31.8.51

NARS Workshop

เนื่องจากเป็นสมาชิก และเป็นแฟนประจำเครื่องสำอาง NARS จะมีไดเรคเมล์แจ้งข่าวส่งมาให้ที่บ้านเป็นประจำ ล่าสุดแจ้งข่าวจะจัดเวิร์คชอปก็สนใจ ... ลังเลอยู่สักพัก สุดท้ายก็โทรไปถามข้อมูล แล้วก็ไปซื้อโวเชอร์


เวิร์คชอปครั้งนี้มี 4 รอบ แต่เราเลือกรอบ 10.00-12.00 น. วันอาทิตย์ที่ 31 ส.ค. ซึ่งเป็นรอบที่ 2 มีคุณกมล ฉัตรเสน เป็นวิทยากร ... จัดที่ห้องพหลโยธิน 1-2 โรงแรมโซฟิเทล เซ็นทารา แกรนด์


เป็นวันอาทิตย์ที่ต้องตื่นแต่เช้าอีกวัน ไปถึงโรงแรมราวๆ 9.40 น. แจ้งชื่อเรียบร้อยก็นั่งรอเวลา ... นั่งมองสาวๆ ที่มาเวิร์คชอป ส่วนใหญ่มาหน้าเกลี้ยงๆ โล้นๆ เหมือนกัน เพราะเดี๋ยวก็ต้องล้างหน้า แต่งหน้าใหม่อยู่ดี

ห้องจัดขนาดไม่ใหญ่มาก จัดวางโต๊ะไว้ 6 ชุด ชุดละ 4 คน มี Nars Artist ดูแลอยู่โต๊ะละ 2 คน เต็มพื้นที่ห้องพอดี ... มีเซทเมคอัพและสกินแคร์ตั้งไว้โต๊ะละชุด ให้แบ่งกันใช้ แต่มีเซทแปรงแต่งหน้าให้คนละชุด แยกกันใช้ ไม่ต้องแย่งกัน


เริ่มต้นด้วย Nars Artist แนะนำสกินแคร์ ทั้งประเภททำความสะอาด และบำรุง ... แนะนำแล้วก็ให้ทดลองใช้จริง อายรีมูฟเวอร์ คลีนซิ่งมิลค์ โทนเนอร์ อายครีม ครีมบำรุงผิวตัวใหม่ ปิดท้ายด้วย Primer ... ทำความสะอาดและเตรียมผิวก่อนแต่งหน้า




จากนั้นก็เริ่มขั้นตอนการเมคอัพ ที่คุณกมลมารับหน้าที่ต่อ ... เวิร์คชอปวันนี้แนะนำเทคนิคการแต่งหน้าแบบ Fall Collection 08 คอลเล็คชั่นล่าสุดของ Nars ... ตาเป็นสโมคกี้อายสีน้ำตาล กลมๆ นุ่มๆ ส่วนปากและแก้มชมพูอ่อนๆ


พอคุณกมลแนะนำเทคนิค และแต่งหน้าให้นางแบบเสร็จ ก็ได้เวลาที่ผู้ร่วมเวิร์คชอปต้องลุยแต่งหน้ากันเอง ... เรานั่งไกลจากเซทเมคอัพ ต้องยืดแขนผ่านหน้าคนข้างๆ ไปหน่อย พนักงานเลยส่งพาเลตต์รุ่นใหม่มาให้จะได้สะดวกขึ้น ... แต่ใจอยากจะลองใช้สีอื่นที่เข้มกว่านี้ สุดท้ายเลยแต่งหน้าตามความเคยชิน ไม่ออกมาเป็นสโมคกี้อายอย่างแบบ เลยหันไปขอความช่วยเหลือว่าถ้าลงสีเข้มกว่านี้จะดุไปมั้ย พนักงานเลยลองลงให้ดู


ผลออกมาได้สโมคกี้อายแบบนุ่มๆ แต่สีออกเทาๆ ก็ไม่เลวนัก ... ข้างที่ลงไว้เองเป็นแบบกลางวัน พอเติมสีเข้มขึ้น ไล้ให้เต็มพื้นที่ตามากขึ้น ก็กลายเป็นสโมคกี้อายสำหรับไปปาร์ตี้ หรือ งานกลางคืนต่อได้


ส่วนแก้ม กับ ปาก ก็ใช้สีคอลเล็คชั่นใหม่ สีเดียวกับนางแบบเป๊ะ ... รวมๆ ออกมาก็ไม่เลว


เติมสีให้หน้าเรียบร้อย ก็ได้เวลาช้อปต่อ เดินย้ายไปห้องข้างๆ ได้เลย เพราะยกเคาน์เตอร์ย่อมๆ มารอลูกค้าแล้ว ... โวเชอร์ที่ซื้อมาเวิร์คชอป นำไปแลกซื้อสินค้าได้เต็มมูลค่า ซื้อไม่ถึงก็ไม่ได้เงินทอน ซื้อเกินก็จ่ายเพิ่ม ... ก่อนจะมาก็เล็งไว้คร่าวๆ ว่าอยากได้อะไร แต่พอถึงเวลาจริงๆ ตาลาย งง เลือกไม่ถูก


เสียทรัพย์ส่งท้ายเดือนเก่า ต้อนรับเดือนใหม่ไปเรียบร้อย ... หลังจากนี้คงต้องจำศีล เก็บมือ งดซื้อเครื่องสำอางอีกนาน เพราะในกรุที่มีอยู่ น่าจะมีครบทุกอย่างแล้ว ... แต่แว่วๆ ว่า ทริปท่องเที่ยวของบริษัทปีนี้ นายจะพาไปเกาหลี แล้วจะเก็บมือไม่ซื้อเครื่องสำอางได้เหรอนี่


30.8.51

เจ๊เล้ง - ตื่นตา และ น่าเวียนหัว

รู้จักร้านเจ๊เล้งมานานแล้ว แต่เคยไปแค่ครั้งเดียว แล้วตอนที่ไปร้านยังอยู่ในตลาดตรงข้ามสนามบินดอนเมืองด้วย ... ตั้งแต่ร้านย้ายมาตึกใหม่ใหญ่โตริมถนนวิภาฯก็ไม่เคยไปเลยสักครั้งเดียว

เมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อนคนดีมีนัดเจอลูกค้าที่นั่น ... คนดีกลับมาพร้อมกับอาการตื่นเต้น เพราะตื่นตาตื่นใจที่ได้เจอของกินของใช้มากมายละลานตาเต็มร้านเจ๊เล้ง อาการเหมือนเด็กๆ ที่เพิ่งเดินเข้าร้านของเล่น ... พอเจอหน้าเราปุ๊บก็เล่าทันทีว่าไปเจออะไรมาบ้าง แล้วอยากให้เราไปเดินด้วยกัน

ขอมาเลยจัดให้ เสาร์นี้เดิมมีโปรแกรมต้องเข้ามาดูช่างคอมฯ แต่ช่างโทรมาขอเลื่อน เลยว่าง ... ว่างแล้วก็ไปร้านเจ๊เล้งแล้วกัน

คนดีแวะมารับตอนบ่ายนิดๆ ตรงดิ่งไปร้านเจ๊เล้งเลย ไปหามื้อเที่ยงเอาแถวนั้น ... ได้ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูใส่ผักหวาน คนละชาม กับลูกชิ้นหมูลวกจิ้มมาแบ่งกัน ... ท้องอิ่มแล้วก็ลุยกันได้

เริ่มจากของใช้ชั้นล่าง ... คนเยอะ วุ่นวาย น่าเวียนหัว แต่ที่ทำให้มืนคือ กลิ่นน้ำหอมที่ตีกันตลบอบอวล

ได้ของที่ต้องการแล้ว ก็ย้ายขึ้นชั้นบน สารพัดสารพันของกิน พื้นที่ที่คนดีโปรดปราน ... คนน้อยหน่อย เดินง่ายขึ้นนิดนึง แต่ก็ยังอึดอัดวุ่นวายอยู่ดี

ใช้เวลาเดินดูของ ซื้อของ รวมกินข้าว ไปราวๆ ชั่วโมงนิดๆ ใช้เวลารวดเร็วว่องไว ... ถึงจะใช้เวลาไม่มากแต่ก็ได้ของติดมือกันมาพอสมควร

ของเรา ขนตาปลอม ที่เขียนคิ้ว ลิปบาล์ม โลชั่นทาตัว ชอคโกแลตเล็ก 1 ใหญ่ 1 ทูน่ากระป๋อง น้ำผลไม้ ... ของคนดี แครคเกอร์ห่อใหญ่ เส้นสปาเกตตี้ ทูน่ากระป๋อง เครื่องแกงกะหรี่ญี่ปุ่น โลชั่นทาตัว น้ำผลไม้ ป็อคกี้ญี่ปุ่น โคลอนญี่ปุ่น

ซื้อของเสร็จก็ตรงดิ่งกลับเข้าบ้านมาพัก เพราะมีนัดจะไปหม่ำข้าวกับญาติๆ ต่อ พ่อนัดคุณย่า กับ อา ไปกินข้าวเย็นที่ร้านวิเศษไก่ย่าง ... คนดีที่ตื่นตากับของ และลำบากกับการเดินถือของหลบคน ส่วนเรามึนหัวจากกลิ่นน้ำหอม และคนเยอะ ต้องพักเอาแรงกันทั้งคู่ ... เฮ้ออออออ สงสัยต้องไปเดินวันธรรมดา น่าจะดีกว่านี้

29.8.51

Made of Honor - กั๊กหัวใจให้เพื่อนเลิฟ

เคยประทับใจกับหนัง My Best Friend's Wedding ที่นางเอกแอบรักเพื่อนหนุ่มคนสนิทที่กำลังจะแต่งงาน ... พอเห็นหนังตัวอย่างเรื่องนี้ ที่สลับเป็นพระเอกแอบรักเพื่อนสาวคนสนิทที่กำลังจะแต่งงาน เลยตั้งใจว่าจะดูให้ได้ ว่าหนังจะลงเอยอย่างไร


วันศุกร์สิ้นเดือน รถบนท้องถนนเยอะแน่ๆ คนดีมาถึงพร้อมกับหน้าตาเซ็งๆ เลยชวนกันรีบเก็บของออกจากออฟฟิศ ... มุ่งหน้าไปเอสพละนาดที่ประจำ


รถเยอะ เพราะมีละครเวที แล้วยังมีงานเจอร์ไฮ มาย ด๊อก เดย์ ด้วย ... พอหาที่จอดรถได้ก็รีบขึ้นไปจองตั๋วทันที มีการจัดพื้นที่ Box office ใหม่ จัดพื้นที่ให้มีตู้ขายตั๋วอัตโนมัติมากขึ้น เลยหลวมตัวซื้อ Esplanade cineplex cash มาซะ ... เพราะเบื่อที่จะต้องเข้าคิวรอซื้อตั๋วแบบเดิม เพราะบางคนไปซื้อตั๋วหนัง เหมือนไปทำเรื่องจดทะเบียนสมรส ยืนจ้องหน้าจอนานเหลือเกิน ไม่เข้าใจว่าการเลือกที่นั่งในโรงหนังจะต้องไตร่ตรองอะไรนานขนาดนั้น


ได้ตั๋วหนังจากเครื่องรวดเร็วสมใจ แต่ถ้าวันไหนเจอระบบล่ม คงมีอาการของขึ้นแน่ๆ ... ได้ตั๋วแล้วก็รีบไปหาอะไรหม่ำ เพราะหิวกันทั้งคู่ ขืนช้าคงมีคนของขึ้นเพราะโมโหหิว ... วันนี้มีเวลาพอสมควร เลยเลือกเข้าฟูจิ ยำสาหร่าย ยำปลาโอ ไข่ตุ๋น ข้าวห่อสาหร่ายไส้ปูอัด ข้าวห่อสาหร่ายไส้กุ้งเทมปุระ บะหมี่เย็น ... สองคนช่วยกันจัดการเกลี้ยงทุกจาน


อิ่มแล้วก็แวะเดินดูงานเจอร์ไฮหน่อยนึง แวะซื้อขนมฝากลูกหมาโม่ แล้วก็แวะดูลูกหมาตัวเล็กๆ น่ารัก ... แวะดูอยู่นานจนใกล้เวลาหนังฉาย ก็รีบตาเหลือกขึ้นไป



- เรื่องย่อ -

"ทอม" หนุ่มเจ้าชู้ หล่อเหลา ประสบความสำเร็จ เขามั่นใจว่าตัวเองสามารถพึ่งพา "ฮันนาห์" เพื่อนสนิทที่คอยอยู่เคียงข้างเขาเสมอมาได้ตลอดไป ... กระทั่งฮันนาห์ต้องเดินทางไปทำธุระที่สก็อตแลนด์เป็ฯเวลา 6 สัปดาห์ ทอมจึงได้รู้ซึ้งว่า ชีวิตเขาว่างเปล่าแค่ไหนเมื่อขาดเธอ เขาจึงตั้งใจว่าเมื่อฮันนาห์กลับมา เขาจะขอเธอแต่งงาน


แต่แล้ว ทอมก็ต้องตะลึงเมื่อได้รู้ว่า เธอหมั้นหมายกับหนุ่มหล่อรวยชาวสก็อตแลนด์ ทั้งยังวางแผนจะย้ายไปอยู่กับเขาอีกต่างหาก ... เมื่อฮันนาห์ขอให้ทอมเป็นเพื่อนเจ้าสาว เขาจึงต้องกล้ำกลืนฝืนทนรับหน้าที่ พร้อมกับพยายามจีบฮันนาห์ให้สำเร็จ และยุติงานแต่งงานให้ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป


เป็นหนังโรแมนติคคอมเมอดี้ ที่ดูเพลินๆ ดีค่ะ ... บทบรรยายไทยเป็นผลงานของคุณจิระนันท์ พิตรปรีชา ซับเลยสละสลวยและช่วยเสริมหนัง เพราะบางประโยคแปลมาได้ฮามากๆ


พระเอกหล่อ นางเอกน่ารัก ช่างเหมาะสมเข้ากันดีเหลือเกิน ดูไปก็ลุ้นไปว่าจะลงเอยยังไง ... หนุ่มสก็อตแลนด์ ก้างขวางทางรักของพระเอก ก็ช่างสมบูรณ์ครบถ้วนเหลือเกิน ... ดูแล้วก็ลุ้นว่า รักแรกพบระยะเวลาไม่เกิน 6 สัปดาห์ กับ รักซึมลึกระยะเวลา 10 ปี อันไหนจะมีอาณุภาพมากกว่ากัน


ดูหนังจบก็เดินอมยิ้มออกมาทั้งคู่ แล้วสักพักก็ขำคิกคักพร้อมๆ กัน พอหันมาคุยกันก็รู้ว่าขำเรื่องเดียวกัน ... นั่นคือ คุณยายของนางเอกกับสร้อยพิเศษที่คุณยายโปรดปราน ไม่รู้ใครจะขำเหมือนเรามั้ย แต่เราสองคนประทับใจคุณยายมากๆ


เป็นหนังที่ดูเพลินๆ ดูก็ได้ ไม่ดูก็ได้ แต่ดูแล้วก็ไม่ได้นึกเสียดายตังค์ ... อย่างน้อยก็ได้ขำ สร้างบรรยากาศดีดีให้ชีวิต ในช่วงสถานการณ์บ้านเมืองแบบนี้

(โรงหนัง - Esplanade : รอบ - 18.25 น.)

28.8.51

เพื่อนสาว

เพิ่งเจอเพื่อนสาวคนใหม่ เมื่อสัปดาห์ก่อนนี้เองค่ะ เพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่สนิทสนม คุ้นเคยกันอย่างรวดเร็ว ... จะว่าไปแล้ว ก็เห็นหน้าค่าตากันมาพอสมควรแล้ว แต่เพิ่งจูนเครื่องตรงกัน แล้วกลายมาเป็นเพื่อนสาวคู่ซี้เมื่อไม่นาน

เพื่อนสาวคนที่ว่า ชื่อ "นก" ชื่อเดียวกับคนดีเลยค่ะ ... ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ คนดีกลายเป็นเพื่อนสาว เพิ่มอีกตำแหน่งแล้วค่ะ

ตั้งแต่เริ่มคบกัน เราก็โน้มน้าวให้คนดีสนใจดูแลผิวหน้าตัวเองเพิ่มขึ้น ... ถึงคนดีจะไม่ได้มีปัญหาผิวหน้า ไม่มีสิว ไม่มีกระ ไม่มีริ้วรอย หน้าตึง แก้มเต่ง ใสเด้งอยู่แล้ว ก็ควรจะดูแลเสียแต่เนิ่นๆ จะได้คงสภาพผิวที่ดีเอาไว้นานๆ

เริ่มจากการแนะนำให้ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ และครีมกันแดด จนคนดีติด ... พอเจอเราขัดหน้า มาส์กหน้า แล้วแก้มนุ่มนิ่ม คนดีก็สนใจอยากจะลองบ้าง พอลองแล้วก็ติดใจ มาใช้บริการเป็นประจำ

แต่ผิวหน้าคนดีเป็นผิวผสม ทีโซนมัน แต่ช่วงแก้มแห้ง และค่อนข้างแพ้ง่าย ก็ต้องเลือกครีมให้เหมาะ ... เมื่อต้นปีเกิดมีผื่นแพ้ขึ้นเป็นปื้น ผิดปกติ เลยต้องไปหาหมอผิวหนัง .... จนไปเจออากาศเย็นแต่แห้งที่เมืองจีน หน้าเลยแห้งลอกเป็นขุย กลับมาก็ไปทะเลต่อ เจอแดดแรงๆ หน้าเลยทั้งคล้ำ ทั้งลอก ต้องบำรุงเพิ่มเต็มที่

จากที่ไม่เคยทาครีม เดี๋ยวนี้มีครีมบำรุงเป็นชุด ทั้งเซรั่ม มอยส์เจอร์ และครีมกันแดด ... แล้วยังมีบาล์มที่ช่วยลดเลือนรูขุมขนที่กว้างตรงช่วงแก้มเพิ่มมาอีก

แล้วช่วงนี้ต่อมอยากสวยของเราอักเสบขั้นรุนแรง จากที่สนใจสกินแคร์ ก็มาสนใจเมคอัพเพิ่มด้วย ... แล้วแต่งหน้าตัวเองไม่พอ เวลาออกไปข้างนอกต้องพบปะผู้คน ก็จับคนดีซับหน้า ลงทิ้นท์จางๆ ที่แก้ม ทาแป้งพัฟ แล้วก็เติมทิ้นท์ที่ปากสักหน่อย ก่อนจะตบท้ายด้วยลิปบาล์ม

แรกๆ คนดีก็ขัดขืน ไม่ยอม พอบอกว่าขอแค่ให้หน้าไม่มัน แล้วเติมสีจิ๊ดเดียวให้ดูสุขภาพดีแค่นั้น ก็หยวนๆ ... แล้วพอไปเจอใครต่อใคร พากันทักว่าหน้าใส หน้าเด้ง ทีนี้เลยยิ้มแก้มเต่ง หน้าบาน ติดใจร้องขอเองเลย ถ้าต้องออกงานเมื่อไหร่ ต้องเผื่อเวลาเติมหน้าให้คนดีทุกครั้ง

ต่อมาก็มีความคืบหน้า โดนจับเขียนขอบตาเพิ่มอีกหน่อย ก็ขัดขืนไปตามประสาเพราะเคืองตา แต่ก็จำต้องยอมเพราะขัดไม่ได้ ... พอเสร็จแล้วมีคนชมว่าไม่เลว ดูซ่าดี ก็ชักติดใจอีก ... ประกอบกับเห็นเชน จาก L Word ขอบตาเข้มๆ ก็เข้าที ถึงจะตาโตไม่เท่าเค้า แต่พอเข้มแล้วก็ไม่น่าเกลียดนัก เลยติดใจยอมให้เขียนเป็นครั้งคราว

โดนจับเติมนั่นนี่อยู่บ่อยครั้ง นานๆ ทีก็ยอมหยวนให้เราฝึกฝีมือลองแต่งหน้าให้บ้าง ... บ่นว่าขี้เกียจล้างหน้า ล้างลำบาก เลยต้องต่อรองว่าแต่งให้ เดี๋ยวก็ล้างให้ด้วย ถึงได้ยอมเป็นตุ๊กตาให้เรา ... เห็นเราแต่งหน้าเราเอง แล้วก็มาเล่นซนกับหน้าตัวเค้าด้วย เลยทั้งชิน และทั้งสงสัย ถามว่าอันนั้นไว้ทำอะไร อันนี้ไว้ทำอะไร

พอเจอเราซื้อ eyelash tonic เป็นเจลใสช่วยบำรุงขนตามาใช้ ... คนดีก็สนใจ เพราะมีปัญหาขนตาสั้นเหมือนกัน ... พอเราบอกว่าใช้แล้วรู้สึกขนตาแข็งแรงขึ้น ไม่ค่อยร่วงมากนัก คนดีเลยตาโต ให้เราช่วยหาซื้อมาใช้ด้วย

ล่าสุด โดนโน้มน้าวให้ไปทำคิ้ว ก็ยอมไป ... ไปแล้วยังซื้อ Brow powder มาเติมหางคิ้วเองด้วย

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน คนดีมีนัดกับลูกค้าที่เจ้เล้ง ไปถึงก็โทรมาถามว่าเราอยากได้อะไรมั้ย ... ตอบส่งๆ ไปว่า "ขนตาปลอม" ได้ยินคำตอบแล้วก็บ่นนิดหน่อยว่าจะซื้อยังไง เลยต้องบอกว่าพูดเล่น ไม่เอาอะไรหรอก ... ตอนมาถึงออฟฟิศ คนดีก็ถือถุงติดมือมาด้วย บอกว่ามีของมาฝาก เปิดถุงเจอ "ขนตาปลอม 2 คู่ กับ สเปรย์น้ำแร่ 1 ขวดเล็ก" ... ว๊าย ตายแล้ว น่ารักจริงๆ

ทุกวันนี้ เช้า-เย็น คนดีก็มีภารกิจวุ่นวายกับหน้าตัวเองมากขึ้น ... กลางคืนทาครีมอยู่ 2-3 ขั้นตอน ต่อด้วย eyelash tonic ที่ทาขนตา และคิ้ว เพื่อบำรุง ... ตื่นเช้ายุ่งขึ้นอีกหน่อย ทาครีมแล้ว ตามด้วยกันแดด eyelash tonic ทาแป้งผุ่น แล้วต้องเติมสีหางคิ้วนิดนึง

จนวันนึงระหว่างที่นั่งอยู่บนรถ คนดีก็บ่นว่า เดือนที่ผ่านมาซื้อสินค้าสวยๆ งามๆ ไปเยอะมาก ... ตังค์ก็หมด แล้วยังต้องเสียเวลาทาครีมเพิ่มขึ้นด้วย จะไม่ทำก็ไม่ได้ เราก็อือๆ ออๆ รับฟัง ... แล้วก็ได้ยินประโยคเด็ด "เนี่ย เค้ากลายเป็น 'เพื่อนสาว' ของตัวไปแล้ว" พูดแล้วก็ทำนิ้วกรีดกราย นิ้วก้อยเด้งด้วย ... โอ๊ย ได้ยินแล้วขำกลิ้ง เห็นท่ากรีดกรายยิ่งขำหนัก เออ เนอะ เป็นเพื่อนสาวจริงๆ ด้วย

แหม ดีจัง มีแฟนคนนึงนี่เป็นครบทุกอย่างเลย ... เป็นเพื่อนกิน เป็นเพื่อนเที่ยว เป็นคนขับรถประจำตัว เป็นที่ปรึกษา ล่าสุดเพิ่มตำแหน่ง "เพื่อนสาว" ขึ้นมาอีก ... เป็นเพื่อนสาวที่หวงมากที่สุดด้วยนะคะ

27.8.51

หอยทอด @ สุทธิสาร

หอยทอดร้านนี้เป็นรถเข็น อยู่ในละแวกบ้าน ... เป็นร้านหอยทอดในดวงใจ เพราะกินหอยทอดร้านไหน ที่ไหน ก็ไม่ถูกใจถูกปากเหมือนร้านนี้ ... พิจารณาดูแล้วว่าที่ถูกใจถูกปากเป็นพิเศษ น่าจะเกี่ยวกับกินจนชิน จนคุ้นลิ้น ติดปาก ติดรสชาติแบบนี้ ... ไปเจอหอยทอดที่อื่น แบบอื่น เลยไม่โดน คนอื่นมาลองชิมก็อาจจะไม่ชอบแบบนี้ก็ได้


จะไม่ให้คุ้นลิ้น ติดรสชาติได้ยังไง ก็ร้านนี้เป็นหอยทอดร้านแรกที่ได้กิน กินตั้งแต่เรียนอนุบาล จำได้ว่าแต่ก่อนจะมีข้าวต้มปลาขายคู่กันด้วย ... ส่วนน้องสาวของร้านนี้ก็ขายผัดไทยอยู่ใกล้ๆ กัน ... พอสามีคุณน้าเจ้าของร้านเสียชีวิต ก็ยังเปิดขายอยู่อีกสักพัก ก่อนจะเลิกขายหายไป ... ทั้งเรา ทั้งหม่ามี้ เศร้าเลย เพราะอดกินหอยทอดอร่อยๆ ถูกปาก


พอนึกอยากกินหอยทอดอร่อยๆ ก็ไม่รู้จะไปตระเวนหาที่ไหน ไปลองชิมหลายที่ก็ไม่ถูกใจ แป้งบางไปบ้าง แป้งนิ่มไปบ้าง น้ำจิ้มไม่อร่อยบ้าง ... ยังไม่เจอร้านที่โดนใจสักที


จนเมื่อปีที่แล้ว คุณน้ากลับมาขายอีกครั้ง พอรู้ข่าวก็ดีใจทั้งแม่ทั้งลูก ตามกลับไปเป็นลูกค้าประจำกันทั้งคู่ ... คนซื้อดีใจ คนขายก็ดีใจ ที่ลูกค้าเก่ายังอยู่ เพราะกินกันตั้งแต่ตัวกระเปี๊ยกเดียว จนเดี๋ยวนี้ตัวเบ้อเร่อแล้ว เห็นหน้าก็จำได้แล้วว่าชอบแบบไหน


หอยทอดร้านนี้แป้งกรอบ กับ น้ำจิ้มใสๆ อมเปรี้ยวอมหวาน ... ราดน้ำจิ้มชุ่มๆ ให้ซึมเข้าเนื้อแป้ง แล้วก็ตักเข้าปาก เคี้ยวกร้วมๆ อูย อร่อยถูกใจที่สุด


สองคนแม่ลูกเวลาไปซื้อก็จะถือจานพร้อมถ้วยน้ำจิ้มใบโตไปจากบ้าน ข้ามถนนไปยังไม่ถึงร้าน เจ้าของร้านเห็นหน้าก็คว้าตะหลิวเตรียมทันที ... แม่ลูกกินเหมือนกัน หอยทอดกรอบๆ น้ำจิ้มเยอะๆ ... แต่ถ้าหม่ามี้สั่งพิเศษ ก็จะชอบแบบเดิม คือมีเนื้อหอยแมลงภู่ทอดราดมาเพิ่ม ... ส่วนเราชอบแบบที่มีแป้งด้วย เลยเป็นจานพิเศษทีเพิ่มปริมาณทั้งแป้งและหอยแมลงภู่


เมื่อวานเดินกลับบ้านเอง เลยแวะซื้อติดกลับเข้าบ้านด้วย อาทิตย์นี้ไม่ไดเอท ไดอด เลยถือโอกาสกินซะก่อน เพราะอาทิตย์หน้าจะเข้าโปรแกรมอดอีกรอบ ... ระหว่างนั่งรอ เลยคว้ากล้องมาถ่ายรูปเก็บไว้ เพื่อใครบังเอิญเปิดเจอแล้วเกิดนึกอยากแวะมาชิมบ้าง ช่วยคุณน้าเจ้าของร้านสักนิด มีลูกค้าอุดหนุนเพิ่ม จะได้ไม่หนีหายไปอีก


พิกัดที่ตั้งร้าน - ร้านอยู่ในซ.อินทามระ 33 ปากซอยมีร้านแสงทอง ที่ขายข้าวหมูแดง ข้าวหน้าเป็ด ... ร้านตั้งอยู่ติดกำแพงร้านแสงทองเลยค่ะ เปิดขายช่วงเย็น ตั้งแต่ 16.30 เป็นต้นไป ไม่แน่ใจว่าขายถึงกี่โมง เพราะไม่เคยออกมาซื้อตอนดึกๆสักที ส่วนใหญ่จะเปิดขายทุกวัน แต่ก็มีแอบหยุดไปบ้าง ... ราคาอยู่ที่ ธรรมดา 30 บาท พิเศษ 40 บาท (ราคาที่เห็นบนป้ายในรูปเป็นราคาเก่าค่ะ)

25.8.51

รำลึกถึงไดอารี่

ตอนเด็กๆ เคยเขียนไดอารี่เล็กๆ น้อยๆ ตามประสา พอค้นสมบัติแล้วเจอไดอารี่เล่มเก่าๆ ก็ตื่นเต้น ... เปิดอ่านแล้วก็ขำปนงง ว่าเขียนอะไรไว้บ้างเนี่ย แล้วก็ต้องรำลึกความหลังว่าตอนนั้นวันๆ ทำอะไร เจอใครบ้าง ถึงได้เขียนเก็บไว้


จากนั้นก็ไม่ได้เขียนไดอารี่อีกเลย เพราะกลัวใครบังเอิญอ่านเจอคงขำ ว่าเขียนบ้าอะไรเนี่ย ... จนมาเจอไดอารี่ของเลสล่า ลองอ่านของหลายๆ คนแล้วต่อมอยากเขียนไดอารี่ที่ซ่อนอยู่ก็เริ่มอักเสบ


เหตุผลแรกๆ คือ อยากบันทึกเรื่องราวระหว่างเรากับคนดีเก็บเอาไว้ ... ตอนแรกตั้งใจว่าจะแอบเขียนไปเรื่อยๆ เผื่ออยากจะบ่นคนดีเรื่องอะไรก็จะได้บ่นเต็มที่ ... แต่เพราะเขียนแล้วก็ไปอ่านเรื่องชาวบ้านด้วย อ่านมาแล้วก็อยากจะเล่าให้คนดีฟัง เลยต้องเล่าทั้งหมดว่าเริ่มไปเขียนไดอารี่ด้วย


เขียนไป อ่านไป ก็ติดหนึบหนับ ต้องเปิดดูทุกวัน ... เซคชั่นอื่นๆ ไม่ได้แวะเวียนไป หมกหมุ่นอยู่แต่กับไดอารี่เท่านั้น ไม่มีเรื่องให้เขียนก็ขอไปอ่านไดของคนอื่นแล้วกัน


จากไดอารี่ตามแบบฟอร์มที่เว็บมีให้ ก็มีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ... มีน้องๆ ใจดีช่วยอนุเคราะห์ cover กับ background ส่งมาให้ ใส่รูปเป็น รู้จักใส่โค้ดอะไรต่อมิอะไรเพิ่มขึ้น ลงเพลงได้ ... เลยสนุกกับการเขียนมากขึ้น


แล้วพอเขียนไปเรื่อยๆ ก็ค้นพบประโยชน์จากไดอารี่มากขึ้น ... นั่นคือ เป็นบันทึกช่วยจำอย่างดี ... นึกไม่ออกว่าทำอะไรไปเมื่อไหร่ เปิดดูย้อนหลังจากไดได้ ทีนี้เลยเขียนมันซะทุกเรื่อง กิน เที่ยว หนัง เพลง หนังสือ หมา แมว เรียกว่าชีวิตประจำวันทำอะไร เป็นเก็บมาลงไดอารี่ได้หมด ... เมมโมรี่ในสมองที่เริ่มเต็มตามอายุที่เพิ่มขึ้น ก็ได้อาศัยไดอารี่ช่วยจำอีกทาง


และที่สำคัญคือ ได้มิตรภาพผ่านตัวหนังสือ ... พบเพื่อนใหม่ผ่านตัวหนังสือ ได้กำลังใจผ่านตัวหนังสือ ... จนพัฒนามาเจอกันตัวเป็นๆ เลยยิ่งติดไดหนึบหนับกว่าเดิม เพราะมีไดที่ติดตามอ่านอยู่


จนไดอารี่ของเลสล่าเจ๊ง 2-3 วันแรกก็ยังหงุดหงิดนิดหน่อย แต่พอ 7 วันผ่านไปชักกลุ้ม งุ่นง่านมีอาการเหมือนจะลงแดง เพราะติดทั้งเขียนและอ่าน นี่เขียนก็ไม่ได้ อ่านก็ไม่ได้ ... เซ็งจริงๆ ... สุดท้ายก็ทำใจว่าคงไดคงพิการแบบนี้อีกนาน แล้วก็ต้องหาที่ใหม่


เสาร์ที่ผ่านมา ระหว่างรอเวลาออกเดินทางไปอัมพวา มือถือก็ส่งสัญญาณเตือนแจ้งข้อความที่บันทึกเอาไว้ว่า "เขียนไดอารี่ครบ 3 ปีแล้ว" ... อ่านแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะไดเจ๊ง


ถึงตอนนี้จะมีบล็อกใหม่ มีที่เขียนแล้ว มีสมาชิกหน้าเก่าๆ ที่คุ้นเคยทยอยมาเขียนให้ตามอ่านต่อ ... แต่ก็ยังนึกถึงไดที่เลสล่า ยังคลิกเข้าไปดูทุกวัน เผื่อจะอาการดีใช้ได้ และที่สำคัญ อยากได้ข้อมูลเก่าๆ ที่เคยเขียนไป


ไดหลายร้อยหน้า ที่อยู่ในนั้น ทั้งเรื่อง ทั้งรูป ไม่มีข้อมูลแบ็คอัพเก็บเอาไว้เลย เพราะจิ้มเขียนสดๆ ทุกที ... พอไดเจ๊ง ทั้งรูป ทั้งเรื่องที่อยู่ในนั้นก็กลายเป็นความทรงจำ ... แล้วเป็นความทรงจำแบบเลือนลางด้วย เพราะฝากไดช่วยจำไว้ แล้วไดเจ๊งแบบนี้ ช่วงเกือบ 3 ปีที่เขียนเอาไว้ก็โบ๋ไปเลย จำไม่ได้ว่าทำอะไร เมื่อไหร่ ... แง แง แง แง อยากได้ข้อมูลในได จะทำยังไงดี


รำลึกถึงไดอารี่ด้วยความคิดถึง ... และรำลึกถึงไดอารี่ด้วยความอาลัยกับข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในนั้น



24.8.51

เรือนปลาทู @ ดอนหอยหลอด

บล็อกที่แล้ววนเวียนอยู่ในอัมพวา ... บล็อกหน้านี้ก็เป็นตอนต่อมาว่าออกจากอัมพวาแล้วไปไหน ทำอะไรกันต่อ ทายถูกมั้ยเอ่ย


ออกจากอัมพวาตอนใกล้ๆ เที่ยง ก็มุ่งหน้าไปดอนหอยหลอด ... ไม่ได้มีโปรแกรมไปหยอดปูนขาว จับหอยหลอด แต่จะไปหม่ำมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารร้านประจำค่ะ

ตอนใกล้เที่ยงคืนมีสมาชิกมาเพิ่มอีก 1 คน พร้อมรถอีก 1 คัน ... เลยต้องทำการจัดสรรสมาชิกประจำรถกันใหม่ แล้วตกลงเรื่องเส้นทางไปร้าน

ถึงร้านปุ๊บก็ยิ้มออกทันที เพราะลีลาของน้องปลาทูที่ยืนโบกรถอยู่หน้าร้านยังน่าประทับใจเหมือนเดิม ... จอดรถเสร็จปุ๊บ สาวน้อยก็วิ่งมารับถึงรถปั๊บ

เดินเข้าร้าน เลือกมุมเดิม นั่งโต๊ะตัวเตี้ยเอกเขนกสบาย แล้วก็สั่งอาหาร ... มา 9 คน สั่งอาหาร 8 อย่าง กินกันเพลินๆ สบายๆ



แกงส้มปูไข่หน่อไม้ดอง จานโปรดที่ต้องสั่งทุกครั้ง ... มากินกี่ครั้งก็ยังเด็ดเหมือนเดิม รสจัดจี๊ดจ๊าดไม่เคยเปลี่ยน



ปลาทูซาเตี๊ยะ จานโปรโมชั่น จานนี้ราคา 20 บาทเท่านั้น ... ปลาทูเนื้อแน่น 5 ตัว กับน้ำราดหวานๆ เค็มๆ



ปลาเก๋าทอดกระเทียม เนื้อปลาหันเป็นชิ้นก่อนทอด ทานง่าย ... แป๊บเดียวเหลือแต่หัว เพราะกรอบทานได้ทั้งตัว


น้ำพริกไข่ปู เนื้อน้ำพริกข้น ... อร่อย



ปลาทูย่างน้ำปลาหวาน หอมๆ มันๆ ... ขอหอมเจียวมาโรยเพิ่ม อร่อย



หอยหลอดผัดฉ่า ... หอยหลอดตัวตัว หอมสมุนไพร คลุกข้าวร้อนๆ อร่อยอีกแล้ว


ข้าวผัดปูจานโต ... แป๊บเดียวเกลี้ยงจาน


ไม่รู้ว่าอาหารอร่อย หรือว่าหิว เพราะหมดเกลี้ยงทุกจาน ... อิ่มเสร็จแล้วก็นั่งเม้าท์ นั่งอำ นั่งขำ นั่งฮา เหยียดขาเอกเขนกเฮฮากันอยู่จนบ่ายสองโมง ก็ได้เวลาแยกย้ายสลายตัว


อาหาร 8 อย่าง น้ำเปล่า 4 ขวด เป็บซี่ลิตร 2 ขวด น้ำแข็ง 2 ถัง ... ค่าเสียหายทั้งหมด หลังจากหักส่วนลดค่าอาหาร 10% แล้ว เหลือ 1,155 บาท


สมาชิกลงมติว่า อิ่มอร่อย ถูกใจ ในราคาที่ไม่ลำบากกระเป๋าเท่าไหร่ ... หลายคนที่ยังไม่เคยมาเลยติดใจ เก็บร้านนี้เข้าลิสท์รายการร้านโปรดเหมือนกัน

23.8.51

เฮฮา ... อัมพวา

ทริปอัมพวาเกิดขึ้นอีกแล้วค่ะ เป็นการไปอัพวาครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่แน่ใจ ว่า 7 หรือ 8 ... ทริปนี้เกิดเพราะคนดีบ่นอยากไปอัมพวา แล้วสาวๆ ที่ออฟฟิศเราก็ตอบสนอง เพราะอยากไปเที่ยวเหมือนกัน


ตอนแรกตั้งใจจะไปตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎา แต่ว่ามีสาวคนนึงติดธุระปะปัง ขอกระเถิบไปหน่อย ... เช็ควัน เช็คคิวว่างกันแล้วก็เลื่อนมาเป็น 23-24 ส.ค. นี่แหละ ... นับจำนวนสมาชิกตอนแรกได้ราวๆ 12-13 คน แต่สรุปยอดชัดเจนก่อนเดินทางเหลืออยู่ที่ 8 คนเท่านั้น เพราะติดป่วยบ้าง ธุระด่วนบ้าง


ในฐานะที่ไปอัมพวาบ่อยกว่าคนอื่น และความจำแม่นยำ เลยต้องรับหน้าที่เลือกบ้านพัก และจัดการโปรแกรมต่างๆ ... ดูเหมือนง่าย แต่ก็ยุ่ง เพราะยอดสมาชิกที่จะไปไม่สรุปสักที เลยคิดไม่ตกว่าจะเลือกที่พักไหนดี ... สุดท้ายก็รวบรัดตัดความเลือกที่พักที่ยังไม่เคยไป และใกล้ตลาดน้ำไว้ก่อน เช็คว่าห้องว่างแน่นอน ก็รีบโอนตังค์มัดจำ แล้วไปบีบคอสมาชิกที่รับปากว่ามัดจำที่พักแล้ว ห้ามเบี้ยว ถ้าเบี้ยวจะโดนจับให้ช่วยหารค่าที่พัก


วันเสาร์นัดเจอกันที่ออฟฟิศตอนเที่ยง เพราะต้องรอคนดีที่ทำงานครึ่งวัน ... 13.30 น. สมาชิก 8 คนมาพร้อมหน้า จัดแบ่งขึ้นรถ แล้วก็มุ่งหน้าไปถ.พระราม 2 แวะหม่ำมื้อเที่ยงง่ายๆ ที่ร้านขนมจีนเทวดา ... มื้อง่ายๆ เบาๆ รองท้องไว้สักหน่อย พอท้องไม่คำรามแล้วก็มุ่งหน้าตรงไปอัมพวา

จุดหมายอยู่ที่ "บ้านไม้ม่วง" บ้านพักไม้ทาสีม่วงทั้งหลังที่อยู่ไม่ไกลตลาดน้ำ ... ไปอาศัยจอดรถในที่ของ น้ำเคียงเรือนโฮมสเตย์ ซึ่งผู้ดูแลบ้านไม้ม่วงมารออยู่แล้ว ... จอดรถเรียบร้อย ทั้ง 2 คัน ก็ขนสัมภาระเดินเข้าที่พัก


บ้าน 2 หลัง ซึ่งห้องพักที่เปิดให้พักอยู่ชั้นบนทั้ง 3 ห้อง แบ่งเป็นไซส์ S M L แต่เราเหมาหมด ครอบครองทุกห้อง ... เก็บของเรียบร้อย นั่งพักพอหายเหนื่อย ก็ได้เวลาออกตะลุยตลาดน้ำ


แจกงบให้สมาชิกออกเดินชมตลาดซื้อของกินที่ชอบใจ ... โดยต้องย้ำว่าซื้อแต่น้อย เพราะของหลายๆ คนมารวมกันแล้วจะเยอะ ... เรากับคนดี มีร้านประจำที่ติดใจอยู่แล้ว ก็บอกสมาชิกเลยว่าเราจะซื้ออะไร ไม่ต้องซื้อ จะได้ไม่ซื้อชนกัน


เดินซื้อของกินเรียบร้อย ก็แวะร้านขนมไทยที่อยู่ริมสะพาน ... แวะไปซื้อขนมฝากหม่ามี้ และแวะทักน้องเอ็มที่กำลังช่วยคุณแม่กดพิมพ์ทำขนมเรไร ... ร้านนี้มีขนมหวานหลายอย่าง แต่ที่เราติดใจคือ ขนมชั้น


ซื้อขนมเรียบร้อย ก็ขอคำแนะนำจากน้องเอ็มว่าจะซื้อตั๋วเรือท่าไหนล่องดูหิ่งห้อยดี ... เพราะทุกทีจะใช้บริกาการเหมาเรือของน้องเอ็ม แต่คราวนี้มีสมาชิกบางรายที่ยังไม่เคยดูหิ่งห้อย และอยากดู เลยเลือกซื้อตั๋วจากท่าเรือที่ให้บริการดีกว่า


ซื้อของกินกันแล้ว ก็เดินชมตลาด ดูสินค้าร้านค้าต่างๆ ต่อ ... เราตรงดิ่งไป "ร้านธารามาตย์" ร้านเสื้อเจ้าประจำที่ไปทีไรเป็นต้องได้เสื้อติดมือกลับมาทุกที เพราะเสื้อยืดร้านนี้เนื้อนิ่มใส่สบาย ... ไปถึงร้านใกล้เวลามวยชกลุ้นเหรียญทองโอลิมปิคพอดี เลยถามเจ้าของร้านว่ามวยใกล้ชกรึยัง ทางร้านเลยใจดี ยกทีวีออกมาตั้งให้ลูกค้าได้ลุ้นมวยไปพร้อมๆ กัน


มวยคู่แรกจบ ได้เหรียญทอง คนดูสุขใจก็แยกย้ายสลายตัว เราก็เดินเลือกเสื้อต่อ ได้ติดกลับบ้านมา 1 ตัว ... เดินสำรวจจนสุดทางก็ชวนกันกลับ ต้องรีบมาหม่ำเสบียงที่ขนซื้อกันมา เพราะมีสมาชิกที่จะล่องเรือชมหิ่งห้อยตอน 20.00 น.


กุ้งแม่น้ำเผา ปลาหมึกย่าง หอยตลับย่าง หอยเชลล์เผา หมูอบน้ำผึ้ง กุ้งอบวุ้นเส้น แฮกึ๋น หอยจ้อ ทอดมันปลากราย ทอดมันหัวปลี ลาบหมูทอด ข้าวผัดปู ขนมผักกาด ซาลาเปาทอด ยำปลาดุกฟู สลัดกระถิน เมี่ยงปลาทู ... ขนมลืมกลืน ขนมเรไร ขนมเปียกปูน ขนมเปียกอ่อน ... เสบียงที่ 8 ชีวิตขนซื้อกันมาเหมือนอดอยาก


แค่แกะถุงก็อิ่มแล้ว เพราะไม่รู้จะกินอะไรดี ... นั่งและๆ เล็มๆ ไปอย่างละนิดอย่างละน้อย จานไหนอร่อยมากก็พร่องเร็ว จานไหนอร่อยน้อยก็พร่องช้า ... กินไปเม้าท์ไปจนใกล้เวลาลงเรือดูหิ่งห้อย ก็ชวนกันเก็บเสบียงที่เหลือไว้ก่อน เผื่อกลับมาแล้วจะหิว เพราะมีก๊วนสุราจะตั้งวงยามดึก


5 คน แยกไปล่องเรือดูหิ่งห้อย เหลือเรา คนดี และพี่อีกคน เดินเล่นกันต่อ ... เดินไปทางซ้ายของที่พักสำรวจร้านรวงที่เปิดใหม่ๆ แวะดูข้อมูลของอัมพวา ที่อัมพวาชัยพัฒนานุรักษ์ ... ร้านค้ามาเปิดใหม่เพิ่มเยอะมากๆ


คนดีอยากกินหวานเย็น เลยชวนกันเดินกลับไปทางตลาด จุดหมายอยู่ที่ "ร้านกาญจนาพานิช" ที่อยู่เชิงสะพาน ... เมนูที่คนดีเล็งเอาไว้ คือ "ปังติน" เพราะติดใจตั้งแต่คราวก่อน ครั้งนี้เลยขอเปลี่ยนเป็น "ปังชาเย็น" แทน อร่อย ชื่นใจ สมใจ


อิ่มอร่อยแล้วก็กลับเข้าบ้านพักไปรอสมาชิกที่ล่องเรือ นั่งดูทีวี กับ เม้าท์กันสักพัก สมาชิกก็กลับมา ... ก็ชวนกันตั้งวงเล็มเสบียงที่เหลืออยู่ ทยอยอาบน้ำ นั่งเม้าท์ ดูทีวี ... ตอนแรกว่าจะชวนกันเล่นไพ่ แต่เม้าท์กันเพลินจนตาชักปรือ เลยแยกย้ายกันเข้านอน ... ใกล้จะเข้านอนก็มีรุ่นน้องอีกคนขับรถตามมาสมทบ มาเข้าก๊วนสุรา ที่ฟังเพลง ร่ำสุรา เฮฮากันจนใกล้เช้า


หกโมงเช้า งัดตัวเองจากที่นอน ล้างหน้าบ้วนปากรีบลงไปใส่บาตร การใส่บาตรเป็นกิจวัตรประจำที่ทำเวลามาอัมพวา ... ตื่นเช้ากว่าวันไปทำงานซะอีก ลงมาแบบหน้ายังมึนๆ งงๆ มัวขี้ตา ... ใส่บาตรเรียบร้อยก็นั่งชมบรรยากาศ อัมพวายามเช้า เงียบ สงบ แตกต่างจาก อัมพวายามเย็น โดยสิ้นเชิง


ใส่บาตรเรียบร้อย ท้องก็เริ่มร้อง สมาชิกเลยชวนกันเดินตลาด หาซื้อเสบียงยามเช้า ... ได้ ปาท่องโก๋ตัวโต กับ สังขยาใบเตย ข้าวเหนียวหมูปิ้ง และน้ำเต้าหู้ มารองท้อง ... แล้วก็กินไป เม้าท์ไปตามเดิม ก๊วนสุราที่นอนใกล้เช้า สละสิทธิ์มื้อเช้า ขอเป็นมื้อสายแทน


อิ่มเรียบร้อยก็กลับเข้าห้อง นอนเม้าท์ + ดูทีวี แล้วก็ทยอยผล็อยหลับไปทีละคน ... ตื่นมาอีกที เก้าโมงนิดๆ อาบน้ำแต่งตัว แล้วเดินเล่นกันต่อ


แวะ "สมานการค้า" ร้านประจำ จุดหมายอยู่ที่ กล้วยเบรคแตก ของฝากที่ใครๆ ก็ติดใจ ... ถึงร้านแล้วก็อุดหนุนชาเย็นสักแก้ว นั่งพัก ถ่ายรูปเล่น ... หายเมื่อยแล้วก็เดินเล่นกันต่อ ซื้อของฝากตามร้านต่างๆ


พอสมาชิกกลับมารวมตัวกันครบ ก็ได้เวลาอำลาอัมพวา ... มาอัมพวาคราวนี้คนเยอะมากๆ มาอัมพวากี่ครั้งคนก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ แล้วอัมพวาก็เปลี่ยนไปทีละนิด ทีละน้อย มีร้านค้ามากขึ้น มีโฮมสเตย์มากขึ้น จากที่เคยติดใจอัมพวายามเย็น ชักจะเริ่มเปลี่ยนใจไปติดใจบรรยากาศอัมพวายามเช้าซะแล้ว


ไม่รู้ว่าไปอัมพวาครั้งหน้า จะเปลี่ยนไปอีกสักแค่ไหน ... จะเฮฮา หรือ เวียนหัวก็ไม่รู้





20.8.51

รถเมล์ - MRT - BTS

ตั้งแต่เริ่มทำงาน การเดินทางก็สะดวกขึ้น เนื่องจากโชคดีออฟฟิศอยู่ไม่ไกลบ้าน เดินทางด้วย 2 เท้า ไปต่อพี่วินเข้าออฟฟิศ ... พอออฟฟิศย้ายจากในซอยมาอยู่ริมถนน ก็เดินยาวรวดเดียวถึงเลย

เดินจนเริ่มคบกับคนดี ... จนคนดีซื้อรถ ขับรถ ก็เปลี่ยนการเดินทางจาก 2 เท้า มาเป็นนั่งรถไป-กลับ สบายขึ้นเยอะ ... จะได้ขึ้นรถเมล์ - MRT - BTS ก็เวลาจอดรถทิ้งไว้ที่อื่น หรือ ไปหาลูกค้า หรือ ตะแล๊ดแต๊ดแต๋แอบหนีคนดีไปเที่ยวเอง

ทุกครั้งที่จะขึ้นรถเมล์ก็ตื่นเต้นทุกที เพราะไม่รู้ว่าค่ารถเมล์ปรับขึ้นไปเท่าไหร่แล้ว ... จนล่าสุดมีรถเมล์ฟรี เห็นข่าวแล้วก็ดีใจกับคนที่ได้ใช้บริการ ช่วยประหยัดไปเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี

จนเมื่อวันที่ไปงานมีตติ้งของจีบัน ขากลับก็ลังเลอยู่ว่าจะกลับยังไงดี เพราะฝนตก อาจจะต้องนั่งแท๊กซี่ แต่เดินเล่นเตร็ดเตร่อยู่สักพักฝนก็ซา เลยขึ้นสะพานลอยไปนั่งรถเมล์ดีกว่า ... เดินมาถึงครึ่งทางก็ชี้บอกน้องที่เดินมาด้วยว่านั่นไง กลับสายนี้ได้ น้องก็บอกว่า "รถเมล์ฟรีด้วยพี่ รีบไปขึ้นเลย" จริงเหรอ ... หันไปเห็นป้ายบอกชัดเจน มั่นใจ ทีนี่รีบจ้ำเลยค่ะ สะพานลอยลื่นๆ ก็จ้ำแบบจิกเท้าสุดฤทธิ์

กึ่งเดินกึ่งวิ่งจนมาถึงพื้นก็ชะแง้ดูรถว่าจะออกรึยัง ... อ๊ะ ยังอยู่ หันไปโบกมือบ๊ายบายน้อง แล้ววิ่งไปขึ้นรถทันที รถโล่งมีที่นั่งให้เลือกเพียบ ... นั่งหอบแบบตื่นเต้นนิดๆ ดีใจที่ได้นั่งรถเมล์ฟรี เพราะไม่เคยคิดเล้ยยยยย ว่าจะมีโอกาสได้ใช้

ตื่นเต้นกับรถเมล์แล้ว วันต่อมาก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นกับ MRT และ BTS กันต่อ ... เพราะมีนัดประชุมกับลูกค้าตอน 9.30 น. แถวสาทร สมาชิก 4 คน เจ้านาย เรา และน้องอีก 2 คน ต้องออกเดินทางจากบ้านไปเจอกันที่หน้าออฟฟิศลูกค้าเลย ... คิดไตร่ตรองดูแล้ว ต้องอาศัยรถไฟฟ้าทั้งใต้ดิน บนดิน นี่แหละ สะดวกที่สุด

มาถึงออฟฟิศแต่เช้า หม่ำมื้อเช้า แต่งหน้าพร้อม ก็คว้ากระเป๋าโน้ตบุ้ค กับสมุดโน้ต ออกเดินทาง ... ติดรถคนดีไปลงตรงสถานีรถไฟใต้ดิน ระหว่างเดินลงไปก็คิดคำนวณในหัวว่า ควรจะไปต่อ BTS ที่สถานีไหนดี เพราะเช้าๆ แบบนี้ รถไฟฟ้าคนเยอะแน่ๆ

จากสุทธิสาร จะไป สุขุมวิท หรือ สวนจตุจักร ดีน้า ระหว่างที่คิดก็เดินไปเข้าแถวขบวนที่ไปทางหัวลำโพงไว้ก่อน พอรถไฟมาถึงประตูเปิด เท้าก็ก้าวตามคนเข้าไปทันที ... ก้าวเข้าไปทั้งที่ยังคิดคำนวณอยู่นั่นหล่ะค่ะ เข้าไปเป็นคนสุดท้ายยืนแนบชิดติดประตูเลย เพราะคนแน่นนนนนนนนนนนนน มากกกกกกกกกกกกกกกกกกก

มือข้างนึงหิ้วกระเป๋าโน้ตบุ้ค มือข้างที่ว่างก็ยืดนิ้วไปจิ้มประตูเอาไว้ ขอแตะเป็นหลักยึดหน่อยนึง ... พอใกล้จะถึงสถานีถัดไป ก็มีเสียงประกาศเพิ่มเติมว่า ขอความกรุณาผู้โดยสารช่วยขยับเข้าไปที่ว่าง เพื่อให้ผู้โดยสารในสถานีหน้าได้เดินทางไปด้วย ... โอ้โห เหมือนอยู่บนรถเมล์เลย

พอคนในขบวนขยับออก ก็ขยับตัวแทรกเข้าไปตามช่องว่างที่พอจะแทรกตัวไปได้ ทีนี้ต้องยืนแบบไม่มีหลักยึดแล้ว ... กางขาพอให้ทรงตัวอยู่ได้ สองมือจับกระเป๋าโน้ตบุ้คมาอยู่ข้างหน้า แขนหนีบสมุดโน้ตไว้ ปักหลักได้แล้วก็เหลือบมองรอบๆ ตัว ... อืมมมมม ไม่ล้มแน่ๆ เพราะมีคนประกบซ้าย-ขวา หน้า-หลัง ครบ ยืนติดกันเป็นแพไข่กบแบบนี้ ถ้าล้มก็ล้มด้วยกันหล่ะ

รักษาสมดุล จัดระเบียบร่างกาย แล้วก็ขยับที่ไปเรื่อยๆ เวลาผ่านสถานีใหม่ ในหัวก็คิดไตร่ตรองต่อ ... ถ้าต่อ BTS ที่สถานีสุขุมวิท คนก็ต้องเยอะแน่ๆ แล้วต้องไปเปลี่ยนขบวนที่สถานีสยามอีก ... กำลังกลุ้มใจว่าต้องไปสถานีที่คนเยอะๆ ทั้งนั้น ตาก็เหลือบไปเห็นชื่อ สถานีสีลม ปัญญาก็เกิดทันที ... ไปต่อสถานีนี้ดีกว่า จะได้ไม่ต้องเปลี่ยนขบวนรถด้วย

พอถึงสถานีสุขุมวิท คนในขบวนเดินลงไปเยอะ มีพื้นที่ว่างให้ยืนสบายขึ้น ... พอถึงสถานีสีลมก็ทยอยลงอีกเยอะ แต่ที่เดินไปต่อรถ BTS มีไม่มากนัก ... พอเข้า BTS ได้ก็โล่งใจ โล่งตัว คนไม่เยอะอย่างที่กังวล กว่าจะถึงออฟฟิศลูกค้าได้ เหงื่อตกพอดี

ประชุมเสร็จกลับถึงออฟฟิศ ก็เล่าให้สมาชิกฟังด้วยความตื่นเต้นว่าได้ขึ้นรถไฟใต้ดินที่แน่นมากๆ ... เล่ายังไม่ทันจบดี นายก็บอกว่ามีนัดประชุมเช้ากับลูกค้าอีกราย 9.00 น. เจอกันที่โน่นเลย ... โอ๊ย ต้องขึ้นรถไฟใต้ดินแน่นๆ อีกแล้วเหรอ

เจอรถแน่นๆ แล้วรู้สึกว่าตัวเองโชคดีจริงๆ ที่ออฟฟิศกับบ้านอยู่ใกล้กัน ไม่ต้องเหนื่อยเดินทาง ... ถ้าต้องห้อยโหนแน่นๆ แบบนี้ทุกวันคงแย่

มหัศจรรย์แห่งรัก

เมื่อต้นเดือนเพิ่งได้นิยายเล่มใหม่ จากนักเขียนโปรด "กิ่งฉัตร" ... ค่อนจะปลายเดือนก็ได้นิยายเล่มใหม่ ของนักเขียนโปรดอีกคน "ดวงตะวัน"


มหัศจรรย์แห่งรัก ... เรื่องรักวุ่นๆ ชุลมุนหัวใจ เมื่อคุณแม่ลูกสามอย่าง "นวลตอง" ปรารถนาจะมีรักใหม่อีกสักครั้ง นี่คือการตัดสินใจครั้งสำคัญของหล่อน ที่ต้องเลือกระหว่างหนุ่มหล่อในฝันที่มาปรากฎตัวในชีวิตจริง กับ ผู้ชายที่แสนธรรมดาสามัญ พบเห็นได้ตามข้างบ้านและท้องถนนทั่วไป ... มหัศจรรย์แห่งรักจะเกิดขึ้นหรือไม่ และกับใคร โปรดติดตาม

Credit Synopsis & Picture : http://www.dtawanbook.com/

- คำนำจากสำนักพิมพ์ -
มีใครในโลกนี้บ้างที่ไม่เคยพลาดพลั้งเลยสักครั้งในชีวิต

นั่นเป็นทั้งคำถามและคำปลอบใจที่นวลตอง กองบรรณาธิการสาวผู้กลายเป็นคุณแม่ลูกติดด้วยอุบัติเหตุรักในวัยเรียน พร่ำบอกตัวเองมาตลอดหลายปี แทนการก่นโศกจมอยู่กับอดีตอันขมขื่น แล้วก้มหน้าก้มตาทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ ใช้ชีวิตธรรมดาสามัญไม่ต่างจากคนอีกเรือนหมื่นเรือนแสนในเมืองกรุงอันศิวิไลซ์

แต่ใครจะรู้ ว่าจู่ๆ ฟ้าจะส่ง "ใครบางคน" มาทำให้โลกของหล่อนกลายเป็นสีชมพูแสนวิเศษมหัศจรรย์พันลึกขึ้นมาอีกครั้ง แต้มฝันหวานในหัวใจให้ชุ่มชื่นเปี่ยมหวัง

จากที่เคยแอบหวังแอบฝัน ว่าสักวันจะมีใครสักคนก้าวเข้ามาในชีวิต เปลี่ยนวันธรรมดาให้เป็นวันพิเศษที่งดงามด้วยความรัก คนที่ฟ้าส่งมากลับไม่ใช่เพียง "ใครสักคน" หากมีดีกรีเป็นถึง "ชายในฝัน" ที่หญิงสาวเคยหลงรักเมื่อครั้งยังแรกรุ่น หนำซ้ำใช่เพียงก้าวผ่านมาฉายแสงสีอันมหัศจรรย์ทาบทาไว้ในหัวใจหล่อน ให้เก็บไว้เป็นความทรงจำแสนหวาน เขากลับเดินหน้าก้าวเข้ามาในชีวิตและดูท่าจะไม่ถอยฉากไปง่ายๆ

จังหวะชีวิตอันเรียบเรื่อยมานานปีเริ่มเปลี่ยนไป ไม่ต่างจากจังหวะหัวใจที่เต้นแรงราวเมื่อเขาก้าวเข้ามา

หนุ่มในฝันกำลังจะพานวลตองก้าวพ้นวันธรรมดาสามัญไปยังจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต และพบพานกับมหัศจรรย์บางประการที่หล่อนเฝ้ารอเฝ้าคอย

แต่กระนั้นหญิงสาวก็ไม่อาจละลืมไปได้ว่า ในวันธรรมดาสามัญเหล่านั้น วันที่สุขค่อนไปทางทุกข์ หล่อนผ่านพ้นมันมาได้เพราะมีใครคนหนึ่งอยู่เคียงข้างเป็นประดุจ "โช้คอับ" ให้รถยนต์มือสองอย่างนวลตองโลดแล่นไปบนถนนชีวิตได้อย่างไม่กระแทกกระทั้นจนเกินไปนัก

เมื่อถึงทางแยกให้ต้องเลือกเดิน คำถามหนึ่งกลับผุดขึ้นในใจ ... มหัศจรรย์แห่งรักมีอยู่จริงไหม?

หรือที่แท้แล้ว ... มีแต่เราเท่านั้นที่ต้องสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวและหัวใจของเราเอง


ได้จดหมายสั่งซื้อหนังสือเมื่อวันจันทร์ รีบไปโอนตังค์ทันที ... แล้ววันพุธที่ 20 ส.ค. กล่องพัสดุไปรษณีย์ ที่มีนิยายที่สั่งไปก็ส่งมาถึงมือ แค่เห็นกล่องก็มีความสุขแล้ว ... คราวนี้ของที่ระลึกที่สำนักพิมพ์ดวงตะวันใจดี แจกให้กับผู้อ่านที่สั่งหนังสือผ่านสำนักพิมพ์ คือ ถุงผ้ามหัศจรรย์แห่งรักใบกำลังเหมาะ มาพร้อมกับเข็ดกลัดอีก 2 อัน


เปิดอ่านไปได้แค่บทเดียว เพราะงานยุ่งเหลือเกิน ... เสาร์-อาทิตย์นี่หล่ะ จะตะลุยอ่านให้เพลินเลย

18.8.51

ไดเอท - ไดอด

ช่วงนี้กำลังไดเอท อดอยากทรมานร่างกาย เพราะต้องการลดน้ำหนัก ไล่ไขมัน ขจัดความอ้วนค่ะ ... ตามใจปากมานาน ถึงคราวต้องควบคุมก็ทรมานน่าดู


ปกติก็จัดตัวเองอยู่ในประเภทผู้หญิงตัวโต ย้ำว่า โต ไม่ใช่ สูง ... ตัวโตเพราะมีส่วนสูง 167 ไล่เลี่ยกับมาตรฐานชายไทยที่รูปร่างกลางๆ ประกอบกับมีเนื้อหนังไขมันครบถ้วน เลยตัวโต ... ถึงจะตัวโตแต่ก็ไม่เคยอยากลดจนตัวผอมบาง หุ่นนางแบบ พอใจกับรูปร่างที่มีอยู่ จะมีปัญหาบ้างก็เวลาซื้อเสื้อผ้า ที่รู้สึกว่าหาไซส์ยากเหลือเกิน ก็จะพยายามฟิตสักหน่อย ไม่เคยคิดจะลดแบบจริงจัง ... แล้วทำไมคราวนี้ถึงตั้งอกตั้งใจลด


สาเหตุที่ทำให้ต้องไดเอทนี่มีหลายข้อเลยค่ะ ... นับได้เกิน 3 ก็เลยต้องจัดการทรมานตัวเอง

1. อายุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ระบบการเผาพลาญทำงานด้อยลง ... งั้นก็ควรจะออกกำลังกายเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงนั้น ออกกำลังกายน้อยลง แต่ยังกินเท่าเดิม และกินมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แล้วทั้งน้ำหนักและไขมันจะไม่เพิ่มได้ยังไง ... พอไขมันเพิ่ม ไปตรวจร่างกายทีไรก็จะโดนคุณหมอเอ็ดเอาทุกที แล้วก็ต้องโดนนัดเจาะเลือดทุก 3 เดือนด้วย


2. สมาชิกในบ้านลงมติเป็นเอกฉันท์ ว่าตัวใหญ่เป็นยักษ์แล้ว ... เริ่มจากพ่อ ที่ทักทุกวัน ทักไม่พอ ยังชอบมาขยำแขน ขยำพุงเล่นด้วย ... ตามมาด้วยน้องชายที่เจอกันไม่เป็นเวลา เจอหน้าก็ทักว่า ช่วงนี้ไม่ได้ออกกำลังกายใช่มั้ย ตัวบึ้บเชียว ... ปิดท้ายด้วย หม่ามี้ ที่ไม่เจอหน้ากัน 3 เดือน เจอปุ๊บทักปั๊บ ทำไมตัวโตอย่างนี้หล่ะลูก อ้วนแล้วนะ ไม่ไหวแล้ว ลดเหอะ


3. สาวคุ่หูประจำออฟฟิศที่ขนาดสูสีไล่เลี่ยกันเพิ่งลาออกไป ... สาวๆ ที่เหลือก็ตัวเล็กกว่า บางกว่าทั้งนั้น (ภาพหมู่สาวๆ ดูได้ที่ http://violetladybird.blogspot.com/2008/07/goodbye-farewell.html ) เหลือเราตัวโตใหญ่ยักษ์อยู่คนเดียว ทำหุ่นสูสีกับเจ้านายแต่บารมีไม่อาจเทียบ ... บอกนายว่าตอนนี้เหลือตัวโตอยู่คนเดียวแล้ว สงสัยต้องจำกัดอาหารอย่างจริงจัง นายหัวเราะ แล้วบอกว่า ถ้าลดไม่ได้ ก็ซื้อให้น้องๆ กิน ขุนให้โตทันดีกว่ามั้ย ... เออ นั่นซิ


4. ช่วงนี้คนดีฟิต เพราะดู L Word แล้วเกิดแรงบันดาลใจอยากจะมีหุ่นเฟิร์มๆ บวกกับไม่อยากโดนเจาะเลือดทุก 3 เดือน ถ้าผลเลือดดีขึ้นคุณหมอก็เลื่อนนัดเป็นทุก 6 เดือนแทน ... แล้วถ้าฟิตขึ้น เฟิร์มขึ้น ก็หาเสื้อผ้าใส่ได้ง่ายขึ้น ระยะหลังบ้าแต่งตัวมากขึ้น เลยตั้งใจฟิตน่าดู ... คนดีฟิตโดยการออกกำลังกายที่บ้าน ยกดัมเบรล บริหารร่างกายท่าต่างๆ ซิทอัพ วิดพื่น วิ่งอยู่กับที่ ทำแบบนี้ทุกวันอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง ... ถึงยังไม่เฟิร์มแน่น แต่พุงก็ยุบไปบ้าง


และเพราะความตั้งใจฟิตของคนดี ก็หันมาชักชวนให้เราฟิตด้วย แต่ก็ยังเฉยๆ เรื่อยๆ ไม่ได้คิดจะฟิตอย่างจริงจังบ้าง ... จนมาเจอเสียงหม่ามี้ทักนี่แหละ เลยต้องเริ่มแล้ว บังเอิญไปเจอสูตรอาหารลดน้ำหนักจากในเว็บ บอกว่าเป็นสูตรพระราชทานของสมเด็จพระเทพ ไม่ทราบที่มาชัดเจนว่ามาจากที่ใด ... เลยให้คนดีดู คนดีสนใจ ชวนไดเอทตามสูตร เอ้า ก็ได้ อาหารไม่ลำบากเหมือนสูตร 3 วันที่เคยลอง อันนี้ยังหากินง่าย ลองดูก็ได้ ... แล้วการทรมานตัวเองให้อดอยากก็เริ่มต้นขึ้น


วันที่ 1
เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น สลัดผัก

วันที่ 2
เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน ไข่ต้ม 2 ฟอง
เย็น สลัดผัก

วันที่ 3
เช้า กาแฟไม่ใส่น้ำตาล หรือ โยเกิร์ต 1 ถ้วย
กลางวัน เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม
เย็น สลัดผัก

วันทึ่ 4
เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟดำและขนมปัง 1 แผ่น
กลางวัน สลัดผัก และ ไก่ย่าง 1 ชิ้น
เย็น โยเกิร์ต 1 ถ้วย

วันทึ่ 5
เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟไม่ใส่น้ำตาล
กลางวัน ส้มตำ และ ไก่ย่าง 1 ชิ้น
เย็น สลัดผัก

วันที่ 6
เช้า น้ำผลไม้คั้น หรือ กาแฟไม่ใส่น้ำตาล
กลางวัน ปลานึ่ง หรือ ปลาเผา ไม่จำกัด
เย็น สลัดผัก

วันที่ 7
เช้า ข้าว ทัพพี และ เนื้อ1 ชิ้น หรือ ไข่ต้ม 1 ฟอง
กลางวัน เกาเหลาลูกชิ้น 1 ชาม
เย็น สับปะรด 1 ชิ้น

(ก่อนอาหารต้องดื่มน้ำอย่างน้อย 2 แก้ว งดน้ำตาล น้ำมันหมู แอลกอฮอล์ ของทอดทุกชนิด - ลดน้ำหนักได้ 9 กิโลกรัม ภายใน 1 สัปดาห์)

นี่หล่ะค่ะ สูตรไดเอทที่ทำให้อดอยาก ... ไม่ได้อยากจะลด 9 กิโลกรัม ใน 1 สัปดาห์หรอกนะคะ แค่อยากจะช้อคร่างกายด้วยการกินให้น้อยลง เพื่อจัดระบบกันใหม่ ... ที่ผ่านมาตามใจปาก เลือกกินแต่ของอร่อย จนอวบอิ่มเต่งตึง ถึงขั้นวิกฤติแล้ว เลยต้องเริ่มปฏิวัติกันบ้าง ... จะว่าไปก็เสียดาย กว่าจะเลี้ยงหุ่นได้แบบนี้ หมดตังค์ไปตั้งเยอะ แถมกินแต่ของอร่อยด้วย ไม่อร่อย ไม่กินให้เสียอารมณ์


ตอนปล่อยก็ตามใจปากสุดขีด พอตั้งใจลดก็เคร่งครัดสุดพลัง ... ยึดสูตรเป็นแนวทาง บางอย่างที่ไม่กินอยู่แล้ว ก็เลี่ยงหาอย่างอื่นที่ใกล้เคียงแทน ไม่กินโยเกิร์ต เปลี่ยนเป็นนมเปรี้ยวแก้วโต ... น้ำผลไม้เปลี่ยนเป็นแอปเปิ้ล 1 ลูก แล้วก็ยึดสลัดผักเป็นเมนูหลัก ... เริ่มอดอยากตั้งแต่วันจันรท์ ใครๆ ที่ออฟฟิศเห็นแล้วก็สงสาร เพราะบ่ายๆ ท้องร้องโครกครากน่าดู


ที่ทรมานสุดๆ ก็ตรงที่ต้องอด งดขนมทั้งหลาย เค้ก ไอติม ชอคโกแลต ทองหยิบ ที่มีอยู่ในตู้เย็นที่บ้าน ทำได้แค่มอง ... สู้กันสักตั้ง ผ่าน 7 วันไป กระเพาะหดลงสักหน่อย ค่อยกับมาปรับมาตรฐานการกินกันใหม่ กินแต่น้อย พอหายอยาก


แต่ที่น่าเจ็บใจตรงที่ ผู้ร่วมอุคมการณ์ข้างๆ ตัว ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มชักชวนให้ลองสูตรนี้ กลับชิ่งซะอย่างนั้น ... วันแรกที่เริ่มโปรแกรม โทรไปบ่นให้คนดีฟังว่าหิว แล้วถามว่าคนดีหิวมั้ย คนดีบอกไม่หิว เพราะกลางวันกินข้าวราดแกงไป ... อ้าว ไหนว่าจะเข้าโปรแกรมด้วยกัน แล้วไหงปล่อยให้เค้าอดอยากอยู่เพียงลำพัง ... คนดีบอกว่า เค้ากินด้วยเป็นบางมื้อเท่านั้น โธ่เอ๊ย


ตอนนี้ผ่านเข้าวันที่ 3 แล้ว ท้องร้องโครกคราก คำรามดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังอดทนสู้ต่อไป ... แต่คงเข้าโปรแกรมไม่ครบ 7 วัน เพราะเสาร์-อาทิตย์นี้ ไปอัมพวา ของกินเพียบ ... สงสัยไอ้ที่อดที่ลดไปจะไปบวมพองฟูกลับมาเท่าเดิมก็คราวนี้แน่ๆ ... เฮ้อออออออออออออออออออออ

17.8.51

Jeban.com : The Party // Begining of Beauty

Jeban.com เป็นเว็บที่เกี่ยวกับความสวยความงาม เป็น community ย่อมๆ สำหรับสาวๆ ที่สนใจเรื่องการแต่งหน้า และเครื่องสำอาง ... เป็นเว็บที่พัฒนามาจาก blog ของคุณจีน ที่สาวๆ เรียกกันติดปากว่า "ป้าจีน"


จำไม่ได้ว่าเริ่มต้นเจอเว็บนี้จากทางไหน แต่พอเจอแล้วก็กลายเป็นแฟนประจำที่ต้องเปิดเข้าไปดูทุกวัน ... สมัครสมาชิก แล้วก็สิงตัวอยู่ในเว็บ ติดหนึบหนับ ... ติดคนเดียวไม่พอ ชวนสาวๆ ในออฟฟิศติดตามไปด้วย


ประจวบเหมาะกับต่อมอยากสวยแตก เลยได้ที่นี่เป็นแหล่งข้อมูลหารายละเอียดของเครื่องสำอางแบรนด์ต่างๆ ... นอกจากได้ข้อมูลผลิตภัณฑ์แล้ว ยังได้เทคนิคการแต่งหน้าเพิ่มขึ้นด้วย


Jeban.com ครบรอบ 1 ปี ทีมงานเลยจัดมีตติ้งเพื่อให้สมาชิก สาวๆ จีบันได้พบปะกัน ... งานจัดขึ้นที่ ZEN Event Gallery


มีการออกบูธของสปอนเซอร์เพื่อให้สาวๆ ได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ เล่นเกม รับของที่ระลึก ... แล้วยังมีการแจกของให้กับสมาชิกที่ร่วมกิจกรรมกับเว็บมาอย่างต่อเนื่อง ... ที่สำคัญคือ เปิดตัวทีมงาน ที่ดูแลเนื้อหาส่วนต่างๆ ของเว็บ ให้สาวๆ จีบันได้พบปะตัวเป็นๆ กันอย่างใกล้ชิด


เราควงน้องๆ ในออฟฟิศไป 3 คน ... 1 ในนั้น เป็นสาวหมวยคู่หูบิวตี้ที่ชวนกันช้อปเครื่องสำอางประจำ ... ไปถึงงานก็เดินดูบูธ ร่วมกิจกรรมต่างๆ แล้วก็ปักหลักดูการสัมภาษณ์บนเวที ... ปักหลักกันยาวตั้งแต่งานเริ่มจนงานเลิก มีสาวๆ ทุกหุ่น ทุกไซส์ ทุกระดับความสวย และ ทุกสไตล์ เดินผ่านไปมาหลายร้อยคนให้นั่งมองอย่างเพลิดเพลิน


แต่ใครจะรู้ว่าที่ตัดสินใจไปงานนี้ ไม่ใช่เพราะคุณจีน เซเลบบริตี้ประจำเว็บ ... แต่เหตุผลที่ทำให้อยากไปงานนี้ เพราะอยากเจอหนุ่มน้อย "จิระจิระ" ลูกชายของคุณจีน ตกหลุมรักหนุ่มน้อยคนนี้ผ่านบล็อกที่คุณมี๊จีนเขียนถึงลูกชายตั้งแต่เริ่มตั้งท้อง ... นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้ไปเจอ แล้วก็ได้เจอสมใจ


เป็นกิจกรรมวันอาทิตย์ที่ต่างไปจากเดิม ... สบายๆ เพลินๆ สนุกไปอีกแบบ
หมายเหตุ 1 - ดูภาพภายในงานเพิ่มเติม คลิกไปที่ http://www.jeban.com/
หมายเหตุ 2 - อยากรู้จักจิระจิระเพิ่มเติม คลิกไปที่ http://www.jirajira.com/

16.8.51

WALL-E

WALL-E หุ่นจิ๋วหัวใจเกินร้อย อนิเมชั่นเรื่องล่าสุดของ วอล์ท ดิสนีย์ กับ พิกซาร์ ... เป็นหนังอีกเรื่องที่ตกหลุมรักตั้งแต่ได้ดูหนังตัวอย่าง อยากจะไปดูตั้งแต่เข้าฉายวันแรก แต่ก็ติดนั่นนู่นนี่ กว่าจะได้ดูก็ต้องรอวันเสาร์


เสาร์เช้าคนดีไปทำงานครึ่งวันเหมือนเคย ส่วนเราก็ซักผ้า เพราะเสาร์นี้คนดีมีนัดหม่ำมื้อเที่ยงกับน้องที่ออฟฟิศ ... แต่ก็เสร็จเร็วกว่าที่คาด นาฬิกาเดินเข้าบ่ายโมงนิดหน่อย คนดีก็มาถึงแล้ว ... เก็บเสื้อผ้าตากเรียบร้อย ก็จัดการอาบน้ำแต่งตัว ลังเลระหว่างเอสพละนาด กับ เมเจอร์ รัชโยธิน สุดท้ายก็เลือก เมเจอร์ เพราะมีรอบฉายให้เลือกมากกว่า


ซื้อตั๋วเสร็จ เอาตั๋วเล่นเกมที่บูธกิจกรรมพิเศษที่น้องๆ นักศึกษามาจัด ... แวะหม่ำดับเบิ้ลชีสเบอเกอร์ที่แมค เพราะคนดีอิ่มแล้ว กินคนเดียว เลยเลือกอาหารด่วนๆ ... ท้องอิ่มก็ได้เวลาดูหนังพอดี




- เรื่องย่อ -




วอลล์ อี หุ่นยนต์ตัวสุดท้ายที่ถูกทิ้งไว้บนโลกที่มีขยะมากมาย จนมนุษย์ต้องอพยพไปอยู่ในอวกาศ หลังจากหลายร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวของภารกิจที่เขาถูกสร้างมาโดยเฉพาะ ... วอลล์ อี ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่านอกโลกยังมีสิ่งมีชีวิต และหุ่นยนต์อีกมากมาย




นอกจากเก็บกวาดขยะตามที่ถูกโปรแกรมไว้ วอลล์ อี ก็ยังสะสมของจุกจิก และมีแมลงสาปเป็นสัตว์เลี้ยง ... แต่แล้ววันหนึ่ง การมาถึงของ อีฟ หุ่นยนต์สาวสุดวาววับแสนไฮเทค ก็ทำให้ชีวิตแสนธรรมดาของเขาเปลี่ยนไป อีฟ เป็นหุ่นยนต์ที่ถูกส่งมาตรวจสอบสัญญาณของสิ่งมีชีวิต ... เมื่อวอลล์ อี เจอกับ อีฟ เขาก็ตกหลุมรักเธอ แต่ อีฟ ก็มีเหตุจำเป็นต้องถูกเรียกตัวกลับอวกาศอีกครั้ง และนั่นคือ จุดเริ่มต้นของการผจญภัยสู่ห้วงอวกาศครั้งแรกของ วอลล์ อี เขาต้องทิ้งโลกใบเดียวที่เขามีเพื่อตามหาสิ่งที่เขารักที่สุดกลับมา


การเดินทางท่องอวกาศของ วอลล์ อี ทำให้เกิดการผจญภัยเหนือจินตนาการ เรื่องราวที่น่าตื่นเต้น โดยมีความลับของอนาคตโลกเป็นปริศนา มีความรักของเพื่อนเป็นแรงผลักดัน




หนังน่ารักมากๆ ค่ะ เป็นอนิเมชั่นที่ดูไป ยิ้มไป เป็นอนิเมชั่นที่มีบทพูดของตัวละครไม่มากนัก แต่สื่อสารจากภาพ และท่าทางได้ดีเยี่ยม ... แค่เริ่มเรื่องไม่เท่าไหร่ ก็ตกหลุมรัก วอลล์ อี เข้าจังเบ้อเร่อ หุ่นอะไรก็ไม่รู้ ถึงจะโทรม แต่น่าเอ็นดูที่สุด


ดูจบ เดินยิ้มออกจากโรงหนัง แล้วตั้งใจว่าจะเป็นแผ่นออกมาเมื่อไหร่ ซื้อเก็บแน่นอน

15.8.51

15-8-51

วันที่ 15 อีกแล้ว ถึงวันนี้ก็แสดงว่าอายุความรักของเราสองคนเพิ่มขึ้นอีก 1 เดือน ... ครบ 77 เดือนแล้ว ... รอบนี้พิเศษกว่ารอบอื่นๆ ตรงที่ มีเรื่องน่ารักเล็กๆ น้อยๆ


ปกติทุกๆ คืน คนดีจะโทรมากู๊ดไนท์ หลังๆ มีลืมบ้าง หลับไปบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นเผลอหลับไป ... เราเองก็ไม่โทรไป เพราะรู้ว่าที่คนดีไม่โทรมาคงจะหลับไปแล้ว ไม่อยากปลุกก็ปล่อยเลยตามเลย ... เมื่อคืนนาฬิกาเลยเที่ยงคืนมานิดหน่อย เสียงริงโทนประจำตัวคนดีก็ดัง ... เอ๊ะ นึกว่าหลับไปแล้ว


รับสายมาก็กู๊ดไนท์ บ๊ายบาย จุ๊บ จุ๊บ ตามธรรมเนียม ... พอดีก่อนหลับ เหลือบเห็นข้อความเตือนว่าวันครบรอบ พอปฎิบัติตามธรรมเนียมเสร็จก็บอก "Happy Anniversary ค่ะ" ... เท่านั้นหล่ะ คนดีโวยทันที "ตัวเองขี้โกงอ่ะ มาชิงพูดก่อนได้ยังไง เค้าโทรมา ต้องเป็นคนพูดซิ ตัวอยากบอกอยากพูดทำไมไม่ยอมโทรไป" บ่นอุบอิบสักพักก็บอก "Happy Anniversary เหมือนกันค่ะ"


คบกันมาเจ็ดสิบกว่าเดือน บอก Happy Anniversary กันไม่ค่อยบ่อย ... คราวนี้ใจตรงกันซะอย่างนั้น ดีจัง


- รักคนดีมากที่สุดเลยค่ะ -

13.8.51

ยำหมูตุ๋น @ ป. เจริญชัย

ป.เจริญชัย เป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำใส ที่มีทั้งเนื้อวัว และเนื้อหมู เป็นร้านที่ได้รับการแนะนำจากสาวในออฟฟิศ ... หลังจากไปชิมแล้วก็ติดใจ จัดเป็นหนึ่งในร้านโปรด


ร้านเปิดตั้งแต่ 16.30 ถึงราวๆ ตีสาม ... เพราะฉะนั้นจะหาเวลาไปหม่ำก็ต้องรอเลิกงานเท่านั้น แล้วแถวนั้นก็รถเยอะ รถติด หาที่จอดรถยาก จะไปทีไรก็เกรงใจคนดีทุกที


แต่วันนี้เกิดนึกอยากกินขึ้นมา จริงๆ นึกอยากตั้งแต่วันจันทร์แล้ว เลยอ้อนวอนแกมบังคับคนดีให้ช่วยพาไปหม่ำทีเถอะ ... คนดีก็น่ารัก ตามใจ พาไปตามที่ขอ


ไปถึงร้านก๋วยเตี๋ยว แต่เมนูโปรดไม่ใช่ก๋วยเตี๋ยว เป็น "ยำหมูตุ๋น" ... ตอนแรกก็ไม่สนใจเมนูนี้ สั่งเกาเหลาบ้าง สั่งก๋วยเตี๋ยวบ้าง ไปตามเรื่องตามราว ... จนบังเอิญเหลือบตาไปเจอเมนูนี้ เลยลองสั่งมาชิมดู แล้วก็ติดใจนับแต่นั้น


วันนี้ไปก็ไม่พลาดสั่งเมนูโปรด เมนูประจำ ตามด้วย ลูกชิ้นปิ้ง ส่วนของคนดีก็เป็นเส้นหมี่น้ำ ... เก็บของคาวเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องตามด้วยของหวาน "ไอศครีมกะทิ" ของโปรดที่ถูกใจมากๆ


เคยเกิดกรณีฟูมฟายน้ำตาก็เพราะไอศครีมนี่แหละ ... เพราะอยากกิน แล้วก็รู้ว่าจะผ่านทางนี้ แต่ไม่มีที่จอดรถ คนดีก็ไม่ยอมแวะให้ลงไปซื้อ เลยน้ำตาหยดแหมะ เศร้าเสียใจเหมือนคนแพ้ท้อง


วันนี้อยากกิน แล้วได้ไปกิน สมใจหายอยาก ... แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว

9.8.51

เพื่อนซื่อ...ชื่อมาริ



หนังจากญี่ปุ่น ที่เห็นหนังตัวอย่างแล้วอยากดูมากๆ แต่ไม่รู้ว่าหนังจะเข้าฉายเมื่อไหร่ ... เมื่อวานพอเห็นรายงานหนังใหม่ประจำสัปดาห์แล้วมีหนังเรื่องนี้ด้วย ก็รีบชวนคนดีไปดูทันที

เสาร์นี้ที่ยังไม่ได้วางโปรแกรมเอาไว้ ก็มีโปรแกรมเพิ่มเข้ามาทันที ... หลังจากคนดีเลิกงานครึ่งวัน เราก็จะไปดูหนังกัน แต่ว่าหนังฉายโรงไหนบ้าง รอบกี่โมง เราต้องไปหาข้อมูลก่อน

โรงหนังใกล้บ้าน มีเอสพละนาด กับ เมเจอร์รัชโยธิน ที่ฉาย ... คนดีเลือกที่หลังเพราะอยากไปเดินช้อปปิ้งด้วย

- เรื่องย่อ -


ที่เมืองยามาโกชิ สุนัขตัวหนึ่งชื่อ "มาริ" ตกลูกออกมา 3 ตัว ทำให้ "เรียวตะ" และ "อายะ" สองพี่น้องที่เป็นเจ้าของมีความสุขมาก


ในวันที่ 23 ตุลาคม 2004 เกิดเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำให้เมืองยามาโกชิเสียหายยับเยิน ... เรียวตะและพ่อ หนีจากพื้นที่นั้นได้ แต่อายะกับคุณปู่ ติดอยู่ในซากบ้าน มีมาริ และ ลูกๆ ที่เฝ้ารออยู่ไม่ห่าง


จนคณะช่วยเหลือเดินทางเข้ามาค้นหาผู้รอดชีวิต และส่งเฮลิคอปเตอร์มาช่วยอายะกับคุณปู่ได้ ... แต่มาริ และ ลูกทั้ง 3 ตัว ต้องถูกทิ้งไว้


เรียวตะกับอายะรู้สึกเศร้าเสียใจที่ไม่สามารถช่วยชีวิตมาริ จึงได้แต่หวังว่ามันและลูกๆ จะปลอดภัย ... จนได้ยินเรื่องสภาพอากาศแปรปรวนในยามาโกชิ ซึ่งทำให้มาริและลูกๆ ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ... เรียวตะกับอายะจึงตัดสินใจที่จะไปช่วยพวกมันด้วยตัวเอง

"เพื่อนซื่อ...ชื่อมาริ - A tale of Mari and three puppies" ... เป็นหนังที่สร้างจากเรื่องจริงของแม่สุนัขและลูกน้อยของมัน ที่รอดชีวิตอย่างปาฏิหารย์จากหมู่บ้านร้าง

หนังน่ารัก ซาบซึ้ง ประทับใจ เป็นหนังเรื่องที่สอง ที่ดูไป น้ำตาไหลไป ... แต่เป็นการร้องไห้ที่ยังอมยิ้มได้ในบางมุม บางฉาก เพราะมาริกับลูกๆ น่ารักมาก เรียวตะ กับ อายะ ก็น่ารัก ดูแล้วซาบซึ้งกับความรักของสองพี่น้องตัวเล็กๆ

เราสองคนนั่งดูไป ก็ปาดน้ำตาไป กระดาษทิสชู่ก็ไม่มี ก็ต้องปาดน้ำตาไปป้ายแขนอีกคน แล้วก็ขำกันเอง ... เพราะน้ำตาท่วม น้ำมูกก็จะหยด ก็ต้องสูดกันฟืดฟาด จนจมูกตัน

แต่ที่ไม่คาดคิดคือ เสียงสูดน้ำมูกฟืดฟาดดังมาจากทางด้านหลัง ทั้งที่เรานั่งแถว A แถวแรกของโรง แล้วนั่งอยู่ริมทางพอดี ... เลยเหลือบตาไปทางซ้ายก็เจอที่มาของเสียง พนักงานประจำโรงหนัง มายืนดูอยู่ แล้วก็ซาบซึ้งไปด้วย เลยสะกิดให้คนดีหันไปดู คนดีเหลือบไปเจอ พนักงานหนุ่มคนนั้นกำลังปาดน้ำตาอยู่พอดี เราสองคนเลยนั่งขำคิกคักกันทั้งน้ำตา


ใครที่ชอบสุนัข รักสุนัข ไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้ เพราะมาริกับลูกๆ น่ารักมากๆ ดูแล้วจะประทับใจในความฉลาด แสนรู้ ของมาริ ... แต่ถ้ารักสุนัขแล้วดูหนังเรื่องนี้ รับรองว่าน้ำตาท่วมแน่ๆ เตรียมทิสชู่เข้าไปได้เลยค่ะ


Credit Synopsis & Pictures :

8.8.51

ลาก่อน...คิ้วโชกุน


หลังจากที่ได้ไปใช้บริการตกแต่งคิ้วที่ Anastasia - Beverly Hills ซาลอนตกแต่งคิ้วจากอเมริกาที่เพิ่งมาเปิดช้อปที่เซ็นทรัลเวิลด์ ... ก็ภูมิใจ และ ชอบใจคิ้วตัวเองมาก จนไปบอกน้องๆ ในออฟฟิศให้ลองไปใช้บริการ


มี 2 รายที่ตามไปใช้บริการมาแล้ว และมีอีก 3 รายที่ทำการนัดคิวรอไปใช้บริการอยู่ ... ก็เหลือคนดี คนใกล้ตัวนี่หล่ะ ที่อยากจะให้ลองไปใช้บริการดูบ้าง


หลังจากเห็นผลงานจากคิ้วของเรา และของน้องอีก 2 คนแล้ว ... ความมั่นใจของคนดีก็มีมากขึ้น แต่ก็ยังมีอาการกล้าๆ กลัวๆ ... กล้า - อยากจะลองทำ อยากจะมีคิ้วที่เป็นรูปบ้าง ... กลัว - กลัวเจ็บ กลัวใครๆ ที่รู้จะหมั่นไส้ว่าอยากสวย


ครุ่นคิดอยู่หลายตลบ สองจิตสองใจอยู่หลายวัน ... สุดท้ายก็ยอดตัดใจ ไปเสี่ยงดวงลองทำดู พอคนดีตกลงใจก็จัดการนัดคิวให้ทันที แล้วก็ได้คิววันเลขสวย 08-08-08 เวลา 20.00 น.


เลิกงานออกจากออฟฟิศ ฝ่าการจราจรวันศุกร์ที่รถติดเป็นหาง ไปถึงเซ็นทรัลเวิลด์ราวๆ ทุ่ม ... คนดีแวะทำธุระที่แบงค์สาขาย่อย แวะกินไอติมเย็นๆ ใจอีกนิด ... พอใกล้เวลานัด ก็จูงคนดีที่ใจเต้นตูมตามไปที่ร้าน


ถึงร้านกรอกรายละเอียด เพื่อเก็บประวัติลูกค้าไว้ก่อน กรอกเรียบร้อย พนักงานก็พาไปห้อง และขึ้นเก้าอี้เอนสบาย ... แล้วก็เริ่มขั้นตอนต่างๆ
1. พนักงานวัดหาจุดหลักของรูปคิ้ว - หัวคิ้ว หางคิ้ว และจุดสูงสุดของคิ้ว

2. เมื่อได้จุดที่เหมาะสมแล้ว ก็ทำการวาดโครงคิ้วที่ต้องการ

3. คิ้วที่วาดโครงคิ้วแล้ว ... ของคนดีเป็นโครงคิ้วแบบผู้ชาย เพราะหางคิ้วเดิมบางอยู่แล้ว ถ้าทำโครงคิ้วแบบผู้หญิงหางคิ้วจะเล็กเรียวเกินไป และต้องเขียนคิ้วเติมทุกวัน ซึ่งไม่เหมาะแน่ๆ
4. เริ่มการแว็กซ์คิ้ว ... ปาดแว๊กซ์อุ่น แปะกระดาษ ดึงพรืดดดดด ... คนดีตกใจ+เจ็บ จนทำหน้ายู่

5. แว๊กซ์เสร็จเรียบร้อย รอบๆ คิ้วแดงเถือก ... ความแดง และอาการเจ็บๆ คันๆ เป็นอาการปกติหลังจากการแว๊กซ์ ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคล ... คนดีผิวค่อนข้างไว เลยแดงเถือก แล้วยังเป็นตุ่มเหมือนโดนยุงกัด

6. ประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการแดง และลดบวม ... หลังจากนั้นพนักงานก็ใช้คอนซีลเลอร์กลบรอยแดง และใช้ผลิตภัณฑ์ตกแต่งรูปคิ้วให้เข้ารูปสวยงาม ... สำหรับคนดี กลบรอยแดงแล้ว ก็ใช้ Browpowder แต้มหางตานิดนึง
จากเดิมที่เป็นคิ้วไม่เป็นทรง หัวตาเข้ม หางตาบาง ถ้ามองไกลๆ แทบจะไม่เห็นคิ้วช่วงหางตา ดูแล้วคล้ายคิ้วท่านโชกุน ในการ์ตูนอิคคิวซัง ... พอทำแล้ว คิ้วก็เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น คิ้วเส้นเล็กๆ บางๆ ที่ลามลงมาถึงเปลือกตาถูกกำจัดออกไป ทำให้เห็นตาชัดขึ้น


เราที่เป็นคนชวนคนดีไป ขอเข้าไปนั่งในห้องด้วย ดูไป ปลอบไป ถ่ายรูปไป และ ขำไป ... พอเห็นผลงานที่เสร็จเรียบร้อยก็ ชอบใจ และ ถูกใจ

5.8.51

ปาร์ตี้หมูกระทะ @ กิว กิว เต้

ปกติจะมีนัดปาร์ตี้ส้มตำกับสมาชิกชาวไดเลสล่า ... แต่คราวนี้เป็นปาร์ตี้ที่ต่างไปจากเดิมค่ะ เพราะเป็นปาร์ตี้หมูกระทะ


เนื่องจากคุณกี้บ่นอยากกินหมูกระทะ เลยเสนอร้านโปรด ร้านประจำของสาวๆ ในออฟฟิศไป ... อยู่ไม่ไกลจากร้านส้มตำที่นัดประจำมากนัก หาไม่ยาก ปาร์ตี้ครั้งนี้เลยเกิดขึ้น


กิว กิว เต้ เป็นร้าบุฟเฟ่ต์หมูกระทะ ที่อยู่ในซ.รัชดาภิเษก 18 อยู่ติดกับร้าน Season Change ... เคยเขียนถึงในไดเลสล่าเอาไว้บ้างแล้ว แต่ไดเจ๊ง เลยถือโอกาสเก็บรูปมาเขียนถึงอีกครั้ง


ของสดที่นี่มีให้เลือกหลายอย่าง และหมักรสชาติใช้ได้ ... แต่ที่ถูกใจมากที่สุด และติดใจมากที่สุดก็คือ เนื้อหมูบดปรุงรส


ถึงที่นี่จะไม่มีอาหารอื่นๆ ให้เลือก แต่ของทอด ทานเล่นๆ ก็มีให้เลือกเพียบ ... เรียงอยู่ในถาดละลานตา แต่ก็เลือกมาชิมแค่นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น


น้ำจิ้มรสชาติใช้ได้ ถ้วยน้ำจิ้มใบใหญ่รอให้ตักปรุงรสได้เต็มที่ ... ผักสดก็มีหลายชนิด แต่ที่ชอบมากๆ คือ กะหล่ำปลีหั่นฝอย เพราะทานสะดวกดี

เตาพร้อม อาหารสดพร้อม ก็ปิ้งๆ ย่างๆ ได้ทันที ... กินไป คุยไป เพลินสุดๆ ... กินไปเรื่อยๆ พออิ่มก็หันไปหาของหวานที่รออยู่


แต่ปัญหาของร้านนี้ที่เจออยู่เป็นประจำ คือ น้ำมันจากเนื้อสัตว์ที่กระเด็นมาโดน ปุ๊ ปุ๊ เป็นระยะ กินไปก็ร้องโอดโอยไป ถึงจะไม่เจ็บมาก แต่ก็แสบๆ คันๆ นิดหน่อย ... ถ้าอยากไปนั่งกินแบบสบายๆ ต้องใส่เสื้อแขนยาวไปถึงจะเหมาะ


ถึงจะแสบๆ คันๆ แต่ก็ยังติดใจอยู่ดี ... แต่ให้กินบ่อยๆ ก็ไม่ไหว ไม่ดีต่อสุขภาพ นานๆ กินที ก็พอเนอะ

4.8.51

ข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นของคนดี

หลังจากได้ชิมข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นของหลายๆ ร้าน ... คนดีก็เกิดนึกอยากทดลองทำดูเองบ้าง เพราะเห็นว่ามีเครื่องแกงกะหรี่สำเร็จรูปขาย อ่านจากวิธีทำหลังกล่องก็ดูไม่น่าอยากเท่าไหร่ ... แต่ก็ได้แค่คิด ยังไม่ได้ลงมือทำจริงๆ สักที


จนล่าสุด ได้ชิมข้าวแกงกะหรี่ร้านชินเอม่อน คนดีเลยได้ไอเดีย และเกิดอยากทดลองทำขึ้นมาจริงจัง ... พอแวะเดินเล่นในซุปเปอร์มาร์เก็ต ก็ซื้อเครื่องแกงกะหรี่สำเร็จรูปติดกลับไปบ้าน ... คนดีบอกว่าจะไปทดลองทำให้สมาชิกที่บ้านชิมดูก่อน


บ่ายๆ วันอาทิตย์ โทรคุยกับคนดี ... คนดีก็อวดว่าสมาชิกในบ้านชมแกงกะหรี่ญี่ปุ่นฝีมือคนดีกันทั้งนั้น ... อ้าว งั้นต้องลอง คนดีเลยตักใส่กล่องเก็บไว้ให้เป็นมื้อกลางวันสำหรับวันจันทร์


แยกแกงมากล่องนึง ข้าวกับไส้กรอกมาอีกกล่อง ... พอได้เวลามื้อเที่ยง ก็เทรวมกัน ส่งเข้าไมโครเวฟ อุ่นสักพัก ก็ร้อนพร้อมหม่ำ ... หน้าตาและกลิ่นผ่าน แต่รสชาติจางไปนิด อาจจะเป็นเพราะเลือกแบบเผ็ดไม่มาก และใส่น้ำเยอะเกินไป ซุปเลยใส ไม่เข้มข้น


แค่นี้ก็อร่อยใช้ได้ ถ้าปรับปรุงแล้วครั้งหน้าต้องอร่อยมากกว่านี้แน่นอน ... ว่าแต่จะได้ชิมอีกครั้งเมื่อไหร่น้อ

2.8.51

1 วัน 2 จุดหมาย 3 งาน

วันเสาร์ที่ 2 ส.ค. กับเวลาช่วงครึ่งบ่ายของวันที่มีโปรแกรมแน่นเอี๊ยด ... ยังไงก็ต้องไปให้ครบ ยังไงก็ต้องจัดการให้หมด พร้อมแล้วก็ลุย


คนดีไปทำงานครึ่งวันเช้าตามปกติ เราก็เข้าไปเคลียร์เอกสารที่ออฟฟิศ ... เที่ยงนิดๆ คนดีก็แวะมารับ มุ่งหน้าไปอาคารจอดแล้วจร จอดรถทิ้งไว้ จับรถไฟใต้ดินมุ่งหน้าไปสถานีกำแพงเพชร ที่หมายแรก คือ สวนจตุจักร


เราตั้งใจจะไปซื้อของขวัญวันเกิดเล็กๆ น้อยๆ ให้สมาชิกใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงาน ... ส่วนคนดีก็อยากเดินดูเสื้อเชิ้ตนิดๆ หน่อยๆ ... เราซื้อของได้อย่างที่ตั้งใจ แล้วก็ได้เทียนหอมร้านโปรดที่ตามหามานานติดมือกลับมาด้วย


พอได้ของครบถ้วนตามที่ต้องการ ... ก็จับรถไฟใต้ดินมุ่งหน้าไปสถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่หมายที่ 2 ของวันนี้


ตั้งใจมาที่นี่เพราะ จะมา งาน Pet Expo ค่ะ ... แล้วก็ตั้งใจจะแวะไปซื้อหนังสือใน งานอัมรินทร์บุ๊คแฟร์ ... ก็เดินผ่านมาเจอกับ งาน 125 ปี ไปรษณีย์ไทย ด้วย ... มาที่เดียว ได้เดิน 3 งานเลย คุ้มจริงๆ


เริ่มต้นที่เราแวะเข้าไปในงานอัมรินทร์บุ๊คแฟร์ก่อน เพราะมีนิยายเล่มใหม่ของนักเขียนคนโปรดออกมา ... ไปถึงก็ดิ่งไปหาทันที นอกจากเจอหนังสือแล้ว ยังเจอตัวนักเขียนคนโปรดที่มาแจกลายเซ็นด้วย เลยได้โอกาสยื่นหนังสือให้เซ็นซะเลย ... อิอิ ดีใจจัง ติดตามอ่านหนังสือมาตั้งนาน และแล้วก็มีโอกาสได้ลายเซ็นมาเก็บไว้สักที


ระหว่างที่เราเข้าไปเดินดูหนังสือ คนดีก็แยกไปเดินในงานไปรษณีย์ไทย ... คนดีบอกว่าภายในงานมีอะไรน่าสนใจหลายอย่าง


โฉบดูงานไปรษณีย์แค่นิดหน่อย ก็ย้ายไปงานหลักที่ตั้งใจมา Pet Expo ... ตั้งแต่มีเจ้าลูกหมากิซโม่ ก็นับวันรองานนี้ หลักๆ ที่ตั้งใจมาซื้อคือ อาหาร ของว่าง เพราะราคาถูกกว่าร้านที่ซื้อประจำ ... แล้วก็ได้เสื้อ ของใช้ ของเล่นติดมือมาอีกพอสมควร ซื้อของครบงบที่ตั้งเอาไว้ก็เกือบจะหมดพอดี


งาน Pet Expo เป็นงานที่เดินลำบากมาก ถึงมากที่สุด ... ลำพังคนเดินก็เยอะพอสมควรแล้ว ยังมีน้องหมา น้องแมว ที่ติดสอยห้อยตามมาด้วยอีก บางตัวก็อยู่ในรถเข็น บางตัวก็เดินให้เจ้าของจูง แต่เดินนำเจ้าของแบบตามใจฉัน ต้องคอยหลบสายจูงกันสนุกสนาน ... และที่สำคัญคือ ต้องเดินหลบระเบิดที่เจ้าสี่ขาปล่อยเอาไว้ แล้วเจ้าของไม่จัดการเก็บให้เรียบร้อย


พื้นที่จัดงานไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ใช้พลังงานเดินกันเหนื่อยน่าดู ... ทั้งเดินดู เดินซื้อ ทั้งหอบหิ้วของที่ซื้อ พะรุงพะรัง พัลวันน่าดู




ระหว่างที่เดินซื้อของก็เจอจิ๊กโก๋เจ้าเก่า ที่เจอกันในงานเมื่อปีที่แล้ว ... ปีก่อนเดินมาเบียดขาซะเราเซ แต่ปีนี้เจอนอนพังพาบอยู่กับพื้นซะแล้ว ... ที่จำได้แม่นก็เพราะ ผมทรงโมฮ๊อคสีเจ็บที่เป็นเอกลักษณ์นี่หล่ะค่ะ


หมดตัว หมดแรง ก็หอบสังขารมุ่งหน้ากลับอาคารจอดรถ ... แวะทานสุกี้ที่คาร์ฟูร์ ลาดพร้าว ก่อนจะมุ่งหน้ากลับบ้าน ... เฮ้ออออออออ เหนื่อยจัง

สาปพระเพ็ง

นวนิยายเรื่องล่าสุดของ "กิ่งฉัตร" นักเขียนคนโปรด ... เป็นเล่มที่ไปสอยมาจากงานอัมรินทร์บุคแฟร์ แล้วบังเอิญไปเจอเจ้าของผลงานมาแจกลายเซ็นพอดี ... นอกจากได้นิยายเล่มใหม่แล้ว ยังได้ลายเซ็นด้วย ปลื้มสุดๆ


(Credit picture : http://www.amarinpocketbook.com/ )

คำนำจากสำนักพิมพ์บอกว่า เป็นนวนิยายที่รวมหลายรสหลายรูปแบบไว้ในเรื่องเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการฆาตกรรม การสืบสวนสอบสวน เรื่องในอดีตชาติ รวมถึงเรื่องราวเกี่ยวกับไสยศาสตร์ เพราะพิสูจน์ไม่ได้ ... ขณะเดียวกันก็มีความรักต่างรูปแบบให้ได้อมยิ้ม ได้ขำกันตลอดเรื่อง


พอเปิดอ่านแล้ว ก็เห็นจริงอย่างที่เขียนไว้ ... เพราะมีหลายรูปแบบจริงๆ อ่านแล้วชวนติดตามไปการการสืบสวน สอบสวน แต่ก็ยังมีความรักกุ๊กกิ๊ก และมุขให้ขำ ให้อมยิ้มด้วย ... ตั้งหน้าตั้งตาอ่าน จนนอนดึกดื่น ตื่นตาดำเป็นแพนด้าไปทำงานอยู่ 2 วัน


ตอนนี้ส่งต่อความสนุกไปให้สมาชิกในออฟฟิศที่ชอบอ่านนิยายได้อ่านต่อ ... แต่ย้ำแล้วย้ำอีก ว่าช่วยดูแลเล่มนี้เป็นพิเศษ เพราะมีลายเซ็นของนักเขียนคนโปรดอยู่ด้วย ... เล่มอื่นหายไม่ว่า เล่มนี้หายไม่ได้