอ



Credit Song & Lyric : http://www.gmember.com/


นานๆ คนดีจะทำอะไรกุ๊กกิ๊กแบบนี้ แล้วเพลงก็กุ๊กกิ๊กน่ารัก เลยเอามาเก็บไว้ในบล็อกเป็นที่ระลึกสักหน่อย ... คนดีจ๋า เค้ารับรองว่าจะอยู่กับตัวนานๆ แน่ๆ ตัวก็อยู่กับเค้า นานๆ นะๆ ตกลงมั้ยคะ

29.10.51

ภารกิจแม่ยก

กลับจากเที่ยวเขาหลัก สมาชิกชุมนุมเอ็มเอสเอ็นยามบ่ายก็อัพเดทข่าวช่วงที่หายไปให้ฟัง ... หนึ่งในนั้นคือ น้องแอน สิ่งมีชีวิตที่เจิดจ้าของคุณพัช ร่วมประกวด คิง เซต้า ไอดอล สมาชิกรวมพลังร่วมด้วยช่วยกันเชียร์ ... คุณพัชเลยส่งข้อความเชิญชวนให้ไปรวมพลังร่วมเชียร์ด้วย ส่งข้อมูลไปให้คนดีตัดสินใจ คนดีว่าง ตกลงไป

ระหว่างนั้น สมาชิกก็นัดประชุมผ่านเอ็มเป็นประจำ อัพเดทสถานการณ์คู่แข่งของน้องแอนบ้าง เตรียมตัวบ้าง ... แล้ววันนึงคุณพัชก็ส่งข้อความขอความช่วยเหลือ ให้ช่วยแต่งหน้าน้องแอนวันประกวด ตอบรับทันที แค่เก็บร่องรอยสิวนิดหน่อย ลงครีม ลงแป้งให้ผ่องเด้งเจิดจ้าเต็มที่แค่นี้ สบาย

นัดเจอคณะแม่ยก ที่คุโรดะ อาร์ซีเอ กำลังจะจอดรถก็เจอเจ๊ปี้พอดี ... เดินเข้าร้านสั่งกันแบบหิวโหย นั่งหม่ำได้สักพัก คุณกี้กับคุณผึ้งก็มาถึงพอดี ... พอเริ่มอิ่มน้องแอนที่ซ้อมคิวเสร็จก็ตามมาสมทบ มาพร้อมกับหน้าตาเหนื่อย และกังวล คณะแม่ยกช่วยกันสร้างความมั่นใจ แล้วก็จับโบกหน้าเพิ่มพลังเจิดจ้ากันกลางร้านอาหารนี่แหละ ... เติมพลังเจิดจ้าเสร็จคุณพัชมาถึง เลยยกขบวนไปที่ร้าน

โต๊ะ 2 ตัวหน้าบูธดีเจ ที่น้องแอน และ คณะแม่ยกรวม 12 ชีวิต ยึดเป็นฐานที่ตั้ง ... คุณพัช-แอน เจ๊ปี้ และเพื่อนที่ตามมาอีก 2 คน คุณกี้-คุณผึ้ง และเพื่อนอีก 2 คน พี่บีย์ และ เรา-คนดี ... ได้โต๊ะปุ๊บก็ลุยสั่งเครื่องดื่ม มิกซ์เซอร์ทันที เพื่อสะสมสติกเกอร์ วางแผนเตรียมติดสติกเกอร์

ระหว่างรอเวลาน้องแอนขึ้นเวที บรรดาแม่ยกก็สนุกสนานไปตามประสา ... ปกติเวลาไปแดนซ์กับสาวๆ ที่ออฟฟิศ ก็ดื่มเหล้าบ้าง แต่วันนี้เรางด เพราะถ้ากินเหล้ากินได้น้อยและช้า ถ้ากินโค้กก็หวานและซ่า เดี๋ยวท้องอืด เครื่องดื่มที่ดีที่สุดคือน้ำเปล่า ที่ยกหาย ยกหายได้อย่างรวดเร็ว และดีต่อการเตรียมเสียงกรี๊ดไว้เชียร์

ถึงจะดื่มน้ำเปล่า แต่ก็สนุกสนานได้ นั่งโยกยุกยิกดุกดิกไปเรื่อยๆ ... ที่ต้องนั่งโยกเพราะตอนแรกคิดว่า ยืนนานเดี๋ยวพลังจะตก นั่งเซฟพลังไว้ดีกว่า แต่ปรากฎว่า ข้อดีของการนั่งคือ ตัวไล่เลี่ยกับสมาชิกร่วมโต๊ะคนอื่นๆ ที่ไซส์พับแพคน่ารัก พอเรายืนปุ๊บ ตัวโตเป็นยักษ์ เด่นโดยไม่ได้ตังใจขึ้นมาทันที

พอถึงเวลาน้องแอนขึ้นเวที ประดาแม่ยกก็เตรียมตัวเต็มที่ น้องแอนได้หมายเลข 10 คนสุดท้าย ... ผู้เข้าประกวดคนอื่นขึ้นเวที ไม่มีเสียงจากโต๊ะนี้สักแอะ แต่พอถึงคิวน้องแอนเท่านั้นแหละ แม่ยกรวมพลังทั้งกรี๊ด ทั้งวี๊ด กันเต็มที่ ... คนดีกรี๊ดไม่เป็น แต่มีนกหวีดติดอยู่ที่กุญแจรถก็หยิบขึ้นมาเตรียมเป่าด้วย แต่ไม่ได้ใช้ ต้องยกมืออุดหู เนื่องจากเสียงกรี๊ดเชียร์น้องแอน ดังสนั่น ทั้งโต๊ะแม่ยก และโต๊ะอื่นๆ

พอได้เวลาติดสติกเกอร์ ประดาแม่ยกก็ช่วยกันไปแปะ แปะไปก็ต้องกดย้ำให้สติกเกอร์ติดเสื้อ ติดตัว เพราะร่อนจะหลุดอยู่เรื่อย ... พอแปะเสร็จก็ย้ำให้น้องแอนคอยกดสติกเกอร์ไว้ แล้วก็ระวังเวลาเดิน เดี๋ยวสติกเกอร์จะร่วง ... แม่ยกแปะกันเสร็จ เฟดตัวออกมา ก็มีทั้งสาว และไม่สาว วนเข้าไปติดสติกเกอร์ให้น้องแอนต่อ

กลับมาที่โต๊ะก็ยังเป็นห่วงกันอยู่ เลยส่งให้คนดีวนไปคอยดูใกล้ๆ ไปส่งน้ำ ประหนึ่งเป็นพี่เลี้ยงนักมวย ... ส่วนที่โต๊ะก็คอยเรียกน้องแอนให้ยิ้ม คอยส่งเสียงเชียร์

และแล้วก็ถึงเวลานับคะแนน ดูด้วยสายตาเห็นว่าสติกเกอร์บนตัวน้องแอนเยอะใช้ได้ แต่ก็มีคู่แข่งที่มีสติกเกอร์เยอะอยู่อีกหลายคน ... ประดาแม่ยกก็ลุ้นกันต่อว่าเมื่อไหร่จะนับคะแนนเสร็จ พอได้เวลาประกาศคะแนน ก็ประกาศตามลำดับอีก กว่าจะถึงน้องแอน หมายเลขสุดท้าย แม่ยกก็ลุ้นใจจะขาด ... พอประกาศคะแนน แม่ยกก็ได้เฮสนั่น เพราะคะแนนมาเป็นอันดับ 1 สูงกว่าอันดับรองลงมาแบบฉิวเฉียด ไม่กี่คะแนนเท่านั้น

ผลออกเรียบร้อย รับรางวัลเรียบร้อย แม่ยกก็เฮกันอีก ก่อนจะกลับมาสู่โหมดปกติ กินดื่มโยกกันตามเดิม ... รอยยิ้ม กระจายไปทั่วโต๊ะ

แต่จู่ๆ เราเกิดปวดท้อง แสบท้องขึ้นมา แล้วก็ค่อยๆ ปวดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เลยขอตัวกลับก่อน ... ร่ำลาสมาชิก แล้วรีบออกจากร้าน ให้คนดีแวะซื้อนมสด 1 ขวด มาดูดรองท้องไว้ก่อน เพราะแสบท้อง ปวดท้องกระเพาะ ปวดหงิกงอจนถึงบ้าน ... ล้างเครื่องสำอางออกก็ต้องพักหงิกงออยู่สักช่วง ก่อนจะลงไปอาบน้ำได้ อาบน้ำเรียบร้อยก็ขึ้นมานอนขดตัวงอเป็นกุ้งซุกอยู่ข้างๆ คนดี

ภารกิจแม่ยกจบลงด้วยดี แต่สุขภาพแม่ยกกลับเดี้ยงซะอย่างนั้น ... แต่ยังตื่นมาทำงานได้ตามปกติ ถึงจะมีปวดท้องหลงอยู่อีกนิดๆ และเสียงที่แหบพร่าไปบ้าง ... ยินดีกับน้องแอนอีกครั้งนะคะ ที่ได้รับตำแหน่ง King Zeta Idol 2008

27.10.51

Cosmetic Therapy

หลังจากคนดีลาออกจากงาน ที่คิดว่าจะว่างนั่งเหงาหง่าวอยู่บ้าน ก็ผิดคาดค่ะ ... มีงานนั่นโน่นนี่ให้ทำวุ่นวายไม่มีจบ มีเรื่องให้ออกจากบ้านทุกวัน ไปหาคนนั้น ไปคุยกันคนนี้ แวะไปทำธุระตรงโน้น ตะลอนไปมาไม่ต่างจากตอนยังทำงานบริษัทเลยค่ะ

คุยกันไว้แล้ว ตกลงกันไว้แล้ว ว่าเราสองคนจะต้องปรับตัวกันยังไง ... แต่เพราะความยุ่งนุงนัง ทำให้คนดีทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ซึ่งเรื่องที่ทำไม่ได้ก็เป็นเรื่องเดิมๆ ที่เคยคุยกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นั่นคือ เรื่องโทรศัพท์

เข้าใจว่าคนดีมีเหตุให้ต้องใช้มือถือเยอะ ต้องคุยติดต่อเรื่องงานกับใครต่อใคร แต่ถึงขั้นคุยจนหายไปเลยครึ่งค่อนวันก็ไม่ไหว ห่วงนะ รู้มั้ย ... เคยบอกคนดีไว้นานแล้วว่า "ไม่ได้ต้องการให้โทรมาคุยยาวๆ แค่อยากได้ยินเสียง เพื่อให้รู้ว่ายังสบายดีอยู่ จะได้ไม่ห่วงว่าไปคว่ำคะมำคะเมนอยู่ที่ไหน ถ้าหายไปนานผิดสังเกตจะได้รู้ว่าต้องตามหาที่ไหน ... ที่ต้องการแค่สักนาที แค่กดโทรมาบอกสักนิดว่าอยู่แถวไหนแล้วแค่นั้น"

คำตอบที่มักจะได้กลับมาก็คือ "เค้ายุ่งมาก เค้าไม่มีเวลาเลย" ... หือ ยุ่งขนาดไม่มีเวลาสักนาทีเลยเหรอ "ได้เข้าห้องน้ำมั้ยคะ ได้พักกินข้าวบ้างมั้ย ถ้าได้ทำ เจียดเวลาสักนาที กดโทรมาหากันสักหน่อย จะทำไม่ได้เลยเหรอ" เจอประโยคนี้ไปคนดีก็นิ่ง แล้วก็ยอมรับ และจะพยายามปรับตัว

แล้วเมื่อวานก็ต้องพูดกันเรื่องนี้อีก เพราะหลังจากโทรไปรายงานตัวกับคนดีว่าถึงออฟฟิศแล้วตอนแปดโมง ก็ไม่มีสายจากคนดีกลับมาเลย เงียบหาย นิ่ง สนิท ไม่รู้ว่าไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ... ก้มดูเวลา บ่ายสามโมงแล้ว 7 ชั่วโมงที่หายไป เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ หายจ้อยไปเลย ... โทรไปก็ไม่รับ รอสักพักก็โทรกลับ

แล้วพักใหญ่ๆ คนดีก็มาถึง พร้อมกับยังวุ่นวายกับการคุยโทรศัพท์เคลียร์งาน ... คุยตามสบายเลยค่ะ เห็นหน้าก็สบายใจแล้ว

พอขึ้นรถจะมุ่งหน้าไปหาอะไรหม่ำที่เซ็นทรัล ก็ขอเปรยกับคนดีสักหน่อยว่าเงียบหายไปเลยนะ ถ้าตอบกลับมาว่าไปทำนั่นโน่นนี่มาก็ไม่เท่าไหร่ แต่คนดีตอบมาว่า "อย่าเพิ่งพูดตอนนี้เลยน่าตัวเอง เค้ายุ่ง" เท่านั้นหล่ะค่ะ ยาววววววว ... หันไปอบรมทันที

ควบคุมโทนเสียงในการอบรมให้อยู่โทนเสียงกลาง เพราะต้องการพูดให้เข้าใจ ถ้าทำเสียงสูงเมื่อไหร่จะกลายเป็นเม้งแตก ... พูด พูด พูด อบรมจบก็นิ่ง แต่นิ่งแบบใจไม่สงบ หงุดหงิด ยุกยิกอยู่ตลอด จนกินข้าวอิ่มแล้วก็ยังไม่หาย เลยบอกคนดีว่า "ตัวทำเค้าหงุดหงิด ขอเค้าไป cosmetic therapy ที่แผนกเครื่องสำอางหน่อยนะ"

พูดจบก็มุ่งหน้าไปทันที เพราะรู้ว่าช่วงนี้ M.A.C มีคอลเล็คชั่นใหม่ ขอไปดูให้เจริญหูเจริญตา สบายใจสักหน่อย ... เดินผ่านพื้นที่โปรโมชั่นของแมคที่ตั้งอยู่ตรงลานน้ำพุ ก็ตาโต แต่ยังไม่หยุดดู กะจะเข้าไปดูที่เคาน์เตอร์เลย

เดินไปใกล้จะถึงเคาน์เตอร์ก็เห็นแผงแป้งพัฟเรียงรายอยู่ เลยคิดว่าจะซื้อแป้งพัฟตัวที่ใช้ประจำดีกว่า ... แต่ก็ยังคิดถึงส่วนลด ว่าช่วงนี้มีส่วนลดอยู่รึเปล่า ถ้าไม่มีก็คงไม่ซื้อ ... ระหว่างที่คิดนั้นก็กวาดตาไปมองมุมอื่นๆ แล้วก็ตาลุกวาว คุณพระช่วย คอลเล็คชั่นใหม่วางเรียงรายเต็มไปหมด ตายแล้ว ล่อตาล่อใจมากๆ

สงสัยจะทำตาโตออกอาการเกินไป บีเอสาวที่ไม่สาวเต็ม100 ก็ปราดมายืนรับหน้าทันที เงยหน้าดูก็จำได้ว่าเป็นคนทีเคยซื้อครั้งก่อน ... ส่งยิ้มกลับมา พร้อมกับบอกว่า "วันนี้เฉพาะแมคลด 10% วันสุดท้ายนะคะ เพราะเป็นวันสุดท้ายของการแนะนำคอลเล็คชั่นใหม่ค่ะ" ... โอ้ ได้ยินแล้วใจสั่น

สุดท้ายก็สอยชุดแปรงของคอลเล็คชั่นใหม่กลับมาด้วยจนได้ ... จ่ายตังค์ cosmetic therapy บำบัดอาการหงุดหงิดไปซะ

จ่ายตังค์เสร็จก็หันมาโวยคนดี "เพราะตัวนั่นแหละทำให้เค้าหงุดหงิด เค้าถึงต้องใช้ cosmetic therapy บำบัด ดูซิเสียตังค์เลย ... ถ้าคราวหน้าตัวทำเค้าหงุดหงิดอีกนะ เค้าจะให้ตัวจ่ายตังค์ซื้อเครื่องสำอางให้ แล้วเค้าจะเดินเลือกให้เพลินเลย" ... คนดีฟังแล้วได้แต่ยิ้มแหยๆ ผิดทั้งขึ้นทั้งล่อง

เวลามีเหตุผลก็คุยกันรู้เรื่อง พูดอะไรก็เข้าใจ แต่ถ้างี่เง่าขึ้นมาหล่ะก็ อาร์ตตัวแม่ดีดีนี่เอง ... เพราะฉะนั้น ประพฤติตัวดีดี อย่าให้เค้าต้องงี่เง่า ไม่งั้นจะลำบากรู้มั้ยคะ คนดี

26.10.51

บ้านของคนดี

คบกับคนดีมา 6 ปีกว่า แวะเวียนไปทำความรู้จักทักทายกับสมาชิกในบ้านของคนดีก็ราวๆ 6 ปีได้ ... แรกๆ ก็แปลกๆ ขัดเขิน แต่หลังๆ คุ้นเคย ชิน และสนิทสนมมากขึ้น

สมาชิกในบ้านคนดีมี 5 คน ป๊า พี่ชาย คนดี น้องสาว น้องชาย ส่วนหม่าม้าขึ้นไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์แล้ว ... นอกนี้ก็ยังมีญาติๆ และลูกพี่ลูกน้องอีกหลายสายหลายคน พอรวมพลกันทีก็จัดเป็นครอบครัวใหญ่เอิกเกริกเอาการ

แรกๆ ที่ไปบ้านคนดีก็แปลกๆ งงๆ ไม่รู้จะคุยอะไรกับใคร นั่งส่งยิ้มหวานเป็นหลัก ... ไปบ่อยก็เริ่มคุ้น ส่งขนม ส่งของฝากไปให้ใครต่อใครเป็นครั้งคราว หลังๆ หม่ามี้ก็มีสารพัดขนมและของกินส่งไปให้ป๊า แล้วก็มีขนมตามเทศกาลที่ป๊าส่งกลับมาให้หม่ามี้บ้าง ... จากที่แปลกๆ ก็กลายเป็นคุ้นเคย บ้านคนดีไปไหน เราก็ตามติดไปด้วย

ติดสอยห้อยตามไปบ่อยๆ ก็เกรงใจ แต่คนดีก็มาบอกว่าบางทีป๊า หรือ โซ้ยอี๊ก็ถามถึง ว่าเราจะไปด้วยรึเปล่า ถ้าไม่ไปก็ถามถึงว่าหายไปไหน ... เกรงใจบ้าง ติดธุระบ้าง แล้วแต่กรณี

ช่วงหลายเดือนมานี่ ไม่ได้ไปค้างที่บ้านคนดีเลย แต่คนดีมาค้างบ้านเราเป็นประจำทุกวันศุกร์ ... ล่าสุดพอได้ข่าวว่าป๊าอยากจะไปตลาดดอนหวาย นัดวันกันเรียบร้อย ก็ถามถึงเราว่าจะไปด้วยรึเปล่า ... เห็นว่าห่างหายไปนานแล้ว เลยตอบตกลงไปด้วย แล้วเก็บเสื้อผ้าไปค้างบ้านคนดีตั้งแต่วันศุกร์

มาบ้านคนดีแล้วสบาย นั่งๆ นอนๆ ดูทีวี อ่านหนังสือ ถึงเวลาหม่ำ ป๊าก็กดอินเตอร์คอมฯ ตามให้ลงไปหม่ำทุกมื้อ ... สบายจนกลายเป็นขี้เกียจ เพราะนั่งๆ นอนๆ ไม่ได้จัดการซักเสื้อผ้าเหมือนเวลาอยู่บ้าน

เช้าวันอาทิตย์ ตื่นรอคิวเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ แต่งตัว ... ฝนตกชุ่มฉ่ำ แต่สมาชิกก็ยังเดินหน้าตามโปรแกรมเดิม เพราะป๊าที่ไม่ค่อยชอบออกไปเที่ยวที่ไหน อยากไปตลาดตอนหวาย สถานที่โปรด ... คนดี เรา กับน้องสาวคนดี มุ่งหน้าไปรับ โซ้ยอี๊ กับน้องสาวอีกคน ... ส่วนที่เหลือ ป๊า น้องชายคนดี และแฟนเค้า รอพี่ชายคนดีมารับไปอีกคัน

จุดหมายแรกคือ วัดไร่ขิง แวะไหว้พระทำบุญกันก่อน ... แล้วก็ย้ายเข้าไปตลาดดอนหวาย ตรงไปร้านนายหนับ นั่งกินข้าวกลางวัน แล้วก็ออกมาเดินซื้อขนม ของกินทั้งหลายกันต่อ ... บ่ายนิดๆ ก็กลับเข้าบ้าน จบกิจวัตรการมาตลาดดอนหวายของบ้านคนดี

ระหว่างทางนั่งรถไป-กลับ ก็ได้รู้ว่า แรกๆ ป๊าก็ทำใจรับกับบุคคลิกของคนดีไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ต่อต้าน หรือห้ามชัดเจน นานๆ จะมีเปรยๆ เรื่องที่กังวลใจให้ญาติๆ ฟังสักที ... ช่วงที่คนดีเปิดร้านข้าวต้ม แล้วต้องไปค้างบ้านเพื่อนสนิทที่อยู่แถวนั้น ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ป๊าก็สงสัยว่าคนดีคบกับเพื่อนคนนั้นรึเปล่า เปรยถามเป็นบางครั้ง ทำเอาคนดีกับเพื่อนขำก๊าก เพราะไม่ได้คิดอะไรกันเลยจริงๆ

แม้กระทั่งน้องของคนดี (ลูกน้า) ที่มีบุคคลิกแบบเดียวกัน ป๊าก็ยังแซว เหน็บ หยอกเข้าบ้าง ... แต่ป๊าก็โดนโซ้ยอี๊เอาคืน ว่าไปแซวคนอื่นเค้า แล้วที่บ้านหล่ะ ป๊าก็ยอมรับแบบไม่เต็มเสียงนัก

แล้วพอคนดีคบกับเรา พาเราไปบ้านบ่อยๆ ไปค้าง ไปไหนต่อไหนด้วย ป๊าก็คงยอมรับไปโดยปริยาย ... ที่ป๊าไม่อยากยอมรับ ไม่ใช่รังเกียจ แต่เพราะลึกๆ ข้างใน ป๊าห่วงอยากให้ลูกๆ แต่งงาน มีครอบครัว มีลูก มีหลาน เพราะป๊าห่วงว่า อยู่แบบนี้แก่ไปจะไม่มีใครดูแล เป็นความกังวลที่ลูกๆ รับรู้ แต่ดูแววแล้วคงจะมีน้องชายคนเล็กของบ้านนี้เท่านั้น ที่จะทำให้ป๊าสมใจ หายห่วงได้

ฟังแล้วก็ยิ้มๆ ขำๆ ... เวลาไปอยู่บ้านคนดีก็สบายใจดี มีเรื่องให้ยิ้ม ให้ขำ แบบนี้มาเป็นระยะ ... แล้วแฝงตัวไปแวะเวียนอยู่ 6 ปีแล้ว ชักชินเหมือนกัน ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติแล้วหล่ะ

25.10.51

Musuem Siam & โรตีเพาะช่าง

หลังจากที่คนดีลาออก ก็มีเวลาว่างวันเสาร์เพิ่มอีกวัน แล้วเราเก็บเสื้อผ้ามาค้างด้วย ก็เลยต้องหาสถานที่ทำกิจกรรมร่วมกันสักหน่อย ... เอ แล้วจะไปไหน ไปทำอะไรดี


นึกออกแล้ว มีสถานที่นึงสนใจอยากจะไปแต่ยังไม่มีโอกาสไป อยู่ไม่ไกลจากบ้านคนดีด้วย นั่นก็คือ Musuem Siam : พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ ... อยู่ตรงกระทรวงพาณิชย์เดิม แถวท่าเตียน นึกได้ก็อ้อนคนดีให้พาไปซะเลย


เพราะไปไม่ไกล และคิดว่าคงหาที่จอดรถลำบาก เลยชวนคนดีอาศัยตุ๊กตุ๊กเป็นพาหนะประจำวัน ... ชิ่งปรื๊ดดดดดดด จากบ้านคนดี ข้ามสะพานพุทธ ผ่านปากคลองตลาด แป๊บเดียวก็ถึงแล้วค่ะ


Musuem Siam : พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ เปิดให้บริการ วันอังคาร-วันอาทิตย์ 10.00-18.00 น. ... ยังเปิดให้เข้าชมฟรีค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะเก็บค่าเข้าชมรึเปล่า ถ้าจะเก็บก็ยินดี เพราะหลังจากเดินดูแล้วที่นี่ไม่ได้เอาของมาตั้งโชว์ให้เดินดู เดินอ่านอย่างเดียว แต่เป็นพิพิธภัณฑ์แบบอินเตอร์แอคทีฟ มีสื่อต่างๆ ให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วม ทำให้เนื้อหาต่างๆ น่าสนใจมากขึ้น


สัญลักษณ์ของ มิวเซียมสยาม คือ "คนกบแดง" เป็นรูปคนที่ไม่ระบุเพศ และเผ่าพันธุ์ ยืนกางแขน กางขา ทำท่าเป็นกบ ... พบสัญลักษณ์นี้ได้ทั่วมิวเซียมสยาม เป็นป้ายบอกห้องต่างๆ แม้แต่ห้องน้ำ แถมมีความแตกต่างเล็กๆ น้อย ตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไปด้วยค่ะ ... อยากรู้ ต้องลองไปเดินดูค่ะ


เดินไปติดต่อตรงส่วนต้อนรับ ได้สติกเกอร์มาติดเสื้อ แล้วก็รอเวลาเข้าชมห้องนิทรรศการ ทั้ง 17 ห้องค่ะ ... ระหว่างรอ ก็ศึกษาแผนผังก่อน ต้องเริ่มต้นจากชั้น1 ขยับขึ้นไปชั้น3 แล้วลงมาที่ ชั้น 2 เดินเตร็ดเตร่ดูข้อมูลจากห้องที่ 17 ตึกเก่าเล่าเรื่อง สักพัก เจ้าหน้าที่ก็มาตามว่าให้เข้าไปเริ่มต้นชมห้องนิทรรศการได้แล้ว


ห้องที่ 1 เบิกโรง เป็นห้องที่แสดงวีทีอาร์ แนะนำตัวละครที่จะพาผู้ชมย้อนไปกลับสู่เรื่องราวอันเป็นต้นกำเนิด จากสุวรรณภูมิ สู่สยามประเทศ ถึงประเทศไทย ... เพื่อค้นหาคำตอบว่า เราคือใคร และอะไรคือไทย ... นั่งชมวีทีอาร์จบก็ได้เวลาเดินสำรวจห้องนิทรรศการต่างๆ ต่อค่ะ


ห้องที่ 2 ไทยแท้


ห้องที่ 3 เปิดตำนานสุวรรณภูมิ


ห้องที่ 4 สุวรรณภูมิ


ห้องที่ 5 พุทธิปัญญา


ห้องที่ 6 กำเนิดสยามประเทศ


ห้องที่ 7 สยามประเทศ


ห้องที่ 8 สยามยุทธ์


ห้องที่ 9 แผนที่ ความยอกย้อนบนแผ่นกระดาษ


ห้องที่ 10 กรุงเทพฯ ภายใต้ฉากอยุธยา


ห้องที่ 11 ชีวิตนอกกรุงเทพฯ


ห้องที่ 12 แปลงโฉมสยามประเทศ


ห้องที่ 13 กำเนิดประเทศไทย


ห้องที่ 14 สีสันตะวันตก


ห้องที่ 15 เมืองไทยวันนี้


ห้องที่ 16 มองไปข้างหน้า


รายละเอียดของแต่ละห้อง ต้องไปเดินสำรวจเองนะคะ จะได้สนุกไปกับนิทรรศการที่จัดแสดงไว้ภายในห้องต่างๆ ... เดินดูไปเรื่อยๆ เดินอ่านไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ ถ้าไม่แสบท้อง ปวดท้อง เพราะหิวข้าว ก็คงยังเพลิดเพลินอยู่ได้อีกนาน


ห้องมองไปข้างหน้า เป็นห้องที่ชอบมากที่สุดค่ะ เพราะมีจอให้เขียนข้อความแสดงความเห็น ว่าถ้าเป็นนายกรัฐมนตรี อยากทำอะไรมากที่สุด ... พอเขียนเสร็จ เดินไปยืนอยู่หน้าจอ สักพักก็จะมีข้อความที่เราเขียนแสดงขึ้นมาค่ะ



ส่งท้าย มิวเซียมสยาม ด้วยการเดินเข้าไปห้องขายของที่ระลึก เราสองคนเลือกที่คั่นหนังสือ กับ เข็มกลัดอันเล็ก ติดมือกลับมาด้วย ... แล้วก็ออกไปหยอดตังค์ หมุนตู้ทำเหรียญที่ระลึกอีกอัน มาเดินในนี้แล้วสนุกเหมือนได้เป็นเด็กๆ เลยค่ะ ... คนดีสนใจเรื่องประวัติศาสตร์ไทยอยู่แล้ว เลยสนุก เพลิดเพลินไม่แพ้กัน


เดินออกจากมิวเซียมสยาม ตอนเกือบบ่ายสองโมง ไม่น่าเชื่อว่าไปเดินดูนิทรรศการอยู่สองชั่วโมงกว่าเชียว มิน่าเล่า ถึงได้หิวซ่ก ... ท้องที่ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า ร้องประท้วงโครมคราม เลยบอกให้คนดีพาไปร้านโปรดอีกร้าน "ร้านโรตีเพาะช่าง"


ของโปรดที่ร้านนี้คือ โรตีกรอบ ที่กรอบ หวานมัน อร๊อยอร่อย ... แต่ยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า เลยสั่งก๋วยเตี๋ยวหลอดมารองท้องระหว่างรอโรตีค่ะ ... ก๋วยเตี๋ยวหลอดคนละจาน ตามด้วยโรตีกรอบคนละจาน อิ่มสบายท้อง


วันนี้เลยอิ่มสมอง อิ่มท้อง ครบถ้วน ... อิ่มแล้วก็โดดขึ้นตุ๊กตุ๊กกลับมาเอกเขนกที่บ้านคนดีต่อ อิอิ มีความสุขจัง

24.10.51

เดทเฉพาะกิจ @ ร้านลี่

ศุกร์ เสาร์ นี้ ไปค้างที่บ้านคนดี เพราะวันอาทิตย์ที่บ้านคนดีจะไปเดินเที่ยวตลาดดอนหวาย มีเสียงถามถึงเราว่าไปด้วยรึเปล่า ... เลยเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า ตามไปด้วย



มีโปรแกรมของวันอาทิตย์แล้ว แต่โปรแกรมของวันศุกร์แห่งชาตินี่ยังไม่มี ยังไม่รู้จะไปไหนดี นอกจากจะไปซื้อขนมและอาหารให้กิซโม่ ที่สวนลุมไนท์ ... เลยกะจะชวนคนดีไปเดทเฉพาะกิจ คนดีตามใจให้เลือกร้านได้ตามสบาย เลยลองเล็งร้านอาหารในละแวกนั้นไว้ 2-3 ร้าน แต่ยังไม่สรุป



คนดีมาถึงก่อนเวลาเลิกงานนิดหน่อย แต่เรายังติดรอพี่ช่างภาพมารับของที่ออฟฟิศ พอส่งมอบของเรียบร้อยก็ปิดออฟฟิศ แวะเก็บเสื้อผ้าที่บ้าน แล้วฝ่าการจราจรเข้าไปใจกลางเมือง ... หิวไส้กิ่วกันทั้งคู่ เลยเสนอร้านอาหารในละแวกใกล้เคียงให้คนดีเลือก แต่พอออกทางด่วนพระราม 4 เห็นสภาพการจราจรที่ติดหนึบหนับแล้วท้อใจ เลือกร้านที่ใกล้ที่สุดทันที



ร้านลี่ หนึ่งในร้านประจำของเราสองคนที่ไม่ได้มากินนานมากแล้ว ... ร้านอยู่บนถนนพระราม 4 ติดกับธนาคารกสิกรไทย ใกล้ทางแยกไปคลองเตย ไม่รู้ว่าร้านยังเปิด 24 ชั่วโมงอยู่รึเปล่า ... เมนูหลักของร้าน คือ ก๋วยเตี๋ยวปลา แต่ก็มีเมนูอื่นๆ ให้เลือก


คนดีเลือก วุ้นเส้นต้มยำ ส่วนเราชอบอาหารว่างทานเล่นของร้านนี้มากกว่า ... คนดีโปรดปรานลูกชิ้นปลา และฮี่อก้วย ส่วนเราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่ของร้านนี้ใช้ได้


ยำเส้นปลา เปรี้ยวแต่ไม่เผ็ดมากนัก กินง่าย ... รวมมิตรลูกชิ้นปลาลวก มาพร้อมกับน้ำจิ้มรสจัด ... หมูอบ เป็นอีกหนึ่งจานโปรด หมูอบเนื้อนุ่ม ชุ่มฉ่ำ กับน้ำจิ้มเปรี้ยวๆ เผ็ดๆ


จานที่โปรดที่สุดของเราคือ ปอเปี๊ยะปลาทอด ใส้ในเป็นเส้นปลากับเครื่องอีกนิดหน่อย ทอดกรอบๆ ร้อนๆ จิ้มกับน้ำจิ้มไก่ อร่อย ... ก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม อาหารว่างทานเล่นอีก 4 จาน น้ำกระเจี๊ยบ 2 แก้ว ค่าเสียหายรวมแล้ว 235 บาท ... อิ่มแล้วก็ตรงไปสวนลุมไนท์ ไปซื้อของต่อ


ตอนแรกกะว่า ซื้อของให้ลูกหมาโม่แล้ว จะเดินเล่นดูของคนบ้าง แต่พอซื้อของเสร็จก็ขี้เกียจ เปลี่ยนใจ กลับบ้านดีกว่า ... ระหว่างทางกลับบ้าน ก็ผ่านร้านตัวเลือกสำหรับเดทเฉพาะกิจครั้งนี้ คนดีเห็นแล้วบอกว่า "ไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะจ๊ะ"

โอเค ได้เลยค่ะ ไว้เรามาเดทเฉพาะกินกันอีกนะคะ ... เมื่อไหร่ดีน้อ

23.10.51

ดวงของคนดีจากไพ่ยิปซี

เมื่อสัปดาห์ก่อน คนดีได้คุยกับน้องที่เคยทำงานด้วยกัน ที่ลาออกย้ายงานไปก่อน ... น้องเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่ไปดูดวงจากไพ่ยิปซี ที่น้องมาเล่าเพราะมีบางส่วนเกี่ยวพันมาถึงคนดี


น้องไปถามเรื่องงาน เพราะอยากจะเริ่มต้นทำงานเอง ทำกิจการเอง แต่มีคำทำนายว่า น้องอาจจะได้ทำงานกับผู้หญิงที่ไม่ใช่ผู้หญิง ซึ่งเพิ่งมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องงานครั้งใหญ่ในชีวิต ... น้องเลยนึกถึงคนดี เพราะเคยคุยกันไว้บ้าง เลยมาเล่าให้ฟัง


คนดีฟังแล้วก็มาเล่าให้เราฟังต่อ มาขอความเห็นเรื่องต่างๆ ... แล้วเมื่อวันก่อนก็ได้เจอกับน้องคนนี้ เพราะมีนัดกินส้มตำกัน คนดีเลยขอคำแนะนำเรื่องการแจ้งกับประกันสังคม แล้วนัดแนะให้น้องพาไปแจ้งยื่นเรื่อง


แต่พอกลับมาเจอกับเรา ถามแล้วได้ความว่า เตรียมเอกสารไปไม่ครบเลยยังไม่ได้ยื่น ... เลยชวนกันย้ายไปเช็คดวงกับแม่หมอซะเลย


เรื่องแรกที่ถาม คือ เรื่องงาน ... คำทำนายจากไพ่ยิปซีออกมาว่า นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงเรื่องงานครั้งใหญ่ในชีวิต เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี จะได้รับความช่วยเหลือและสนับสนุน ... ที่คนดีคิดมาก และกังวลใจอยู่ตลอดว่าจะทำได้มั้ย จะเป็นยังไง ให้สบายใจได้ จะทำได้และมีแววว่าจะเป็นไปในทางที่ดี


เรื่องต่อมา คือ เรื่องครอบครัว ... ป๊าเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยคุย เป็นคนดี รักลูก มีห่วงและกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องคู่ครองของลูกๆ ห่วง กังวล อยากจะให้ลูกแต่งงาน


เรื่องถัดมาก็ต้องเป็น เรื่องคู่ ... ไพ่ยิปซีบอกว่า คนดีสนใจอยู่แต่เรื่องงาน กับ เรื่องเงิน เรื่องคู่นั้นกว่าจะเจอก็นาน เจอกันตอนอายุเยอะเพราะไม่ค่อยสนใจ อาจจะได้เจอคู่ที่เป็นชาวต่างชาติ หรือเป็นลูกครึ่ง เจอกันก็เพราะเรื่องงาน คนดีจะตกลงใจคบกับคนนี้ก็เมื่อไม่มีใครแล้ว หันไปไม่เจอใคร เพื่อนเลยยุให้คบกันซะ


คนดีเลยถามว่า แล้วคนที่คบอยู่ตอนนี้เป็นยังไง ... แม่หมอก็ส่งไพ่มาให้คนดีเลือก เปิดออกมาเป็น The Sun คำทำนายมีว่า คนที่คบอยู่ตอนนี้ดี ดีมาก เป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำ และคอยให้ความช่วยเหลือ จะอยู่กับคนดีนาน นานมาก ไม่หนีหายไปไหน


ฟังคนดีเล่าแล้วก็สบายใจตามคนดีไปด้วย เรื่องงานที่กังวลอยู่ก็น่าจะเป็นไปด้วยดี ... ส่วนเรื่องคู่ สบายใจเหมือนกันที่เป็นเพื่อนคู่คิดให้คนดีได้ ถึงแม้ไพ่จะทำนายว่าคนดีจะยังมีคู่รออยู่อีก แต่ตอนนี้เราคือปัจจุบัน ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ


คนดีจ๋า ดีใจนะคะที่ได้เป็น The Sun ของคุณ ... กำลังใจ ความเห็น คำปรึกษา คำแนะนำ มีพร้อมให้ตลอดเวลาค่ะ

ปืนใหญ่ จอมสลัด - Queen of Langkasuka



ปืนใหญ่ จอมสลัด หนังที่ตั้งใจว่าจะดูให้ได้ วันนี้วันหยุดแล้วหนังเข้าพอดี เลยชวนคนดีไปดูซะเลย ... ตื่นตอนสายๆ แวะไปหม่ำมื้อเที่ยงกับสาวกวาง แวะไปลองก๋วยเตี๋ยวเรือ ที่สาวกวางการันตีว่าอร่อยนักหนา


จัดการก๋วยเตี๋ยวเรืออิ่มเต็มที่ ก็ย้ายกลับมานั่งพักผึ่งพุงที่บ้านสาวกวางสักพัก ... คนดีขอหลับสักงีบ เพราะหนังท้องตึงแล้ว หนังตาก็ชักหย่อน พอบ่ายสองก็ร่ำลา มุ่งหน้าไปเอสพละนาดที่ประจำ


โทรจองตั๋วไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงปุ๊บก็ไปเข้าคิวรอซื้อตั๋ว พอดีที่หนังมีโปรโมชั่นร่วมกับเอไอเอส เราสองคนเลยได้ซื้อตั๋วราคาประหยัดอีกแล้ว ... 2 คน จ่ายไป 120 บาทเท่านั้น ประหยัด คุ้ม


เดินเล่นดูของรอเวลาสักหน่อย แต่เดินๆ แล้วชักปวดหัว เหมือนไมเกรนจะถามหา ... พอผ่านไอเบอร์รี่เลยขอแวะสักหน่อย เจอรสประจำที่เลยสั่งมาหม่ำ หวังว่าไอติมเย็นๆ จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้บ้าง


ไอติมไม่ช่วยอะไร เลยชวนคนดีไปนั่งนิ่งๆ รอเวลาดูหนังดีกว่า จะได้ซื้อน้ำมากินยาซะเลย ... แต่วันนี้เกิดอะไรไม่รู้ คนดีนึกอยากกินป๊อบคอร์น เลยสั่งชุดป๊อบคอร์นกับน้ำอัดลมมานั่งหม่ำรอเวลา ... นี่เป็นครั้งแรกที่เราสองคนตั้งใจซื้อป๊อบคอร์นกินระหว่างดูหนัง




- เรื่องย่อ -


400 ปีที่แล้ว ลังกาสุกะ รัฐอิสระต้องสูญเสีย รายาบาฮาดูร์ ชาห์ จากการถูกลอบปลงพระชนม์ ... ราชวงศ์ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการสถาปนา องค์หญิงฮีเจา ธิดาคนโต ขึ้นเป็นรายาสตรีองค์แรกแห่งลังกาสุกะ ... แม้รายาฮีเจาจะปกป้องบ้านเมืองอย่างเข้มแข็ง แต่เหล่าแคว้นรอบด้าน รวมทั้งกลุ่มกบฎและโจรสลัดต่างๆ ล้วนหมายจะยิดครองดินแดนอันมั่งคั่งแห่งนี้


จนกระทั่ง ยานิส บรี ปราชญ์แห่งอาวุธชาวดัชท์ เดินทางมาพร้อมกับศิษย์เอกนักประดิษฐ์ชาวจีน นาม ลิ่มเคี่ยม เพื่อนำมหาปืนใหญ่ อาวุธที่ดีที่สุดไปถวายรายาฮีเจาใช้ป้องกันบ้านเมือง ... แต่กลับถูกกลุ่มโจรสลัดที่นำโดย เจ้าชายราไว และ อีกาดำ จอมสลัดผู้มีวิชาดูหลำอันแก่กล้า ซุ่มโจมตีเพื่อชิงมหาปืนใหญ่ ... จนทำให้เรือฮอลันดาระเบิด ยานิส บรี ถึงแก่ความตาย กระบอกปืนใหญ่จมลงสู่ก้นทะเล เหลือเพียงแต่ลิ่มเคี่ยมเท่านั้นที่ยังรอดชีวิตอยู่


เหตุการณ์ครั้งนี้ยังเป็นเวลากำเนิดของ ปารี เด็กชายชาวเลผู้มีคุณสมบัติพิเศษในตัว ที่จะสามารถฝึกวิชาดูหลำขั้นสูงได้ ... ปารีเติบโตเป็นหนุ่ม พร้อมกับสั่งสมทั้งความสามารถ และความแค้นในการสะสางอีกาดำที่ทำให้พ่อและแม่ของต้นต้องตาย ... ลิ่มเคี่ยมซึ่งช่วยชีวิตปารีในครั้งนั้นไว้ได้ หลบมาใช้ชีวิตอยู่กับหมู่บ้านชาวเล พร้อมประดิษฐ์อาวุธพิสดามากมาย และตั้งกลุ่มก่อกวนตัดกำลังโจรสลัดขึ้น


แม้ลังกาสุกะจะมีทหารเอกฝีมือเยี่ยมอย่าง ยะรัง แต่ฮีเจาก็ยังจำเป็นต้องให้ อูงู น้องสาวคนเล็กของตนอภิเษกกับ เจ้าชายปาหัง เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้ลังกาสุกะ แม้อูงูจะไม่เต็มใจก็ตาม ... ขณะที่ยะรังนั้นกลับตกหลุมรัก บิรู องค์หญิงคนรอง แต่กลับไม่สามารถเปิดเผยความรู้สึกนั้นได้


การต่อสู้ของหลายฝ่ายเริ่มขึ้น จนทำให้ปารีได้มาพบกับอูงู ทั้งคู่หลงไปติดเกาะร้างแห่งหนึ่งเพื่อรักษาตัวจากบาดแผล ... ที่นั่น ปารีได้ฝึกวิชาดูหลำขั้นสูงจาก อาจารย์กระเบนขาว ปรมาจารย์ทางดูหลำ และค้นพบว่า ดูหลำคือวิชาที่มีทั้งด้านสว่างที่ทรงพลัง และด้านมืดที่น่ากลัว ยากจะควบคุมจิตใจเอาไว้ได้ พร้อมกับที่ความรักของทั้งปารีและอูงูได้งอกงามขึ้น ... ขณะเดียวกัน ลิ่มเคี่ยม กุญแจสำคัญในการสร้างปืนใหญ่ กลับถูกกลุ่มสลัดจับตัวเป็นเชลยไว้ได้ และถูกบังคับให้ต้องสร้างปืนใหญ่ที่จะนำมาใช้ทำลายล้างรัฐลังกาสุกะ


สงครามใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น โดยลังกาสุกะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะกองทัพโจรสลัดกลับสามารถกู้มหาปืนใหญ่ในตำนานนั้นจากก้นทะเลไว้ได้ ... ลังกาสุกะเป็นเป้าหมายของการทำลายล้าง มีเพียง ยะรังนักรบผู้กล้า ปัญญาของลิ่มเคี่ยม อูงูผู้พร้อมสละทั้งชีวิตและความรักเพื่อแผ่นดิน และพลังดูหลำอันลึกลับของปารีเท่านั้น ที่จะต่อกรกับแสนยานุภาพจากกองทัพโจรสลัดเอาไว้ได้

(Credit Synopsis & Picture : http://www.majorcineplex.com/ )



หนังอลังการดีค่ะ ทั้งฉาก เสื้อผ้า คอมพิวเตอร์กราฟฟิค ดูเพลินดี ... มีนักแสดงเยอะมาก ทั้งนักแสดงหลัก และนักแสดงรับเชิญ แต่ที่ดูเพลิน ดูแล้วเจริญหูเจริญตา ก็ต้องยกให้หนุ่มอนันดา ที่ตกหลุมรักตั้งแต่เรื่องสะบายดีหลวงพระบาง โผล่มาเมื่อไหร่ก็ชื่นใจเมื่อนั้น ถึงจะมาแบบมอมแมม มอซอ ก็ยังมองเพลิน


จ่ายค่าตั๋วหนังราคาเต็มก็คุ้ม นี่จ่ายราคาโปรโมชั่น ต้องบอกเลยว่า คุ้มมากๆ ... โปรแกรมต่อไปจะดูเรื่องอะไรดีน้อ

การรวมตัวของก๊วนคาราโอเกะ

ก๊วนคาราโอเกะประจำออฟฟิศเว้นวรรคพักช่วงไปพักใหญ่ๆ ... เหตุผลแรก คือ สมาชิกคนนึงลาออกไปทำงานส่วนตัว เหตุผลที่สอง คือ ติดช่วงเทศกาลเจ ติดงาน และติดธุระอะไรต่อมิอะไร ... พอมีเวลาว่างลงตัวก๊วนคาราโอเกะ ก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง


นัดรวมตัวกันที่เดิม "ผักสดหมูอร่อย" คราวนี้มีสมาชิกใหม่เพิ่มอีก 1 คน เป็นอดีตน้องฝึกงาน ที่ปัจจุบันกลายมาเป็นพนักงาน ... เรา สาวกบ สาวตู่ และสาวฝน รออยู่ที่ออฟฟิศ พอเลิกงานสาวกวางที่ลาออกไปก็มาถึงพอดี ... รอแค่คนดีที่เพิ่งเสร็จจากธุระมารับสาวๆ ไปร้าน


ทุกคนหิ้วท้องที่หิวซก พร้อมกับใจจดจ่อถึงเมนูอาหาร พอถึงร้านก็สั่งอาหารทันที ... ชุดหมูกับผักสด ชุดไก่กับผักสด เพิ่มหมูจานใหญ่ 1 ไก่จานใหญ่ 1 เบคอน 2 ตับหมู 2 ชุดผัก 1 ... ข้าวผัดเกลือ ข้าวผัดหมูยอ ยำเห็ดฟาง ยำเห็ดเข็มทอง หมี่ผัดไก่ หมี่ห่อไข่


พออาหารทยอยมาเสิร์ฟ ก็โดนจัดการทันที ไม่คิดที่จะถ่ายรูปเก็บไว้เลย เพราะหิวหน้ามืดตาลายกันทั้งนั้น ... ปิ้งๆ ย่างๆ ตักๆ จิ้มๆ กินกันไปคุยกันไป เปิดเพลงฟังไปเรื่อยๆ ... พอทยอยอิ่ม ก็ทยอยย้ายไปเลือกเพลง เวลาของความสนุกสนานก็เริ่มขึ้น


ต่างคนต่างเลือกเพลง ผลัดกันร้อง สักพักก็เริ่มจัดเป็นชุด เพลงเร็ว เพลงช้า ... เพลงเร็วก็ลุกกันเต้นเฮฮาบ้าบอ เพลงช้าเป็นช่วงนั่งพักร้องกันสบายๆ ... เพลงที่เลือกมีครบ ทั้งเพลงไทยสากล เพลงสากล เพลงลูกกรุง เพลงลูกทุ่ง แล้วก็มีทั้งเพลงเก่ามาก เพลงฮิตคุ้นหูสมัยวัยทีน เพลงใหม่ ใครที่ผ่านมาได้ยินเพลงคงสงสัยว่าห้องนี้อายุเท่าไหร่กันแน่


คนที่สนุกที่สุดของวันนี้ คงต้องยกให้คนดี เพราะเลือกเพลงมากที่สุด แล้วทั้งร้องทั้งเต้น ทั้งตั้งใจร้อง และมั่วเนื้อ ... สมาชิกที่เหลือก็ขำกันกระจัดกระจาย โดยเฉพาะเพลง โยกย้าย ที่คนดีโชว์ซะหัวเราะจนเจ็บท้อง ... เพราะเข้างานดูร้านลูกค้าดึกดื่นอยู่หลายคืน คนดีเลยเริ่มชิน ไม่นั่งหลับในห้องคาราโอเกะเหมือนครั้งก่อนๆ


ร้อง เต้น ขำ เฮ เหนื่อย พัก จนเที่ยงคืนนิดๆ ก็ชวนกันกลับ ... คนดีเป็นสารถีขับรถวนส่งสาวๆ เริ่มจากอ่อนนุช 1 คน ย้อนกลับวังหิน-ลาดพร้าว 2 คน หพลโยธิน 1 คน ... ปิดท้ายสุทธิสาร กลับเข้าบ้านนอน หลับเหมือนสลบ


ถึงจะเว้นวรรคจากการรวมตัวกันไปพักใหญ่ แต่ครั้งนี้เป็นการรวมตัวของก๊วนคาราโอเกะที่เฮฮามากที่สุด ... ครั้งหน้าจะนัดกันอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่หวังว่าจะเฮฮาแบบนี้อีก ถึงเหนื่อย แต่ก็สนุก

22.10.51

หลับ - ฝัน - หลับสนิท

วันก่อนนั่งรถไปทำธุระพร้อมกับลูกนาย น้องหันมาถามว่า "เวลาพี่ตั๊กหลับ ฝันบ่อยมั้ย" ... ลองนึกดู ก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเวลาตัวเองหลับ ฝันรึเปล่า เพราะจำไม่ได้ว่าฝันอะไร จำได้เป็นบางครั้งแค่นั้น

เลยลองนึกดูว่า หลับแล้วฝัน เป็นเพราะหลับสนิท หรือ หลับไม่สนิท ก็ไม่แน่ใจอีก ... เลยถามน้องว่าเป็นยังไง น้องบอกว่า "นอนไม่ค่อยหลับ กว่าจะหลับก็ดึกดื่น ตี 2 ตี 3 หลับแล้วก็เหมือนฝันอยู่ตลอด ตื่นขึ้นมาแล้วเหนื่อย เหมือนไม่ได้หลับ หรือยังหลับไม่พอ"

ลองย้อนมาดูตัวเองอีกครั้ง ... ไม่เคยเป็น ส่วนใหญ่ถ้านอนดึกจะเป็นเพราะนั่งจ่อมอยู่หน้าคอมฯ หรือดูทีวีติดพัน แล้วจะหลับยากสักหน่อย แต่พอตั้งใจจะหลับก็หลับได้ไม่ยาก ... ส่วนเรื่องฝัน ตื่นมาแล้วรู้สึกเหนื่อยเวลาฝันว่าต้องวิ่งหนีอะไร ซึ่งก็ฝันแบบนี้ไม่ค่อยบ่อย

เลยได้แต่แนะนำน้องไปเล็กๆ น้อยๆ จากที่ใช้แล้วได้ผล คือ งดเล่นคอมฯ งดดูทีวี เปลี่ยนมาเปิดดนตรีคลอเบาๆ ปิดไฟ หรือเปิดไฟสลัวๆ ... สร้างบรรยากาศให้สงบ และสบาย น่าจะช่วยให้หลับง่ายขึ้น

หลังจากคุยกับน้องแล้ว ก็ยังสงสัยเรื่องหลับสนิท กับ ฝัน ว่าเกี่ยวกันยังไง ... ถ้าหลับสนิทจะไม่ฝัน หรือ ฝันเพราะหลับสนิท ... คิดไปคิดมาก็ยังงง

แต่ที่คิดได้แล้วทำให้สงสัยมากขึ้นคือ ช่วงหลังๆ หลับสนิท หลับแบบไม่รู้ตัว ซึ่งค่อนข้างผิดปกติเพราะ เวลาหลับแล้วมีใครมาจับตัวจะรู้สึก ... หรือเป็นเพราะช่วงเวลานั้น เป็นช่วงเวลาที่หลับลึก หลับสนิท และได้พักผ่อนจริงๆ ถึงไม่รู้สึกตัว

เวลาที่ว่าก็ประมาณ ตี 2-3 ซึ่งเป็นเวลาที่คนดีกลับมาจากเข้าไปดูงานตกแต่งร้านลูกค้า ... ตั้งแต่ต้นเดือนที่คนดีเข้าไปดูงาน แล้วมาค้างที่บ้าน คนดีจะกลับมาถึงประมาณ ตี 2-3 ทุกที ... ไม่เคยรู้ตัวเลยเวลาคนดีกลับมาถึง รู้ก็ตอนตื่นเช้ามาเจอคนดีนอนอยู่ข้างๆ นั่นแหละ

แต่ก่อนตอนคนดียังทำงาน แวะเข้ามางีบตอนเช้า ยังรู้สึกตัวว่าคนดีมาถึงแล้ว และล้มตัวลงนอนข้างๆ ... แต่นี่ทำไมไม่รู้สึกเลย

เมื่อคืนที่ผ่านมา หลังจากคนดีนัดเจอกับเพื่อนๆ แล้ว ก็ต้องเข้าไปดูช่างเก็บรายละเอียดร้านลูกค้า เสร็จแล้วจะแวะมาค้างด้วย ... เหมือนเดิม คือ ไม่รู้ตัวตอนคนดีกลับมา ตื่นมาก็เห็นมานอนอยู่ข้างๆ แล้ว

เมื่อเย็นเลยถามคนดีว่า กลับมาถึงกี่โมง กลับมาถึงแล้วทักรึเปล่า ... คำตอบที่ได้คือ "กลับมาถึงประมาณตี 3 อาบน้ำเสร็จก่อนจะนอนก็หอมอยู่หลายฟอด ตัวก็นิ่ง จนเค้าข้ามตัวที่นอนขวางอยู่เข้าไปนอนด้านใน แล้วมาซุก มากอด ตัวก็ยังนิ่ง ไม่รู้สึกตัว ไม่กระดุกกระดิก ไม่หือ ไม่หา ไม่บ่น ไม่โวยอะไรเลย สุดท้ายเค้าเลยนอนหลับซุกอยู่ที่หลังตัวนั่นแหละ"

เอ ตกลงว่าช่วงเวลา ตี2-3 นี่เป็นเวลาที่ร่างกายพักผ่อนเต็มที่จริงๆ ทำให้หลับสนิท ... หรือเราหลับนิ่ง หลับลึก ผิดไปจากปกติกันแน่เนี่ย

แต่การได้นอนหลับสนิทถือเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด ... งั้นก็คิดซะว่าเราโชคดีที่หลับไม่ยาก แล้วยังได้หลับสนิท ได้พักผ่อนเต็มที่ ก็น่าจะดีแล้ว เนอะ

20.10.51

จ๊ะเอ๋

เมื่อวันเสาร์คนดีคุยกับเพื่อน แล้วหันมาขอความเห็นเรื่องร้านอาหาร เพราะจะนัดกินข้าวเจอกับเพื่อนแถว สีลม สาทร พระราม 3 หรือ อาจจะเลยไปถึงพระราม 2 ... นึกไม่ออกไม่รู้จะแนะนำที่ไหนดี

สุดท้ายคนดีหันมาบอกว่า ตกลงนัดเจอกันแถวพระราม 2 ราวๆ ทุ่มนึง วันจันทร์ไม่ได้เจอกันนะจ๊ะ เดินไปทำงานดีดี ... โอเค ได้ สบายมาก

เมื่อวานคุยกัน โปรแกรมของคนดีเปลี่ยนนิดหน่อย บอกว่าจะต้องเข้าไปดูช่างเก็บรายละเอียดร้านลูกค้า คงจะเข้ามาค้างด้วย แต่ก็มาดึกดื่นหลังเที่ยงคืนนั่นแหละ ... โอเค ได้ ไม่มีปัญหา ดีกว่าเดิมด้วยเพราะได้เจอหน่อยนึง

เมื่อบ่ายต้นๆ กินข้าวเรียบร้อยแล้ว เตรียมตัวจะออกไปแบงค์ แวะไปเข้าห้องน้ำ จัดการธุระให้เรียบร้อย ... เดินออกจากห้องน้ำมาก็หยิบเอกสารไปทำสำเนาเตรียมไว้ก่อน พี่ผู้ช่วยก็ถามว่าจะไปไหน แล้วพดูอะไรอีกแว่วๆ ได้ยินไม่ชัด

ง่วนกับเครื่องถ่ายเอกสาร จะรีบกลับเข้ามาคุยต่อ พอเงยหน้าขึ้นมาก็ตกใจ ... คนดีมายืนยิ้มแฉ่งอยู่แล้ว

คนดีมาถึงออฟฟิศตอนอยู่ในห้องน้ำพอดี แล้วย่องไปแอบอยู่ตรงซอกตู้หลังโต๊ะ กะว่าจะ "จ๊ะเอ๋" แต่ผิดแผน เพราะเราไม่ได้เดินเฉียดไปเลย ... คนดีไปซุกตัวหงิกงอซ่อนอยู่ แอบมิดชิดมาก ไม่ได้สนใจมอง เลยมองไม่เห็น เจ้าตัวก็คิดว่าถ้ายังซ่อนอยู่คงเหน็บกินแน่ๆ เลยปรากฏตัวออกมาเอง

พอเห็นหน้าคนดียืนยิ้มแฉ่ง เราเลยยิ้มแฉ่งตามไปด้วย ... ใจกระตุกจิ๊ดนึง แล้วหัวใจก็ฟู เออ ไม่น่าเชื่อ ไม่เจอไม่เห็นก็ไม่เป็นไร แต่พอเจอแบบไม่ได้ตั้งตัวแล้วใจฟูขึ้นมาได้ด้วย

คนดีผ่านมาทำธุระแถวนี้ เลยแวะมาหา ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยง เลยเดินไปแบงค์เป็นเพื่อนด้วย จะได้ไปหาข้าวเที่ยงหม่ำซะเลย ... เออ ดีจัง วันนี้เลยเดินไปแบงค์แบบใจฟูๆ

คนดีขา ขอบคุณนะคะที่แวะมา "จ๊ะเอ๋" กัน ... ขอบคุณที่แวะมาสร้างความสุขเล็กๆ น้อยๆ ให้ ขอบคุณนะคะ

15.10.51

15-10-51

วันที่ 15 อีกแล้ว อายุความรักของเราสองคนก็เพิ่มมาอีก 1 เดือน ... นับจนถึงวันนี้ก็ 79 เดือนแล้ว


วันนี้ยังลาพักร้อนอยู่ เพราะไฟลท์ขากลับเมื่อคืนค่อนข้างดึก กลัวว่าไฟลท์จะดีเลย์ เลยลาพักร้อนเผื่อไว้ก่อนซะเลย เกิดไฟลท์ดีเลย์จริง จะได้ไม่ลำบาก ... โชคดีที่ไฟลท์สายนิดหน่อย เลยสบายไป ได้พักปรับตัวอีกวัน


บอกคนดีเอาไว้ว่าจะไปเดินงานหนังสือ ส่วนคนดีต้องเข้าไปดูร้านลูกค้าช่วงเช้า ... พอเที่ยงหน่อยๆ คนดีเสร็จธุระก็วนรถมารับเรา เริ่มเวลาฉลองวันพิเศษเล็กๆ ของเราสองคน

จุดหมายแรกคือ งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ เพราะหนังสือแปลเล่มล่าสุดของคุณพลอย จริยะเวช วางแผง เลยต้องไปสอย ... แล้วแวะไปเช็คที่อัมรินทร์ ว่ามีหนังสือเล่มใหม่ของกิ่งฉัตรรึเปล่า เป็นไปตามคาดว่าไม่มี เลยลองหยิบนิยายผลงานของนักเขียนอีกคนมาอ่านแทน จริงๆ ก็แอบชอบผลงานของนักเขียนท่านนี้เหมือนกัน แต่ยังไม่ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะหาที่เก็บหนังสือยากเหลือเกิน


แล้วก็ขยับไปที่สำนักพิมพ์มติชน เพราะงานครั้งก่อนซื้อหนังสือเล่มนึงให้คนดี แล้วคนดีติดใจ ครั้งนี้เลยพามาดู ... ปรากฎว่ามีเล่มใหม่ออกมาพอดี

เลยซื้อหนังสือชุด ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ ของคุณหนุ่มเมืองจันท์ ให้เป็นของขวัญคนดีสำหรับวันพิเศษวันนี้ ... นานๆ คนดีอ่านหนังสือแล้วจะชอบใจ


ย้ายไปจุดหมายต่อไป เอสพละนาด ... มีเวลาช่วงบ่ายเหลือเลยชวนกันดูหนัง ดูจากรอบฉายแล้ว เรื่องที่ลงตัวที่สุดคือ อีดิ๋มตายแน่ หนังของสองเพื่อนซี้อุดมและยุทธเลิศ

พอหนังจบก็ย้ายลงมาชั้นล่าง เพราะเล็งร้านอาหารเปิดใหม่สำหรับวันพิเศษของเราเอาไว้แล้ว ... CoCoICHIBANYA ร้านข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นในเครือของฟูจิ

ข้าวราดแกงกะหรี่เผ็ดระดับ 1 กับ ครีมโคโรเกะแซลมอน เพิ่มเบคอนผัดผักโขมกับข้าวโพด ... ของคนดี


ข้าวราดแกงกะหรี่เผ็ดมาตรฐาน กับ หมูชุบเกล็ดขนมปังทอด เพิ่มชีส ... ของเรา


อิ่ม อร่อย สนุก เพราะได้เลือกปริมาณข้าว ปริมาณแกง ระดับความเผ็ด และท้อปปิ้ง ... เลือกมากก็จ่ายเพิ่ม ขอลดก็จ่ายน้อยลง


วันนี้เป็นวันพิเศษเล็กๆ ที่ได้อยู่ด้วยกันเต็มๆ วัน ถึงแม้คนดีจะต้องรับโทรศัพท์เคลียร์งานอยู่ตลอด ... แต่มือข้างซ้ายของคนดี จับจูงมือข้างขวาของเราเอาไว้ตลอดเหมือนกัน


คนดีขา จับมือกัน จูงมือกันแบบนี้ไปนานๆ นะคะ


อีติ๋มตายแน่


ตึ๋งนักมวยชกโชว์พัทยา
อยากจะเป็นฮีโร่ขึ้นมาอย่างใครเขา
เห็นสะท้านฟ้าเท่ห์เลียนแบบเอา
หวังเป็นเป้านำทางสู่ดารา

วันหนึ่งได้พบนางในฝัน
อิเตมิคนนั้นที่ใฝ่หา
จู่ๆ เธอก็เดินหลงเข้ามา
อยากรู้ว่าจริงหรือฝันไป

ฝันหวานไม่นานก็จบ
เมื่อเธอพบกับคนที่เด่นกว่า
คนๆ นั้นคือฮีโร่ที่ศรัทธา
สะท้านฟ้าสะท้านใจทำไงดี

มะขิ่นคนดีอยู่ใกล้ๆ
กลับมองข้ามหัวไปได้เสียนี่
กว่าจะรู้ว่าตนมีของดี
อาจจะถึงวันที่สายเกินไป


โดย อุดม แต้พานิช (จากคอลัมน์ Focus ใน M.Scene Magazine Vol. 2 Issue 15 : October 2008)



ผลงานกำกับของพี่ต้อม ยุทธเลิศ และเขียนบทโดยพี่โน้ส อุดม จัดอยู่ในหมวดโรแมนติคคอเมดี้ ... หนังก็บ่งบอกสไตล์พี่ต้อมชัดเจน แล้วเจอพี่โน้ส ที่ทั้งเขียนบทและเล่นเอง ดูแล้วมีหลายช่วงที่รู้สึกเหมือนดูพี่โน้ส ไม่ได้ดู ตึ๋ง


สำหรับแฟนอุดม แต้พานิช และ ยุทธเลิศ สิปปภาค ก็คงชอบใจ ... แต่เราไม่ได้ปลื้มคนไหนเป็นพิเศษ ดูแล้วเฉยๆ ไม่บวก ไม่ลบ

14.10.51

ไปเขาหลัก ไปพักผ่อน : ตอน 3

- วันอังคารที่ 14 ตุลา -
ตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับอาการป่วยเล็กๆ ปวดท้อง ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ อาการไม่มากแต่ปวดท้องเป็นระยะๆ น่ารำคาญ ... เช้านี้เลยกินอาหารเช้าได้นิดหน่อย เพราะกินอะไรไม่ลง แล้วต้องเลือกที่ไม่ทำให้อาการเพิ่มขึ้น


อิ่มแล้วก็กลับเข้าห้องเก็บกระเป๋าเตรียมเช็คเอาท์ ... อาบน้ำ แต่งตัว เก็บกระเป๋าเรียบร้อย ก็จูงมือกันไปที่สปา เพราะโวเชอร์ที่ซื้อมา รวม Body Oil Massage สำหรับ 2 คนเอาไว้ด้วย ... คนดีบ่นอุบอิบนิดหน่อย เพราะต้องโป๊ เปิดเผยเนื้อตัวให้เธอราปิสต์นวดอีกแล้ว


1 ชั่วโมงผ่านไป ไวเหมือนโกหก กำลังเพลินๆ สบายๆ เวลาแห่งความผ่อนคลายก็หมดซะแล้ว ... จูงมือกันไปเก็บของที่ตกค้างอีกนิดหน่อย แล้วก็นั่งรอเวลารถมารับไปส่งสนามบินภูเก็ต


รถเที่ยวกลับไปสนามบินเป็นรถยนต์ แต่ก็นั่งสบาย ขึ้นรถได้ก็หลับยาวแข่งกัน ... ตื่นลืมตาอีกทีก็ถึงสนามบินแล้ว ดูนาฬิกาเพิ่งบ่ายสองโมง แต่กว่าเครื่องจะออกเกือบสี่ทุ่ม มีเวลาเหลือเฟือ ออกไปตะลอนภูเก็ตกันดีกว่า


ฝากกระเป๋าเดินทางเรียบร้อย ก็โทรทางไกลกับกรุงเทพฯ เช็คข้อมูลจากสาวๆ ที่ออฟฟิศที่เป็นสาวภูเก็ต ... เช็คจนมั่นใจว่าราคาที่ได้ถูกแล้ว ก็โดดขึ้นรถ ขอแผนที่ ไปลองวนๆ ในเมืองกัน


จุดหมายที่ตั้งใจไว้มีแค่ 2 ที่ คือ ร้านอาหาร กับ ร้านขายของฝาก ... แต่นอกเหนือจากนั้นก็ไม่รู้จะไปที่ไหนกันดี คนดีบอกเลือกมาเลย บอกทางมาเลย เดี๋ยวขับให้


เลยตั้งต้นที่ วัดพระทอง หรือ วัดพระผุด ... ทั้งเราและคนดีเคยมาแล้วทั้งคู่ แวะเข้ามาพักไหว้พระ ทำบุญ ก็สบายใจดี เพราะบริเวณวัดสงบ คนไม่พลุกพล่าน บรรยากาศสบายๆ


ไหว้พระเสร็จแล้ว ก็วนรถออกไปหาที่หมายอื่นๆ ต่อ ... มีคำแนะนำส่งทางไกลมาจากกรุงเทพฯ บอกว่าให้แวะไปดู Boat Lagoon แล้วแวะไปกิน โอ๊ะเอ๋ว ... แต่ไม่แน่ใจว่าจะเข้า Boat Lagoon ได้มั้ย ส่วนโอ๊ะเอ๋วก็จำถนนไม่ได้ แต่คุ้นๆ ว่า หาที่จอดรถยากพอสมควร เลยเปลี่ยนใจไม่ไปทั้งคู่


แต่ขับเลยไปหาทางเข้าร้านอาหารร้านโปรดของเราสองคนดีกว่า ... พอเจอก็ตัดสินใจเลี้ยวเข้าไปทันที เพราะไม่ได้กินมื้อกลางวันมา ดูเวลาก็ใกล้จะสี่โมงเย็นแล้ว ปักหลักนั่งกินข้าวไปเรื่อยๆ แล้วกัน


ร้านแหลมหินซีฟู้ด คือ ร้านโปรดของเราสองคน รู้จักเพราะสาวในออฟฟิศแนะนำมา ได้กินครั้งแรกก็ติดใจ มาภูเก็ตทีไรเป็นต้องขอแวะร้านนี้สักมื้อ ... น้ำพริกกุ้งเสียบ ปลาหมึกทอดกระเทียม หอยชักตีน ลูกชิ้นปลาลวก และ ข้าวผัดปลาเค็ม อร่อยทุกอย่าง


นั่งเล็มไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน ดูปู กับ ปลาตีน ที่อยู่ข้างล่างไปเพลินๆ ... คนดีมีความสุขกับมื้อนี้มากๆ ชิมจานนั้น ชิมจานนี้ สลับไปมา โดยเฉพาะลูกชิ้นปลาลวกลูกโต เรากินไป 2 ที่เหลือคนดีจัดการเรียบบบบ


อิ่มแล้วก็ต้องมาเลือกกันต่อว่าจะใช้เวลาที่เหลือยังไงดี คนดีอยากไปเที่ยวตรงไหนอีกสักหน่อย แต่ไม่รู้จะไปไหนดี จะไปแหลมพรหมเทพก็ค่อนข้างไกล ... สุดท้ายก็วนกลับไปหาร้านขายของฝาก ร้านแม่จู้ ร้านประจำ


เดินซื้อของฝากจนครบ ก็ชวนกันกลับสนามบิน ระหว่างทางเจอป้ายไปหาดในยาง เห็นว่าไม่ไกลนัก เลยวนรถไปดูสักหน่อย ... แล้วก็ได้รูปถ่ายยามเย็นของทะเลภูเก็ตติดกล้องส่งท้าย


นั่งดูฟ้าเปลี่ยนสี จนเริ่มมืดก็มุ่งหน้ากลับสนามบิน ... ระหว่างนั่งรอเช็คอิน ก็ลุ้นเหลือเกินว่าไฟลท์นี้ของแอร์เอเซียจะดีเลย์รึเปล่า โชคดีที่สายไปแค่ 15-20 นาทีเท่านั้น ... เฮ้อออออ เวลาพักร้อน วันพักผ่อนก็หมดลงแล้ว กลับมาสู่ชีวิตประจำวันในเมืองหลวงยุ่งๆ เหมือนเดิม

13.10.51

ไปเขาหลัก ไปพักผ่อน : ตอน 2

- วันจันทร์ที่ 12 ตุลา -


ตั้งนาฬิกาปลุกตั้งแต่ 7 โมงเช้า กว่าจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยทั้งคู่ ลงไปกินมื้อเช้าได้ ก็ปาไป 8 โมงนิดๆ ได้ ... คนดีตุนเสบียงเต็มที่ ส่วนเรากินแค่รองท้องนิดๆ หน่อยๆ เพราะวันนี้จะออกไปล่องเรือกันค่ะ


หลังจากคุยกันเรื่องออกเที่ยว และลองหาข้อมูลดูแล้ว สรุปว่าเราสองคนจะไปเที่ยวอ่าวพังงากันค่ะ ... จะไปเที่ยว เขาตาปู หรือที่ฝรั่งเรียกกันว่า เกาะเจมส์บอนด์ ดูเขาพิงกัน แวะเกาะปันหยี


จริงๆ ที่พักก็มีบริการจัดกรุ๊ปพาเที่ยว แต่ดูราคาแล้วใจสั่น ราคาสูงเหลือเกิน เลยชวนกันออกไปดูร้านทัวร์ด้านนอก กับลองถามสองแถวแท๊กซี่ดูดีกว่า ... ตอนแรกกะว่าจะเหมาสองแถวแท๊กซี่ไปที่อ่าวพังงา แล้วไปเช่าเหมาเรืออีกที ... หลังจากสอบถามราคาคร่าวๆ แล้ว ราคาสูงพอสมควรสำหรับ 2 คน แต่ก็ไม่ต้องเสียเวลารอคนอื่น และไม่วุ่นวาย


แต่พอคุยไปคุยมา ร้านทัวร์ตรงนั้นเลยเสนอราคาแพ็คเกจเหมามาให้ รถ่ยนต์รับ-ส่ง เรือ พร้อมอาหาร และแคนู ... ราคาสูง แต่ก็พอรับไหว เอาก็เอา ไปก็ไป


ระหว่างรอรถมารับ คุณลุงคนขับรถสองแถว กับ พี่ร้านทัวร์ ก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องสึนามิ ... ทั้งสองคนอยู่ในเหตุการณ์พอดี ทั้งวิ่งหนี ทั้งช่วยรับคนเจ็บไปส่ง ฟังแล้วก็ใจสั่น คลื่นสูง 7 เมตร สูงกว่าต้นมะพร้าวกวาดทุกอย่างไปเรียบ กวาดยาวไปหลายกิโล จนถึงริมถนนเพชรเกษม คลื่นลดลงเหลือ 5 เมตร ... พื้นที่โรงแรมที่มาครั้งนี้ และโรงแรมข้างๆ โดนกวาดเรียบ ร้านค้า ร้านอาหาร ผับ ที่อยู่ในละแวกนั้น โดนคลื่นกวาดทำลายไม่มีเหลือ ... ฟังแล้วเศร้าจัง



รถมารับ นั่งสบายๆ ไปเรื่อยๆ พี่คนขับที่รับหน้าที่ดูแลบอกว่าคงใช้เวลาราวๆ ชั่วโมง เลยหลับซะเลย ... ปล่อยให้คนดีนั่งคุยกับพี่เค้าเรื่องเหตุการณ์สึนามิต่อ


ตื่นตอนถึง วัดสุวรรณคูหา หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ บริเวณวัดมีถ้ำอยู่หลายแห่ง ... เริ่มที่ไหว้พระที่ถ้ำใหญ่ มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ และพระพุทธรูปปางอื่นๆ หลายขนาดให้สักการะ แล้วก็ไปเดินดูถ้ำแจ้ง กับ ถ้ำมืด ที่มีค้างคาวอยู่เพียบ ... ส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบเที่ยวถ้ำ เพราะไม่ชอบบรรยากาศอับๆ ชื้นๆ เหมือนหายใจไม่ออก แถมคราวนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวด้วย ทั้งมึนหัว ทั้งปวดท้อง เลยไม่ร่าเริ่งเท่าไหร่



แล้วลานจอดรถด้านนอก มีน้องลิงเจ้าถิ่นฝูงใหญ่ครองพื้นที่อยู่ ... เลี่ยงจากถ้ำออกมายืนดูฝูงน้องลิงแบบแหยงๆ เพราะทั้งโดด ทั้งดึง ทั้งแย่ง กันน่าดู ... ตื่นเต้นกับน้องลิงพักใหญ่ ก็ได้เวลาขึ้นรถไปรวมกับกลุ่มอื่น เตรียมตัวลงเรือ
ลงเรือ ล่องผ่านป่าโกงกาง เที่ยวในเขตพื้นที่ อช.อ่าวพังงา เพิ่งรู้ว่าเป็นอช.ที่มีพื้นที่ 400 ตร.กม. กว้างใหญ่น่าดู ... มีแนวป่าโกงกางต้นโตๆ แน่นๆ เรียงกันเต็มไปหมด แล้วมีเกาะน้อยใหญ่ที่เป็นเกาะหินปูนอีก 40 กว่าเกาะ


จุดหมายแรกที่ไปคือ ไปล่องเรีอแคนูที่เกาะทะลุ ... ย้ายจากเรือที่นั่งมา ไปลงเรือแคนูยางลำละ 2 คน มีฝีพายพร้อม นั่งเอกเขนก เอนหลังสบาย ... ฝีพายพาเลาะเลียบเกาะ มีซอกหลืบ และถ้ำลอด ให้นอนราบไปกับเรือแล้วลอดผ่านแบบได้กรี๊ดกร๊าดนิดๆ หน่อยๆ เป็นระยะ ... ใช้เวลาอยู่ราวๆ 20 นาที เพลินดีจัง จากที่ง่วงๆ ซึมๆ ตื่นตาโตทั้งคู่


ลงเรือไปที่เขาตาปู หรือ เกาะเจมส์บอนด์ ไปดูเขาพิงกัน เขาที่เกิดการทรุดตัวลงมาพิงกันอยู่ ... แล้วเดินไปดูเขาตาปู หนึ่งในฉากของเจมส์บอนด์ ตอน The Man With The Golden Gun ... ธรรมชาติมีอะไรน่ามหัศจรรย์จริงๆ



จากนั้นก็ไปแวะที่เกาะปันหยี เกาะของชุมชนมุสลิมที่ประกอบอาชีพประมง มีกระชังปลาเรียงเป็นแนว ... แวะพักทานข้าว แบบกินเพื่ออยู่ เพราะบ่ายสามโมงเข้าไปแล้ว อาหารที่มีก็ไม่ได้อร่อยโดนใจ รีบๆ กินเพราะแสบท้อง รูปไม่สนใจจะถ่ายเก็บไว้เพราะนั่งโต๊ะรวมกันหลายคน



หนุ่มซาอุ 2 คน กับสาวไทยอีก 2 ที่มาด้วยกัน ไม่แน่ใจว่าเรากับคนดีเป็นคนไทยรึเปล่า ... เลยต้องยืนยันคำตอบว่าใช่แน่นอน ... หนุ่มซาอุนึกว่าคนดีเป็น หมวยจีน ส่วนเรา เหมือนสาวอินเดีย หรือ เนปาล เออ เพิ่งรู้ว่าหน้าเรานี่กลายไปได้หลายชาติเนอะ


รองท้องเรียบร้อย ก็เดินดูร้านของที่ระลึกบนเกาะอีกสักหน่อย ก่อนจะลงเรือมุ่งหน้ากลับเข้าฝั่ง ... ขึ้นๆ ลงๆ เรือนี่ก็เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย แถมยังเจอเพื่อนร่วมทริปหลากหลายชาติ ต่างนิสัยด้วย ฝรั่งตรงเวลามาก คนไทยเราก็พอใช้ได้ แต่หนุ่มซาอุนี่ซิ น่าปวดหัว เพราะเลทตลอด


กลับถึงโรงแรมตอนหกโมงนิดๆ ทั้งเหนื่อย ทั้งเพลีย ทั้งหิว ... ให้คนดีล้างหน้าล้างตา เปิดคอมฯ เช็คเมล์ โทรเคลียร์งาน ก็ชวนกันไปห้องอาหาร ไปใช้สิทธิที่ได้มา ไม่รู้ว่าจะได้กินของอร่อยรึเปล่า



อาหารมีให้เลือก 2 แบบ ไทย หรือ ฝรั่ง ... เราสองคนตกลงเลือกแบบไทยทั้งคู่ มียำกุ้งฟู มัสมั่นไก่ ผัดผักรวม พร้อมข้าวเปล่า ปิดท้ายด้วยไอศครีมวนิลา ... อิ่ม อร่อย แบบตื้อๆ


อิ่มแล้วก็กลับขึ้นมาเผ้าหน้าจอทีวี รอดูรายการโปดทางเคเบิลทีวี ... เวลาผ่านไปเร็วจัง วันพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายของการพักผ่อนแล้ว ว้า

12.10.51

ไปเขาหลัก ไปพักผ่อน : ตอน 1

- วันศุกร์ที่ 10 ตุลา -

วันสุดท้ายก่อนการลาพักร้อน เรากลับถึงบ้านห้าทุ่มพอดี เก็บข้าวของที่เหลืออีกนิดหน่อยลงกระเป๋า กว่าจะได้เข้านอนก็เกือบตีหนึ่งพอดี ... ส่วนคนดีแยกเข้าไปดูการตกแต่งร้านลูกค้า ที่ต้องเก็บรายละเอียดให้มากที่สุดเพราะร้านใกล้จะเปิดแล้ว ช่วงวันที่ไปเที่ยวจะได้ส่งต่อให้น้องที่เข้ามาช่วยดูน้อยที่สุด ไม่รู้ว่าคนดีจะกลับมาถึงบ้านตอนกี่โมง


- วันเสาร์ที่ 11 ตุลา -

4.00 งัวเงียตื่นมาพร้อมเสียงนาฬิกาปลุก พร้อมๆ กับได้ยินเสียงเปิดประตูบ้าน หอบสมบัติไปอาบน้ำ แต่คนที่เข้าบ้านมายังไม่ใช่คนดี ... อาบน้ำเรียบร้อย รีบโทรหาคนดีทันที คนดีบอกว่าอยู่ระหว่างทาง ใกล้จะถึงแล้ว ... ราวๆ สิบนาทีคนดีก็มาถึง รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ แล้วส่งกุญแจรถให้พ่อที่อาสาขับไปส่งและดูแลโกลดี้ระหว่างไม่อยู่ รับหน้าที่ทันที

ถึงสุวรรณภูมิ ก็ดิ่งไปเช็คอินทันที แล้วก็ตรงไปนั่งรอหน้าเกท เพราะคนดีจะได้งีบหลับ ... เครื่องแอร์เอเซียเที่ยวแรกที่มุ่งหน้าไปภูเก็ต ออกตรงเวลา 7.00 น. ขึ้นเครื่องได้คนดีก็หลับเป็นตายทันที ... เราหลับๆ ตื่นๆ เป็นพักๆ แล้วก็ถึงภูเก็ตโดยสวัสดิภาพ

รับกระเป๋าเสร็จ ก็เดินออกมาหาเจ้าหน้าที่จากโรงแรมที่มารอรับ พอกวาดตาเจอป้ายชื่อก็ดีใจ ... รถตู้ที่มารับ เก้าอี้ตัวโต กว้าง นั่งสบาย แล้วก็นั่งกันไปแค่ 2 คนเท่านั้น ขึ้นรถได้คนดีก็เตรียมตัวหลับ ชวนพี่คนขับคุยได้สักพัก ก็สวมแว่นกันแดด หลับปุ๋ย คอพับจรดคาง กลายร่างเป็นนกฮูก ... เกือบๆ สิบโมงก็ถึงที่พัก เย้ เย้ เย้

Ramada Resort Khao Lak - รามาดา รีสอร์ท เขาหลัก ที่พักที่ซื้อโวเชอร์จากงานไทยเที่ยวไทยอีกเช่นกัน ... แพ็คเกจ 3 วัน 2 คืน แต่ขอเพิ่มเป็น 4 วัน 3 คืน เพราะอยากจะให้คนดีได้พักผ่อนเต็มที่ หลังจากลาออก และก่อนจะเริ่มทำงานใหม่ ... แต่ปรากฏว่าคนดีมีงานยุ่งนุงนังต่อเนื่องตั้งแต่ลาออก แล้วแจ๊ดพอตมีงานร้านลูกค้าเลื่อนมาเปิดช่วงที่มาพักพอดี


หลังจากสำรวจห้องพักเรียบร้อย คนดีก็ปีนขึ้นเตียงแล้วหลับผล็อยทันที่ ... ส่วนเรารื้อเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า จัดของเข้าที่เข้าทาง แล้วก็เปิดโน้ตบุ้คที่คนดีแบกมา ต่อไวไฟ เช็คเมล์สักหน่อย ก่อนจะคว้านิยายมาอ่านอย่างเพลิดเพลิน

เพราะคนดีไม่ได้นอนทั้งคืนเลยหลับนิ่งสนิท หลับยาวจนบ่ายกว่าๆ ก็ตื่นขึ้นมาดูเมล์ คุยงานกับลูกค้าและน้องที่ฝากงานไว้ต่อ ... ส่วนเราปีนขึ้นเตียงไปหลับต่อจนบ่ายแก่ๆ ก็ออกไปเดินสำรวจพื้นที่รอบๆ โรงแรม ก่อนจะไปลงเอยที่ร้านอาหาร

โวเชอร์ที่ซื้อมารวมเซ็ทดินเนอร์ 1 มื้อ เลยชวนกันไปลองชิมรสชาติอาหารสักหน่อยก่อน เห็นเมนูแล้วก็กลุ้มใจ เพราะมีรายการอาหารฝรั่งเยอะ ซึ่งไม่ค่อยถูกปากคนดีเท่าไหร่ ... เราได้ซีซาร์สลัด คนดีได้กระเพราไก่ไข่ดาว พร้อมกับฟรุ๊ตพันช์คนละแก้ว รสชาติอาหารใช้ได้

อิ่มสบายท้องก็กลับขึ้นห้องมากลิ้งดูทีวี เล่นเกม ท่องเน็ทกันสนุกสนาน ... แล้วสักพักก็ปีนขึ้นที่นอนหลับผล็อยแข่งกัน


- วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลา -

นอนอิ่มเต็มพิกัด ตื่นมาแปดโมงกว่า ล้างหน้าแปรงฟันลงไปหม่ำข้าวเช้า ... ท้องอิ่มแล้วสมองแล่น ขึ้นมาตกลงเรื่องกิจกรรมของวันนี้ว่าจะออกไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง ไปยังไง คุยได้พักเดียวคนดีก็หลับผล็อยไปอีก ... พอคนดีหลับ เราก็คว้านิยายมาอ่านต่อ

แต่คนดีหลับได้ไม่นาน เสียงมือถือก็ดังกวน เพราะงานตกแต่งร้านลูกค้ามีปัญหานิดหน่อย ... คนดีเลยต้องคุยกับลูกค้า คุยกับน้องที่ช่วยดูงาน คุยกับช่าง คุยกับเจ้าหน้าที่ประสานงานของห้าง คุย คุย คุย และคุย ... เลยตัดสินใจว่า วันนี้ไม่ออกไปเที่ยวไหนแล้ว หมกตัวอยู่ในห้องนี่หล่ะ มาพักผ่อนนี่

ตกลงกันได้ก็งัดบะหมี่กึ่ง กับ ขนมที่ตุนไว้ขึ้นมาจัดการกันซะ เพราะไม่รู้จะออกไปตระเวณหาร้านอาหารตรงไหนดี ... กะจะเช่ามอเตอร์ไซค์ขี่เที่ยวใกล้ๆ แต่แดดเปรี้ยง ถนนสายหลัก ไม่คุ้นทาง แถมเป็นทางขึ้นลงเขาด้วย แล้วคนดียังมีสายมือถือเข้ามากวนไม่เลิกอีก ... หมกตัวอยู่กับที่ ดีที่สุด

นั่งๆ นอนๆ พักผ่อนกันจริงๆ บ่ายแก่ๆ ก็ลงไปว่ายน้ำ ก่อนจะขึ้นมาเฝ้าจอทีวีรอดูรายการโปรด โชคดีที่มีช่องเคเบิลที่ติดหนึบหนับฉายให้ดู เลยนอนเอกเขนกดูทีวีกันสบาย สุดท้ายก็หลับผล็อยแข่งกันอีก

ตั้งใจมาพัก ก็ได้พักจริงๆ ไม่ได้ออกไปตะลอนเที่ยวให้เหนื่อย ... แต่คนดียังรับสายมือเป็นระวิง ตกลงว่าได้พักมั้ยเนี่ย ... แล้วพรุ่งนี้จะออกไปตะลอนเที่ยวกัน คนดีจะได้เที่ยว หรือว่าจะต้องรับโทรศัพท์นุงนังอีกน้อ

11.10.51

Ramada Resort Khao Lak @ เขาหลัก พังงา

Ramada เขาหลัก คือที่พักของทริปล่าสุด ... เป็นที่พักที่ซื้อแพคเกจจากงานไทยเที่ยวไทย ตัดสินใจซื้อแบบหวั่นใจนิดๆ เพราะหาข้อมูลและภาพของที่พักเพื่อศึกษาก่อนตัดสินใจซื้อแทบจะไม่ได้ เปิดเจอแต่เว็บของโรงแรม ซึ่งไม่มีรูปภาพให้ดูมากอย่างที่ใจต้องการ


หารีวิวจากที่อื่นๆ ก็ไม่ได้เลย ... ไม่รู้เลยว่าโรงแรมเป็นยังไง บริการเป็นยังไง โลเคชั่นอยู่ตรงจุดไหนแน่ รู้จากพนักงานที่บูธว่า เป็นโรงแรมสร้างใหม่ ... แต่ที่ตัดสินใจซื้อเพราะพิจารณาจากราคา บริการที่จะได้รับ และเงื่อนไขอื่นๆ แล้ว น่าจะคุ้ม


ในเมื่อตั้งใจไว้ว่าจะหาที่พักที่เที่ยวที่ยังไม่เคยไป เลยตัดสินใจเลือกเขาหลักนี่หล่ะ ... ถึงแม้จะหวั่นใจนิดๆ เพราะเกรงเรื่องลึกลับจากเหตุการณ์สึนามิครั้งก่อน และก็หวั่นกับข่าวที่อาจจะเกิดสึนามิครั้งใหม่ ... ถ้ามัวแต่หวั่นก็คงไม่ได้ไปสักที ไปช่วงที่เพิ่งฟื้นตัวสักพักนี่แหละ น่าจะเหมาะที่สุดแล้ว



เมื่อได้ไปสัมผัสด้วยตา ด้วยตัวแล้ว ก็ไม่ผิดหวังที่เลือกที่นี่ ... โรงแรมสร้างใหม่ บรรยากาศดี โปร่ง โล่ง สบายตา พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใสเต็มใจบริการ ได้พักผ่อนเต็มที่อย่างที่ตั้งใจ ... กลับมาแล้วก็ทำบันทึกเก็บไว้สักหน่อย เผื่อใครที่กำลังสนใจโรงแรมนี้จะได้พอมีข้อมูลสักนิด



ทางขึ้นล็อบบี้ ... เข้าไปสำรวจด้านในกันค่ะ




เตียงหนานุ่มนอนสบาย ภายในห้องแบบ Deluxe Ocean View




ทีวี พร้อมช่องรายการเคเบิลทีวีบ้างส่วน ... มุมทำงานเล็กๆ ที่มีบริการ Wifi ฟรี




อ่างล้างหน้าพร้อมของใช้ส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ



อ่างอาบน้ำใบโต กับ เรนชาวเวอร์น้ำแรงๆ ที่อาบแล้วกระจายทั่วห้องน้ำ




วิวจากระเบียงห้อง




ระเบียงห้องของตึกฝั่งที่พัก




ฟิตเนสเล็กๆ ที่แวะใช้บริการได้ตามสะดวก



วิวกว้างๆ จากล็อบบี้




สระว่ายน้ำทรงกลม กว้างพอสมควร ลึก 1.3 ม.



สระว่ายน้ำอีกสักมุม



เตียงอาบแดด เรียงรายอยู่ทางลงหาด



วิวส่วนนึงจากหน้าหาดของโรงแรม ... หาดกว้างลงเล่นน้ำได้ แต่ต้องดูธงสัญลักษณ์เตือนภัยก่อน ช่วงที่ไปปักธงเหลืองแดง แปลว่าเล่นน้ำได้แต่ต้องระวัง ถ้าปักธงแดงก็ไม่ควรลงน้ำทะเล



มุมนึงของห้องอาหารริมหาด




อยู่ทางฝั่งตะวันตกพอดี ได้นั่งกินข้าวพร้อมดูดวงอาทิตย์ตกน้ำ ... สวย บรรยากาศดี


จัดเป็นโรงแรมที่น่าประทับใจ บรรยากาศดี แต่ที่ปลื้มมากๆ คือ พนักงานยิ้มแย้มแจ่มใส เดินสวนกันส่งยิ้มและทักกันทุกที ... ถึงแม้จะเป็นลูกค้าคนไทยซึ่งมีอยู่น้อยนิด แต่ก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่เท่าเทียมกับลูกค้าต่างชาติซึ่งเดินกันขวักไขว่ทั่วโรงแรม


เขาหลักไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ยังมีที่พักดีดีสวยๆ ที่น่าสนใจอีกเยอะ ... ถึงจะเจอภัยธรรมชาติจากสึนามิ แต่เขาหลัก พังงา ก็ยังมีธรรมชาติสวยๆ รอให้เราไปสัมผัสอยู่

10.10.51

วันวุ่นๆ

วันศุกร์ วันสุดท้ายก่อนลาพักร้อนหยุดยาว เคลียร์งานเตรียมเอกสารช่วงไม่อยู่เอาไว้ แล้วยังมีนัดออกไปประชุมกับนายด้วย ... ตอนเย็นนัดหม่ำข้าวกับสมาชิกในบ้าน ดูแล้วก็น่าจะไม่วุ่นวายมาก แต่พลิคล็อคเพราะนัดประชุมที่เพิ่มเข้ามา


9.30 มีนัดไปเจอลูกค้ากับนายแถวสุขุมวิท 33 ... นัดเจอกับน้องอีกคนที่ออฟฟิศ จับมอเตอร์ไซค์ ลงรถไฟใต้ดิน ต่อบีทีเอส แล้วเดินไปตึกลูกค้า ... ประชุมเช้าผ่านไปด้วยดี เตรียมย้ายไปประชุมนัดต่อไปที่อยู่ไม่ไกลนัก


ระหว่างเดินทางนายคุยโทรศัพท์เช็คสถานที่นัด ปรากฎว่าขอเลื่อนเวลา ไปเป็นช่วงบ่าย ได้ยินแว่วๆ ว่าสี่โมงเย็น ... กลับเข้าออฟฟิศกันก่อน กินข้าว เคลียร์งานเคลียร์เอกสารไปเรื่อยๆ ... นายส่งข่าวมาบอกว่า นัดรอบบ่ายเลื่อนเวลาเป็น ห้าโมงเย็น แถวนานา


ได้ยินเวลานัด กับสถานที่แล้ว สมองคิดถึงนัดตอนเย็นกับที่บ้านทันที ที่นัดไว้ทุ่มนึง สงสัยกว่าจะไปถึงคงสนุกสนานแน่ๆ ... โทรบอกคนดี มี้ พ่อ ถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป สรุปว่าต่างคนต่างเดินทางไปเจอกันที่ร้านแล้วกัน ... เสร็จแล้วก็จัดการเก็บของ เก็บกระเป๋า รอให้คนดีที่จะแวะมาเอาเอกสารหยิบขึ้นรถกลับไปให้ด้วย


สี่โมงนิดๆ ออกจากออฟฟิศพร้อมนาย ฝ่าการจราจร ถึงที่นัดตอนห้าโมงเป๊ะ ... เจอเพื่อนนายที่โทรมานัด นั่งคุยกันรอเวลาอยู่พักใหญ่ๆ ก็ย้ายขึ้นไปนั่งรอหน้าห้องประชุม รอ รอ รอ รอ จน หกโมงนิดๆ ก็ยังไม่ได้เข้าประชุมสักที ... นายเลยตัดสินใจไม่รอแล้ว เพราะมีนัดทานข้าวกับลูกค้าอีกรายตอนทุ่ม


ฝากเอกสารไว้ แล้วติดรถนายมาลงระหว่างทาง ... ตอนแรกกะว่าจะแยกกับนายหลังจากประชุมแล้วตรงไปร้านแถวบางลำภูเลย แต่มีสายจากพ่อ กับข้อความจากคนดีส่งมาบอกว่านัดเจอกันที่บ้าน ... เลยเปลี่ยนใจติดรถนาย จะตามไปเจอที่บ้าน


นายมีนัดแถวโกลเด้นเพลส เลียบทางด่วน แยกจากนายแป๊บนึง คนดีก็โทรมาถามว่าถึงไหนแล้ว รอเราอยู่ เพราะพ่อบอกว่าจะไปเจอที่ร้านเลย ถ้าแวะบ้านก่อนคงช้าแน่ๆ ... อ้าว ตายแล้ว ได้ยินแบบนี้ก็เลิ่กลั่ก เอาไงดีหว่า ยืนรอแท๊กซี่มองซ้ายมองขวา ไม่มีมาสักคัน แล้วถ้านั่งแท๊กซี่ กว่าจะถึงบ้านคงอีกนาน แล้วกว่าจะไปถึงร้านอีก คนดีต้องเข้าไปดูงานร้านลูกค้าตอนสามทุ่มด้วย


ดูนาฬิกา ทุ่มสิบห้าแล้ว โอ๊ย ... มอเตอร์ไซค์วินผ่านมาพอดี โบกเรียก แจ้งที่หมาย แล้วนั่งซ้อนท้ายทันที ... เป็นการนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ทางไกลที่สุด แถมซ้อนในชุดสูทตัวบางกับกระโปรง รองเท้าส้นสูงด้วย นั่งตัวเอียง เอวบิด หนีบกระโปรงแน่น จากเลียบทางด่วนไปสุทธิสาร ... ระหว่างทางก็กดมือถือส่งข้อความบอกคนดีเป็นระยะว่าถึงไหนแล้ว


ถึงบ้านแบบปลอดภัย แต่ขาตึงไปข้าง แขนตึงไปอีกข้าง หลังข้างขวาตึงเพราะนั่งเอวบิด ... รีบเข้าบ้านเปลี่ยนรองเท้า เข้าห้องน้ำ แล้วดิ่งออกมาพร้อมคนดี และเจ้าน้องชาย มุ่งหน้าไปร้านข้าวต้มวัดบวร


ใกล้ๆ สองทุ่มก็ถึงร้าน ทั้งเราทั้งคนดีหิวซ่กกันทั้งคู่ สั่งอาหารกันเต็มพิกัด ... กินไป ก็โทรไปหาพ่อ กับ มี้ ว่าอยู่ถึงไหนแล้ว ทั้งสองคนบอกว่ากำลังมา ให้หม่ำกันไปก่อนเลย ... นั่งหม่ำกันพักใหญ่ๆ พ่อก็ตามมาถึง นั่งสักพัก คนดีก็ต้องไปก่อนเพราะต้องไปดูงาน


ส่วนมี้ ตามมาถึงตอนสามทุ่มครึ่ง นั่งหม่ำกันเรื่อยๆ คุยกันเพลินๆ อีกพักใหญ่ๆ ... อิ่มกันถ้วนหน้าก็ชวนกันกลับบ้าน วันวุ่นๆ ก็ผ่านไปอีกวัน


7.10.51

เอลันตรา

นิยายเล่มใหม่ของดวงตะวัน หนึ่งในนักเขียนคนโปรด คลอดออกมาให้สั่งซื้อได้เมื่อวันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม ... ใจจดใจจ่อรอนิยายเล่มนี้ เพราะเป็นนิยายในชุดธิโมส์ เมืองสมมุติที่คุณนักเขียนสร้างขึ้น จากเล่มแรกจนถึงเล่มล่าสุด มีเนื้อหา เหตุการณ์ เชื่อมโยงกันทั้งในยุดปัจจุบัน และยุดก่อน ... อ่านแล้วติดหนึบหนับ


พอรู้ว่าเปิดสั่งหนังสือได้ ก็รีบดำเนินการทันที สั่ง 2 เล่มเพื่อสาวคู่หูแฟนคลับของดวงตะวันเหมือนกัน ... แต่คราวนี้พิเศษนิดนึง เพราะคุณกี้ l0veisl0ve ก็สนใจจะสั่งหนังสือเหมือนกัน เลยส่งข่าวแจ้งเตือน พร้อมส่งลำดับการอ่านนิยายชุดแผ่นดินแสงดาวไปให้


สั่งหนังสือเรียบร้อย ก็ใจจดใจจ่รอคุณบุรุณไปรษณีย์พามาส่ง รอบนี้ก็มารวดเร็วว่องไวเช่นเคย ของที่ระลึกจากการสั่งหนังสือรอบนี้ เป็นปกพลาสติคที่มีลายเซ็นดวงตะวันปะหน้ามาด้วย ... โอนตังค์และใบสั่งซื้อหนังสือวันจันทร์ สิบโมงเช้าวันพุธ "เอลันตรา" ก็มาถึงมือแล้ว กรี๊ดกร๊าดยิ้มหน้าบาน เพราะจะได้พกไปอ่านระหว่างเที่ยวเขาหลัก


เอลันตรา ... ภาพวาดบนผนังหินที่ อินทัต ครีราโมส์ วาดเอาไว้และให้ชื่อว่า “เอลันตรา” เมื่อสามพันปีก่อนคืออะไรกันแน่
คือชายาเชลยของอินทัตที่บันทึกในหน้าประวัติศาสตร์นั้นกล่าวถึงนางเอาไว้เพียงน้อยนิด คือศาสนาใหม่ที่อินทัตหลงใหลฝักใฝ่กระทั่งในบั้นปลายชีวิต มีบันทึกว่าเขา “เพี้ยน” ไป หรือคือตัวการสำคัญที่ทำให้พี่น้องครีราโมส์แตกแยกเป็นสองสาย - - สายบุหลันของเรทัต และสายเอลันตราของอินทัต มาจนกระทั่งทุกวันนี้



Credit Synopsis & Picture : http://www.dtawanbooks.com/

- คำนำจากสำนักพิมพ์ -

ริมทะเลทางตอนใต้ของอลากาส บนผาหินสุดชายหาดด้านตะวันออก คือที่ตั้งของ “ศาลแม่เจ้าเอลันตรา” รูปเคารพศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไม่มีใครรู้ประวัติที่มาอันแท้จริง

ภาพสลักโบราณนั้นยืนยงข้ามกระแสกาลมานานนับพันปี แม้เปลี่ยนรูป ผิดเพี้ยนไปจากเดิมจนแทบไม่เหลือเค้า หากคุณค่าความสำคัญยังคงอยู่...อย่างน้อย ก็ในหมู่คนครีราโมส์สาย “เอลันตรา” ผู้สืบทอดเชื้อสายมาจาก อินทัต ครีราโมส์ หรือ “อินทัต เดอะเซกั้นคิง” น้องชายฝาแฝดของกษัตริย์เรทัตผู้ยิ่งใหญ่

ไม่มีใครรู้ว่า “เอลันตรา” คืออะไร หรือเป็น “ใคร” กันแน่

คือรูปสลักบนผาหิน อนุสรณ์แห่งความรักนิรันดร์

คือชายาเชลยผู้ไม่มีใครรู้หัวนอนปลายเท้า หากกุมหัวใจและมีอิทธิพลต่ออินทัตเกินกว่าใครจะคาดคิด

คือ “ศาสดา” ของศาสนาใหม่ที่อินทัตเปลี่ยนไปนับถือแทนเฮกัล เธมส์ และกูตูร์ คือสัญลักษณ์แห่งความเพี้ยนในช่วงบั้นปลายชีวิต

เหนืออื่นใด คือกูตูร์ภาคผู้หญิง นางคนชั่วร้าย นางผู้สามานย์ ที่มอมเมาชักจูงให้อินทัตผิดใจกับเรทัตผู้เป็นพี่ชาย กระทั่งทำให้ราชวงศ์ครีราโมส์แตกออกเป็นสองสาย คือสายบุหลันกับเอลันตรา

...ไม่มีใครชี้ชัดลงไปได้ว่า เป็นเพราะบันทึกที่หายสูญ กาลเวลาที่ผันผ่านนานเนิ่น หรือความขัดแย้งร้าวลึกระหว่างพี่น้องอันเกิดจาก “นางผู้นั้น” กันแน่ ที่ทำให้เรื่องราวของ “เอลันตรา” ถูกลบเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ธิโมส์

“ดวงตะวัน” จะพาเราย้อนกลับไปยังธิโมส์ในอดีตอีกครั้ง กลับสู่คืนวันของ “เอลันตรา” เพื่อหาคำตอบนั้นร่วมกัน

เพราะคงมีเพียง อินทัต ครีราโมส์ ชายหนุ่มผู้มีชีวิตอยู่เมื่อสามพันปีก่อนเท่านั้น ที่จะรู้ว่า “เอลันตรา” คืออะไร คือใคร...และมีความหมายยิ่งใหญ่ต่อหัวใจของเขาเพียงใด


เพราะตั้งใจจะอ่านระหว่างอยู่เขาหลัก เลยพลิกเปิดอ่านลองเชิงไปแค่บทเดียว ... ใจจดใจจ่อ อยากจะเปิดอ่านต่อ แต่กลัวอ่านแล้วเริ่มมันวางไม่ลง ... ตอนนี้ถึงเขาหลักเรียบร้อยแล้ว ขอไปติดตามเรื่องราวของหนุ่มอีน พระเอกคนล่าสุดของแผ่นดินแสงดาวก่อนนะคะ

6.10.51

My family กับ หลวงพี่เท่ง 2

หม่ามี้กับพ่อชอบดูหนังตลก โดยเฉพาะหนังตลกไทยๆ มักจะชวนกันไปดูประจำ ... เห็นว่าหลวงพี่เท่ง 2 เข้าโรงแล้ว ว่าจะชวนหม่ามี้ไปดู แต่เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาว่างไม่ตรงกัน เลยเลื่อนเป็นวันธรรมดา ... ทีนี้ว่างกันพร้อมหน้า ยกโขยงไปดูพร้อมกันทั้งบ้าน


วันนี้คนดีมีเหตุให้เข้ามาจัดการธุระ ทั้งงานลูกค้าและงานตัวเอง เลยใช้ออฟฟิศเราเป็นฐานที่มั่นไปๆ มาๆ ... ส่วนเราทำงานไป ก็จัดการจองตั๋ว และนัดสมาชิกในบ้าน ทั้งหม่ามี้ พ่อ และเจ้าน้องชาย จะไปเจอกันที่เอสพละนาด


เรากับคนดีไปถึงก่อน ดิ่งไปรับตั๋ว สักพักหม่ามี้ตามมาถึง พอเจอกันก็ชวนกันไปหม่ำอาหารเจ ที่ร้านลีคาเฟ่ ได้หม่ำอาหารเจอร่อยๆ อีกมื้อ ... พ่อกับเจ้าน้องชาย กำลังตามมา


ที่นี่มีร้านไอติมหลายร้าน ขอแวะดูสักหน่อย ระหว่างรอคนดีเอาของไปเก็บที่รถ เจ้าน้องชายก็มาถึงพอดี ... ระหว่างชะเง้อชะแง้ รอคนดีเดินกลับมา ก็เห็นผู้ชายคนนึง ใส่หมวกสีบานเย็น สีเด่นเด้งสะดุดตา มองมาพอดีพร้อมกับอมยิ้มตุ่ยๆ


เหลือบตาไปดู อุ๊ย พี่โน้ส อุดม เลยส่งยิ้มไปให้ แล้วพูดสวัสดีค่ะเบาๆ ... พี่โน้สก็ส่งยิ้มกลับมา พร้อมกับขยับปากสวัสดีเหมือนกัน ... มีงานเปิดตัวหนัง อีติ๋มตายแน่ เลยได้เจอเจ้าของเดี่ยวไมโครโฟนที่ลือเลื่อง ... คนดีเดินมาพอดี เลยได้ทีอวดซะเลย


สักพักพ่อก็ตามมาถึง เลยชวนกันไปปักหลักดูบรรยากาศเปิดตัวหนัง ระหว่างรอเวลาเข้าโรงหนัง ... งานเริ่มไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็ได้เวลาเข้าโรงหนัง



- เรื่องย่อ : หลวงพี่เท่ง 2 รุ่นฮาร่ำรวย -

หลวงพี่โจอี้ พระใหม่ที่มาจำพรรษาที่วัดแทนหลวงพี่เท่งซึ่งออกเดินทางมุ่งหาพระธรรมไปธิเบต ... แล้วหลวงพี่โจอี้ก็ตัดสินใจออกเดินธุดงค์เพื่อศึกษาธรรมะบ้าง ก่อนออกเดินทางแวะไปลาโยมแม่ โยมแม่ได้มอบภาพถ่าย และเล่าความลับางอย่างเกี่ยวกับโยมพ่อให้ทราบ
หลวงพี่โจอี้เดินทางไปวัดโคกสะอาด พบว่าทั้งวัดเต็มไปด้วยฝุ่นละอองจากการระเบิดภูเขา เพราะนายทุนมาซื้อที่ดินทำโรงโม่หินใกล้บริเวณวัด ... ฝุ่นละอองที่มากมายทำให้หลวงตาที่เคยเทศน์แหล่ให้ชาวบ้านฟังอาพาธ ผู้คนที่เคยเข้ามาทำบุญกันมากมายก็ลดลง วัดก็เสื่อมโทรม ... ขณะเดียวกันชายบ้านก็เริ่มมีอาการของโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้น


หลวงพี่โจอี้คิดหาวิธีต่างๆ เพื่อให้ชาวบ้านอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นอย่างสุขสงบ แล้วหลวงพี่โจอี้จะทำอย่างไร


หนังขำๆ เพลินๆ ค่ะ มีมุขตลก แบบตลกปล่อยมาให้ฮาเป็นระยะๆ เป็นหนังตลกไทยแบบมีเรื่องราว ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ขำโดดๆ ... หนังมีพร่องๆ บางจุด แต่ก็มีสาระ และธรรมะเล็กๆ แทรกเข้ามา ... ถึงจะสะดุดบางจุด แต่โดยรวมก็ไม่เลว


ทั้งหม่ามี้ พ่อ เจ้าน้องชาย เรา และคนดี เดินออกจากโรงแล้ว ยังติดใจมุข "Potato" จากในหนังอยู่ เดินคุยไปขำไป ... เออ ยกมาดูหนังด้วยกันทั้งบ้านแบบนี้ก็สนุกดีเนอะ


คิดถึงขนมหวาน

ช่วงเทศกาลเจ ไม่มีปัญหากับเรื่องอาหารคาวเลย เพราะละแวกออฟฟิศหาง่าย ... แต่ที่ลำบากใจ คือ ขนมหวานค่ะ เพราะชนมหวานที่ชอบกิน ติดอยู่ในข่ายต้องงดด้วย


ปกติเป็นคนไม่ติดข้าว ไม่ติดอาหารมื้อหนักๆ มีนมสด ขนมปัง หรือ ขนมจุบจิบก็อยู่ได้แล้ว ... พอช่วงเจก็เปลี่ยนมาเป็นน้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง แต่ต้องงดขนมจุบจิบ และขนมหวานทั้งหลาย อาลัยอาวรณ์นิดหน่อย แต่ก็ทำใจได้


แต่ก่อนเทศกาลเจปีนี้ ซื้อชอคโกแลตตุนไว้เยอะ แล้วยังมีทองหยิบเจ้าโปรด สุดอร่อยอีกด้วย ... เปิดตู้เย็นทีไร ก็เห็นทุกที ได้แต่มองตาละห้อย เทศกาลเจปีนี้เลยคิดถึงขนมหวานมากเป็นพิเศษ เพราะเปิดเจอ ชอคโกแลต 2 แผง กับ ทองหยิบ 1 กล่อง ตำตาอยู่ทุกวัน ได้แต่มอง แตะไม่ได้


อดใจไว้อีกแป๊บเดียวเท่านั้น ... ชอคโกแลต กับ ทองหยิบจ๋า เดี๋ยวเจอกันนะจ๊ะ

5.10.51

น้ำตา

โปรแกรมไปปฏิบัติธรรมของคนดีมีเหตุฉุกเฉินมาแทรก เพราะงานลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลง คนดีเลยนั่งชั่งใจอยู่นานว่าจะไป หรือไม่ไปดี ... สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ไป เพราะไม่อยากกังวลใจระหว่างไปเข้าวัด อยากจะสงบ แต่ถ้ามีเหตุแบบนี้ ใจคงไม่สงบ

พอคนดีตัดสินใจไม่ไป ผลดีเลยตกอยู่ที่เรา เพราะคนดีมาค้างที่บ้านเหมือนก่อนที่จะลาออกจากงาน ... เย็นวันศุกร์มีนัดไปทำคิ้ว ตอนแรกก็คิดว่าต้องไปคนเดียววางแผนไว้อย่างดี พอคนดีเปลี่ยนแผนเลยต้องปรับตัวกันใหม่ ... สุดท้ายก็ต้องไปคนเดียว เพราะรถติดหนึบหนับ ให้คนดีวนรถกลับไปรอที่บ้าน

แผนวันศุกร์เปลี่ยนแล้ว แผนวันเสาร์ก็ต้องเปลี่ยนด้วย ตั้งใจจะเข้าไปเคลียร์เอกสาร พอคนดีมาค้างด้วย เลยตามไปนั่งรอเราทำงานด้วย ... เรานั่งทำงานไป คนดีก็นั่งดูยูทูบไป บ่ายแก่ๆ งานเสร็จเรียบร้อยก็ชวนกันไปเดินดูของ

ระหว่างที่นั่งรถ คนดีก็บ่นเหงา คิดถึงเรา ฟังแล้ว งง ว่าเกิดอะไร ก็นั่งอยู่ข้างๆ นี่ไง ... คนดีบอกว่าอ่านบล็อก เริ่มต้นใหม่ แล้วเศร้า อ่านแล้วเหงาๆ เพราะชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป จากที่เคยเจอกันเกือบทุกวันก็จะไม่ได้เจอเหมือนเดิม ... มีเวลาว่างมากขึ้น เลยคิดถึงเรามากขึ้น พอคิดถึงแล้วน้ำตาจะไหล

พอคนดีพูดจบ ก็น้ำตาคลอ หยดมาเป็นเม็ดๆ ขับรถไปก็ปาดน้ำตาป้อยๆ ... เลยเอนไปซบ ไปออเซาะ ไปเกาะแกะให้รู้ว่ายังอยู่ข้างๆ อยู่เลย ยังไม่ได้ห่างกันสักหน่อย

เราคิดถึงมุมตัวเองว่าจะต้องเปลี่ยนต้องปรับยังไง แล้วคิดว่าคนดีคงจะง่วนอยู่กับงาน ... พอคนดีเปิดปาก เปิดใจ เปิดมุมของคนดีให้เห็น ว่าชีวิตประจำวันที่เคยเจอใครต่อใคร ต้องเปลี่ยนไปอยู่เพียงลำพัง ก็ต้องปรับตัวเยอะเหมือนกัน

ปกติคนดีไม่ค่อยบ่น ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยเล่าความรู้สึกของตัวเองเท่าไหร่ ...พอได้ยินก็ดีใจที่บอกให้รู้ แต่ฟังแล้วก็น่าสงสาร เพราะคนดีน้ำตาหยดก่อนเราซะอีก ... ที่กลัวว่าตัวเองจะงอแง คนดีกลับชิงน้ำตาหยดก่อนซะอย่างนั้น

คนดีจ๋า เค้าก็คงคิดถึงคุณมากๆ เหมือนกันค่ะ

3.10.51

The 2nd Eyebrow Treatment @ Anastasia

เมื่อต้นเดือน ก.ค. ได้ข่าว Anastasia Beverly Hills มาเปิดร้านให้บริการที่เซ็นทรัลเวิลด์ และมีโปรโมชั่นราคาพิเศษช่วงเปิดร้าน ... สนใจมานานแล้ว เลยรีบดิ่งไปทำ Eyebrow treatment ให้พนักงานจัดการวาดโครงคิ้ว แว็กซ์ ให้คิ้วได้รูป



คิ้วเปลี่ยนจากเดิมนิดหน่อย แต่ดูเป็นรูปเป็นทรงมากขึ้น ... ผลที่ออกมาน่าพอใจ เลยไปชักชวนสาวๆ ที่ออฟฟิศให้ไปลองใช้บริการด้วย แม้กระทั่งคนดีก็โดนหลอกลวงไปจัดการคิ้วโชกุนให้เป็นทรงเหมือนกัน



2 เดือนผ่านไป คิ้วด้านบนเริ่มขึ้นมาใหม่ เป็นปัญหากวนใจ ... เพราะที่ตัดสินใจไปใช้บริการตั้งแต่แรกก็เพราะคิ้วด้านบนที่ไม่กล้าจัดการเอง เพราะกลัวถอนแล้วแหว่ง เลยไปหาผู้เชี่ยวชาญช่วยแว๊กซ์จัดรูปคิ้วให้ ... แล้วก็กะว่าพอคิ้วเริ่มขึ้นก็จะถอนเอง แต่เผลอแผล็บเดียว แนวคิ้วสวยๆ ก็มีขนคิ้วเส้นเล็กๆ โผล่มาเป็นแนวขึ้นมาแล้ว ไม่กล้าถอนเองอีกตามเคย



โทรไปนัดเวลาจัดการคิ้วอีกรอบ จองล่วงหน้าเป็นเดือน และขอระบุตัวพนักงานที่เคยแว๊กซ์คิ้วให้ครั้งก่อน ... น้องคนนี้เป็นคนเดียวกับที่แว๊กซ์คิ้วให้คนดี และเป็นสาวที่ตรงสเปคคนดีด้วย



นัดเวลาไว้ 19.00 น. เมื่อวานมีพนักงานโทรมาคอนเฟิร์มนัด แล้วบอกว่าน้องคนที่ระบุไว้เข้ากะเช้า และเลิกงานก่อนเวลานัดของเรา ... ไม่เป็นไร งั้นใครก็ได้ เพราะยังไงก็ไปคนเดียวอยู่แล้ว



แต่วันนี้คนดีแวะมาหา มาส่งเสบียงเจมื้อเที่ยง มาปรึกษาเรื่องงาน และเรื่องไปปฏิบัติธรรม ... โปรเจคท์งานที่จะเริ่มสัปดาห์หน้า ต้องปรับแบบนิดหน่อย ถ้าไปปฏิบัติธรรมก็ต้องปิดมือถือ ละเรื่องยุ่งๆ กลัวว่าจะมีปัญหา ไม่รู้จะทำยังไงดี ... สรุปว่าเสาร์-อาทิตย์นี้คนดีไม่ได้ไปปฏิบัติธรรม เพราะจะเคลียร์งานก่อน เลื่อนไป 18-19 ต.ค.แทน



พอคนดีตัดสินใจเรียบร้อย เลยถามคนดีว่าจะไปนั่งรอระหว่างแว๊กซ์คิ้วมั้ย แต่น้องคนนั้นไม่ได้ทำให้นะ ... คนดีตกลงไป แต่บ่นเสียดายนิดหน่อย



พอใกล้เลิกงาน มีสายจากร้านเข้ามาอีก น้องคนนั้นโทรมาบอกว่าวันนี้มีนัดกันนะคะ แต่เลื่อนเวลาขึ้นมาเป็น 18.00 น.ได้มั้ย มีลูกค้ายกเลิกพอดีจะได้ดูแลคิ้วให้ ... รีบบอกข่าวคนดีทันที แล้วตกลงกันว่าจะรีบออกจากออฟฟิศ



ศุกร์ต้นเดือน ฝนตกทั้งวัน รถเลยติดหนึบหนับ เบี่ยงขึ้นทางด่วน จ่ายค่าผ่านทางเรียบร้อยก็จอดนิ่งสนิท ... เลยหาทางเบี่ยงไปทางด่วนขั้นที่ 2 ขึ้นจากดินแดง ลงอนุสาวรีย์ แล้วคนดีหยอดให้เราลงเพื่อไปต่อบีทีเอส ส่วนคนดีจะเอารถไปจอดที่บ้านแล้วจะตามมา



ระหว่างเดินไปบีทีเอส เห็นสภาพรถติดหนึบเต็มถนน เลยโทรบอกคนดีว่าให้รออยู่บ้านไม่ต้องตามมา แว๊กซ์คิ้วแบบเดียว เดี๋ยวก็เสร็จ เดี๋ยวเรากลับเอง ... ขึ้นบีทีเอสจากอนุสาวรีย์ ไปลงสยาม แล้วก็เดินจ้ำดิ่งไปเซ็นทรัลเวิลด์ ถึงร้านตอน 18.02 น. น้องคนนั้นนั่งรอรับอยู่แล้ว



เจอหน้ากันปุ๊บ ก็ตรงดิ่งเข้าห้องทรีทเม้นท์ทันที น้องบอกว่าเลิกงาน 18.00 น. แต่อยากจะจัดการคิ้วให้เราก่อน ... ขั้นตอนเหมือนเดิม แต่จัดการได้รวดเร็วขึ้นเพราะเป็นรูปเป็นร่างอยู่แล้ว 10 นาทีก็เสร็จเรียบร้อย แต่ช้าเพราะต้องประคบเย็นลดผื่นแดง และการระคายเคืองหลังการแว๊กซ์


ได้คิ้วสวยเป็นรูปเป็นทรงสมใจ แวะซื้อของกับขนมนิดหน่อย แล้วก็หาทางกลับบ้าน กลับไปหาคนดีที่รออยู่