13.10.54

ลุ้นบัตร Gannes 2

เป็นแฟนคลื่น Chill 89 กับ Greenwave 106.5 มานาน ฟังสลับกันไปมา ... ฟังตั้งแต่ยังเป็นคลื่น Bangkok Radio จนเปลี่ยนมาเป็น Banana ก่อนจะเป็น Chill ในปัจจุบันนี้


ไม่ได้ฟังเฉยๆ แต่ฟังแล้วร่วมเล่นเกม ร่วมกิจกรรมบ้าง ... กับ Greenwave นี่เล่นยังไงก็ลุ้นไม่ขึ้นสักที ไม่ได้ร่วมกิจกรรมอะไรด้วยเลย 


แต่ของ Bangkok Radio กับ Banana จนมา Chill ยังพอได้ลุ้นอะไรเล็กๆ น้อยๆ บ้าง ... แต่เป็นคนเล่นเกมแบบเลือกเล่น เลือกร่วมสนุกด้วย เฉพาะที่สนใจจริงๆ อยากไปจริงๆ ไม่ใช่เล่นดะไปทุกอย่าง


ได้ยินคลื่น Chill โปรโมทงาน Gannes Film & Music Festival 2 ... ดูรายละเอียด เช็ควันจัดงานแล้ว ก็ลองเล่นเกมสักหน่อย ว่าจะได้บัตรไปร่วมงานรึเปล่า



ลองเล่นเกมผ่านทางการส่ง sms เข้าไปแล้ว ไม่สำเร็จ ... อีกวันเลยลองเล่นผ่านทางหน้าเว็บไซท์ดูบ้าง เผื่อจะได้ลุ้น


ส่งคำตอบไปแล้ว ก็ลืมมมมมมมมม ... มานึกขึ้นได้ก็ผ่านมาหลายวันว่า น่าจะมีประกาศรายชื่อผู้โชคดีของวันที่เราเล่นเกมแล้ว ลองเข้าไปดูหน่อยดีกว่า


เปิดหน้าเว็บไชท์เข้าไปดู ก็อุทาน วี๊ดว๊าย จนคนดีตกใจหันมาถามว่าเป็นอะไร ... เลยหันไปส่งยิ้มหน้าบานบอกว่า เจอชื่อตัวเอง เป็นผู้โชคดีได้รับบัตรไปงาน Gannes 2 หล่ะ


แล้วก็ชวนคนดีว่า มามะ มามะ เรามาวางแผนเตรียมตัวไปเที่ยวเมืองกาญจน์กันเถอะ ... ได้บัตรเข้างานแล้ว เตรียมหาสถานที่ไปพักกันดีกว่า

8.10.54

ขึ้นเขียง กำจัดก้อนเนื้อแปลกปลอม

หลังจาก ตรวจแมมโมแกรม เจอก้อนเนื้อแปลกปลอม แล้วไปเช็คซ้ำเพื่อขอ 2nd-opinion และได้รับคำยืนยันว่าต้องผ่า ก็นัดวันผ่าทันที ... และแล้ววันที่นัดก็มาถึงค่ะ


คุณหมอนัดให้มาถึง รพ. ตอน 8 โมง เพื่อเตรียมตัวก่อนผ่าตัด ... คนดีพามาส่ง พร้อมมาให้กำลังใจใกล้ชิด เดินไปติดต่อ-ยื่นบัตรนัดที่ OPD ก่อน จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พามาส่งที่หน้าห้องผ่าตัด เป็นการมาผ่าตัดแบบคนไข้เดินเฉิบๆ ชิลด์ๆ มาเองเลย


นั่งรอสักพัก คุณพยาบาลจากในห้องผ่าตัดก็ออกมาตามตัว ... ฝากกระเป๋าและของมีค่าทั้งหลายไว้กับคนดี แล้วก็เดินชิลด์เข้าห้องไปเปลี่ยนชุด แล้วก็นั่งรอถูกเรียกตัวเข้าห้อง


นั่งดูทีวีเพลินๆ คุณพยาบาลก็มาตามไปเข้าห้องผ่าตัด ขึ้นนอนรอบนเตียง แอร์เย็นเกิ้นนนนนน หนาวสุดๆ คุณพยาบาลเอาผ้าห่มมาคลุมไว้ให้หลายผืนระหว่างรอคุณหมอมาเช็ครอบสุดท้าย


ที่คุณหมอแจ้งไว้ทีแรก คือ ผ่าตัดเล็ก ฉีดยาชา ผ่าเช้าแล้วเย็นกลับได้เลย ... แต่เราขอใช้สิทธิประกันนอนค้าง 1 คืน ตามความต้องการของ หม่ามี้ คุณพิไล และคนดี ที่อยากให้ดูอาการหลังผ่าสักหน่อย


พอคุณหมอเข้ามาคลำเช็คก้อนเนื้อเพื่อมาร์คจุดก่อนผ่าจริง หลังจากก้มอ่านชาร์ทประวัติของเรา คุณหมอก็บอกว่า "ผ่าทั้งสองข้างเลยแล้วกัน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว" ... แล้วก็หยิบปากกามาร์คจุด ข้างซ้ายที่คลำได้ชัด อยู่ที่ 12 นาฬิกา  ส่วนข้างขวาเป็นก้อนแบนๆ คลำได้ไม่ชัดเท่าไหร่ อยู่ที่ 3 นาฬิกา


มาร์คจุดเรียบร้อย แขนสองข้างของเราก็ถูกตรึงยึดกับเตียง ข้างขวาหนีบเครื่องวัด  ข้างซ้ายโดนเจาะน้ำเกลือ พร้อมกับให้ยานอนหลับ ... พยาบาลบอกว่าคุณหมอสั่งให้ยานอนหลับเลย ผ่าเสร็จก็คงตื่นพอดี ... มัดเรียบร้อย เจาะเข็มเรียบร้อย ก็กางฉากกั้นตรงหน้าเอาไว้ รู้ตัวแค่นี้ แป๊บเดียวก็หลับป๊อกเลยค่ะ


มาตื่นรู้สึกตัวอีกที ก็รู้ว่ายังผ่าไม่เสร็จ รู้ว่ายังมีอะไรขยุกขยิกอยู่ที่อกข้างขวา เลยสั่งตัวเองให้เข้าผวังค์หลับต่อดีกว่า ขืนตื่นมานอนฟังอย่างตั้งใจเกรงว่าจะหวาดเสียวเกินไป ... ตื่นอีกรอบก็ตอนผ่าตัดเรียบร้อยจริงๆ รู้สึกว่ามีผ้าปิดแผลแล้ว จากนั้นก็ถูกย้ายออกจากห้องผ่าตัด ไปห้องรอดูอาการที่อยู่ใกล้ๆ กัน


นอนกรอกตาดูนั่นนี่สักพัก คุณพยาบาลก็มาเช็คอาการว่าเป็นยังไงบ้าง เจ็บแผลมั้ย ตึงแผลรึเปล่า ... ทุกอย่างเรียบร้อย สบายดีค่ะ คุณพยาบาลก็ตามเจ้าหน้าที่มาพาไปส่งที่ห้องพัก


เพราะหม่ามี้เคยทำงานที่ รพ. นี้ เลยโทรติดต่อจองห้องพักฟื้นไว้ให้เรียบร้อย เลือกชั้นที่มีคุณน้า คุณอา ซึ่งคุ้นเคยกันดี ... ส่วนเราก็นอนกรอกตาดูนั่นนี่ไปเรื่อยๆ ระหว่างที่ถูกเข็นไปส่ง ... เอิ่มมมมม นอนบนเตียงที่เข็นเคลื่อนที่ไปมาแบบนี้นี่ ตาลายเหมือนกันแหะ


แป๊บเดียวก็ถึงห้องพักค่ะ คนดี กับ คุณพิไล มานั่งรออยู่ที่ห้องนี้เรียบร้อยแล้ว ... พอเจ้าหน้าที่มาส่ง และมาดูแลถามประวัติ ถามอาการเพิ่มเติม ก็ได้นอนพักเอกเขนก


คนดีถ่ายรูปเก็บภาพไว้ ว่าเราเป็นคนไข้ที่หน้าระรื่นเกิ้นนนนน หน้าตาเหมือนไม่ได้เพิ่งออกมาจากห้องผ่าตัด ... ก็มันไม่ได้เจ็บอะไรเลยนี่คะ หลับไม่รู้สึกตัว ตื่นมาก็เรียบร้อยแล้ว ไม่ได้เจ็บปวดอะไร มีตึงๆ แผลนิดเดียวเอง


แผลที่ผ่าตัดก็มองไม่เห็น เพราะมีผ้าก๊อซบังไว้ แล้วยังมีพลาสติดซีลปิดกันน้ำเข้าแปะไว้อีกชั้น แล้วจะให้ทุกข์ร้อนอะไรหล่ะคะ ... ยิ้มได้ สบายยยยยยย


เราเป็นคนไข้ที่ไม่เหมือนคนไข้ เพราะดูแลตัวเองได้  ขึ้น-ลงเตียงเองได้  ลากขวดน้ำเกลือเข้าห้องน้ำเองได้ ... ส่วนคนดีก็เป็นคนเฝ้าไข้ที่ไม่เหมือนคนเฝ้าไข้  เพราะหันไปเจอทีไร คนเฝ้าไข้หลับคอพับทุกที


นอนเอกเขนก อ่านหนังสือ ดูทีวี กินข้าว กินยา ตามเวลาที่เจ้าหน้าที่เอามาส่ง ... แค่คืนเดียวเท่านั้น คุณหมอก็มาตรวจดูอาการ แล้วบอกว่ากลับบ้านได้ ก่อนจะนัดวันมาตรวจดูแผลอีกรอบ


กลับบ้านแบบที่ไม่ได้เห็นแผลผ่าตัดของตัวเอง ใครถามไถ่อาการก็บอกไม่ได้ว่าแผลเป็นยังไง เพราะทั้งผ้าก๊อซและแผ่นพลาสติคยังซีลปิดแน่นหนาเหมือนเดิม ... คุณเจ้าหน้าที่บอกว่า ปิดแผลแบบนี้ อาบน้ำได้สบาย ไม่ต้องกลัวน้ำซึมเข้าแผล แต่ก็อย่าวางใจราดน้ำหรือใช้ฝักบัวรดแช่ไว้นานนัก ขอแค่ผ่านๆ พอ


รับทราบข้อปฏิบัติ  รับยา  ชำระเงินเรียบร้อย  ก็เก็บข้าวของกลับบ้านได้ค่ะ ... 1 คืนใน รพ. เหมือนเปลี่ยนที่นอนมานอนเล่น แต่ไม่เหมือนเดิมตรงที่มีรอยแผลติดตัวเป็นที่ระลึกด้วย

7.10.54

งานหนังสือ กับ แพรวแชริตี้ คอนเสิร์ท


เริ่มงานใหม่ได้แค่ 2 วัน ก็ออกตะแล๊ดแต๊ดแต๋แล้วค่ะ ถ้าไม่ไปต้องพลาดแน่ๆ แล้วเป็นงานที่ไม่อยากจะพลาดซะด้วย



งานแรกก็ งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ หรือ Book Expo ประจำปี 54 หนอนหนังสือไม่พลาดแน่ๆ ... งานมีระหว่างวันที่ 5-16 ตุลา  ดูระยะเวลาแล้ว ถ้าไม่ไปวันนี้ อาจจะไม่ได้ไปเลยแน่ๆ เลยต้องออเซาะคนดีให้ช่วยพาไปหน่อยเหอะ


ที่ต้องอ้อนให้พาไป เพราะว่าออเซาะขอสวัสดิการพิเศษ สำหรับพนักงานเอาไว้ เป็นขอให้ซื้อหนังสือจากงานหนังสือที่มีปีละ 2 ครั้งเอาไว้ ... แล้วมีรายการนิยายของคุณปิยะพร ศักดิ์เกษมที่กำลังตามเก็บย้อนหลังอยู่ เลยรีบขอใช้สิทธิทันที


ได้หนังสือตาม wish list มาส่วนนึง แม้จะยังได้ไม่ครบ แต่ก็พอใจ ส่วนที่ขาดเก็บไว้รองานครั้งต่อๆ ไปก็ได้ ... ไปงานหนังสือแล้ว ก็ย้ายไปจุดหมายต่อไป งานแพรว แชริตี้ คอนเสิร์ท



งานจัดที่ Centerpoint Playhouse Central World ... นอกจากจะได้ดูคอนเสิร์ทแล้ว ยังได้ทำบุญด้วย และที่สำคัญจะได้เจอคนโปรด 2 คน


คนแรกก็ อ้อม สุนิสา ซึ่งรับหน้าที่พิธีกรตลอดงาน ... อิอิ แค่ขึ้นเวทีมา ก็ทำให้นั่งอมยิ้มแก้มตุ่ยแล้ว


เริ่มงานด้วยการมอบเงินบริจาคจากโครงการ แพรวแชริตี้ให้กับ 7 มูลนิธิ และ มอบรางวัล 10 Most Influential Women Of The Year เป็นการมอบรางวัลให้กับผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลในสาขาต่างๆ ... จากนั้นเหล่าศิลปินต่างๆ ก็ทยอยขึ้นเวที โชว์เพลงและการแสดง


ดูไปก็ลุ้นไปว่าใครจะขึ้นมาโชว์เพลงอะไรบ้าง ดูเพลินดีค่ะ ไม่ได้หวังว่าจะได้ฟังเพลงเพราะเวอร์ หรือโชว์เต็มรูปแบบ ... เป็นการดูไปยิ้มไป เพลินๆ


แล้วก็ได้ยิ้มแก้มเต่ง แก้มแตก เมื่อผู้ชายที่ชื่อ สหรัถ สังคปรีชา ขึ้นมาบนเวที ... หัวใจฟู นั่งฟังเพลงแบบยิ้มตาหยี เพราะหุบยิ้มไม่ได้


และยิ่งยิ้มกว้างงงงงงง มากขึ้นอีก เมื่อพิธีกรขึ้นมาพูดคุยกับศิลปิน ... อิอิ คนโปรด 2 คน มาอยู่บนเวทีเดียวกัน ฮิ้ววววว แล้วที่เซอร์ไพรส์สุดๆ ก็ตรงที่พี่ก้องชวนพี่อ้อม ร้องเพลงด้วยกัน ... นั่งฟังแบบหน้าบานด้วยความชอบใจเป็นที่สุด


คิดว่าช่วงแห่งความประทับใจที่สุดของคอนเสิร์ทจะผ่านไป เมื่อหมดช่วงนี้ แต่พอ วงมโหระทึกเป่าจินจง ขึ้นแสดงเท่านั้น ก็ตื่นตาตื่นใจและชอบใจมาก


คุณนพพล กับ คุณปรียานุช นำทีมพนักงานบริษัทเป่าจินจง ขึ้นโชว์การแสดงดนตรีไทยชุดใหญ่ เพราะ และ สนุกมากค่ะ ... แล้วเมื่อแขกรับเชิญพิเศษอย่าง พี่ป๊อด โมเดิร์นด็อก ขึ้นมาร่วมแจมด้วย โชว์ยิ่งน่าประทับใจที่สุด


นับเป็นคอนเสิร์ทที่ประทับใจมากกกกกกก และคุ้มมากกกกกกกกก เพราะได้ทำบุญ และได้ดูโชว์หลากหลายอารมณ์ แล้วยังได้เห็นนักร้องคนโปรด 2 คน ... หูยยยยยยย คุ้มเกินคุ้ม ค่ะ

5.10.54

งานใหม่ บทใหม่ของชีวิต

ใช้ชีวิตเป็นสาว PR Agency มา 13 ปี ... วันนี้เป็นวันแรกของการเริ่มงานใหม่ การใช้ชีวิตแบบใหม่ ที่ต่างไปจากเดิม


จริงๆ ต้องเริ่มงานตั้งแต่วันจันทร์ที่ 3 ตุลา แล้วหล่ะค่ะ แต่ว่าคนดีใจดี ให้เราเข้าไปช่วยน้องคนที่มารับงานต่อก่อน เพราะต้องสรุปเอกสารส่งบัญชีช่วงสิ้นเดือน-ต้นเดือน ... เมื่อเสาร์-อาทิตย์เราเข้าไปจัดการเอกสารของบริษัทคนดีไว้เรียบร้อยแล้ว


วันที่ 4 ก็ให้ไป รพ. ไปตรวจเรื่องก้อนเนื้อเต้านมซ้ำ ... แล้วก็ให้กลับบ้านเตรียมข้าวของ ย้ายไปทำงานที่บ้านคนดี


คนดีเปิดบริษัท ทำงานเองมาประมาณ 2 ปีแล้ว ใช้มุมนึงของบ้านตั้งโต๊ะทำงานเป็นออฟฟิศย่อมๆ ... ที่ผ่านมาทำเองทั้งหมด ดูแลเองทุกเรื่อง ทั้งลูกค้า ซัพพลายเออร์ แบบงาน ส่งของ ซ่อมงาน รวมไปถึงเรื่องเอกสารต่างๆ 


เราเข้ามารับหน้าที่ดูแลเอกสาร และอยู่ประจำออฟฟิศ เพื่อช่วยรับเรื่องต่างๆ ... ในเมื่อบ้านกับที่ทำงานอยู่ที่เดียวกัน เราเลยหอบเสื้อผ้าข้าวของย้ายมาประจำอยู่ที่บ้านคนดีซะเลย


จันทร์-ศุกร์ ทำงานและค้างอยู่ที่บ้านคนดี ไม่มีปัญหาเรื่องการเดินทาง เพราะไม่ต้องออกไปไหนเลย แค่เดินจากชั้น 4 ห้องนอน ลงมา ชั้น 2 ก็นั่งประจำโต๊ะทำงานได้แล้ว 


เรื่องอาหารการกิน ก็ไม่ต้องคิด มื้อเช้าฝากท้องไว้กับ 7-11 และร้านค้าใกล้ๆ ส่วนมื้อกลางวันกับมื้อเย็น อยู่ในความรับผิดชอบของโซ้ยอี้ น้าของคนดีที่จัดการอาหารให้สมาชิกในบ้านทุกคนอยู่แล้ว ... ไม่ต้องนึกเมนูว่าวันนี้จะกินอะไรดี เพราะมีคนคิดให้เสร็จเรียบร้อย


นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของชีวิต จากที่ต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างอยู่บ้าน ก็กลายเป็นมาทำงานด้วยกัน อยู่บ้านเดียวกัน เจอหน้ากันเกือบ 24 ชม. ตลอด 7 วัน


เราขอคนดีกลับบ้านช่วงเสาร์-อาทิตย์ กลับมาจัดการเสื้อผ้าตัวเอง กลับมาอยู่ในพื้นที่ที่คุ้นเคย เพราะบ้านคนดีถึงจะสะดวกสบาย แต่ก็ไม่คุ้นเคยเหมือนบ้านเรา ... แต่จริงๆ ก็กลับมาอยู่บ้านแค่แป๊บเดียว วันเสาร์ก็ตะลอนไปกับคนดี กว่าจะเข้าบ้านก็เย็นย่ำค่ำแล้ว ... วันอาทิตย์จัดการเสื้อผ้าตัวเองทั้งวัน ค่ำๆ คนดีก็มารับ


นับเป็นบทใหม่ของชีวิตที่ต้องปรับ เปลี่ยน และทำความคุ้ยเคย ทั้งเรื่องงาน และชีวิตประจำวัน ... แต่การเปลี่ยนแปลงก็เป็นธรรมดาโลกที่เราต้องเจอะเจอและรับมืออยู่แล้ว

4.10.54

2nd opinion กับ ก้อนเนื้อแปลกปลอม

เมื่อ ตรวจเจอก้อนเนื้อ ก้อนเนื้อแปลกปลอมที่เต้านม ... ก็ต้องหาว่าจะจัดการกับเจ้าก้อนเนื้อนี้ยังไงดี


คุณหมอ ณ รพ. ที่ตรวจเจอบอกให้ตัดออก แต่เราไม่รีบร้อนผลีผลามทำทันที ... ในฐานะที่เป็นลูกอดีตพนักงาน รพ. เราต้องหา 2nd opinion ก่อนค่ะ แล้วจะมีที่ไหนเหมาะเท่า รพ.ที่เราคุ้นเคยตั้งแต่เป็นเด็ก


ปรึกษากับหม่ามี้ตั้งแต่ตอนตรวจเจอแล้วว่าจะไปพบคุณหมอคนไหนดี แต่ติดภารกิจโอนย้ายถ่ายงานให้น้องที่มารับงานต่อ เลยผลัดวันจะมาตรวจเรื่อยๆ ... จนเริ่มเดือนใหม่ ก่อนจะทำงานใหม่ เจ้านายใหม่ก็อนุมัติให้ไปตรวจก่อน


ถือฟิลม์เอ็กซเรย์ กับ รูปถ่ายจากอัลตราซาวน์ ติดมือไป รพ. ด้วย แจ้งเวชระเบียน ระบุคุณหมอ แล้วก็ไปนั่งรอที่หน้าห้องตรวจ ... ทั้งคุณหมอ และ ผู้ช่วยประจำห้อง ก็คุ้นเคยกันดี เพราะเห็นตั้งแต่เป็นเด็กอนุบาล ทักทายกันเรียบร้อยก็เริ่มตรวจ


หลังจากคุณหมอดูฟิลม์ ดูรูปถ่าย ซักถามเพิ่มเติม ก็ให้นอนบนเตียง แล้วคลำตรวจเพิ่ม ... คลำตรวจเสร็จปุ๊บคุณหมอก็บอกว่า "ต้องผ่านะ" 


หม่ามี้เล่าว่า เคยคลำเจอก้อนเนื้อ แล้วมาให้คุณหมอคลำเพิ่ม คุณหมอจ่ายยาให้ไปกินก่อน ก็ยุบหายไป ไม่ต้องผ่า ... แต่นี่คุณหมอคลำแล้วว่าผ่า หนูก็ผ่าค่ะ

คุณหมอถามเพิ่มเรื่องสิทธิประกัน แล้วก็นัดวันผ่ากันเลย ... คุณหมอบอกว่าผ่าตัดเล็ก ไม่ต้องนอนพักก็ได้ ผ่าเสร็จนอนสักพักก็กลับบ้านได้ แต่ถ้าสิทธิประกันระบุให้นอนก็นอนพักสักคืนก็ได้


เราเลยแจ้งขอใช้สิทธินอนค้างคืนไปก่อน แล้วให้เจ้าหน้าที่ของ รพ. ติดต่อกับบริษัทประกันว่าอนุมัติอะไร ยังไง แค่ไหน แล้วจะแจ้งเรื่องให้ทราบอีกที ... จากนั้นก็แวะกินข้าว และโทรแจ้งข่าวบอกหม่ามี้ บอกคนดีให้รู้


ทั้งหม่ามี้ คุณพิไล สว.ประจำบ้าน และ คนดี พอรู้คำวินิจฉัยของคุณหมอแล้ว ก็ลงมติว่านอนพักดูอาการสักคืนเถอะ ... ยังไงก็ได้ค่ะ รอฟังผลแจ้งจากเจ้าหน้าที่ รพ. ก็แล้วกัน ระหว่างนี้เตรียมตัวขึ้นเขียง


ลุ้นนิดๆ ตื่นเต้นหน่อยๆ แหะ

30.9.54

My Farewell @ SPR Office


สาวๆ จัด ปาร์ตี้เลี้ยงส่ง ไปแล้วที่นครคารา ... เจ้านายจัดเลี้ยงส่งอย่างเป็นทางการอีกรอบที่ห้องชั้นบนสุดของออฟฟิศ เป็นงานเลี้ยงส่งอย่างเป็นทางการจริงๆ เพราะรวมตัวกันหนาแน่น


ปาร์ตี้ในช่วงเทศกาลกินเจแบบนี้ ทีมจัดหาอาหารก็ต้องจัดทั้ง เจ และไม่เจ มาเตรียมเอาไว้ ... อาหาร เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว พร้อม ... พอเลิกงานก็ทยอยกันขึ้นไปจัดอุปกรณ์และสถานที่


ศิษย์ปัจจุบันที่หิวโหยเริ่มลงมือลุยเสบียงก่อน เพราะนายออกไปธุระโทรมาบอกว่าให้เริ่มกันไปก่อนได้เลย ... ศิษย์เก่าที่ออกไปแล้ว ทยอยแวะมาทีละคนสองคน


พี่ที่ปรึกษามาถึงงานพร้อมหมวกกันน็อคลายแพนด้า เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง และบอกว่าให้ใส่ไว้ตลอดงาน ... ใครมาถึงเป็นต้องถามทุกคนว่าทำไมต้องใส่ไว้ด้วย 


เป็นปาร์ตี้แรกที่ไม่ได้ลุกไปร่าเริงร้องเพลงเต้นบ้าบอ แต่นั่งปักหลักประจำอยู่ที่โต๊ะกับนายตลอด เล็มนั่น เล็มนี่ ในจานตรงหน้า แล้วก็นั่งฟังนาย คุยกับนาย ... ตอนแรกก็เป็นปาร์ตี้ที่ครึกครื้นร่าเริงดี แต่พอพี่ที่ปรึกษาจะกลับ นายเลยขอให้พูดอะไรสักหน่อย


พี่ที่ปรึกษาพูด นายพูด แล้วส่งต่อไมค์มาให้เราพูดอะไรสักหน่อย ไอ้ที่ตั้งใจว่าจะไม่เศร้าเลยน้ำตาปริ่ม เสียงสั่นเครือ ... 13 ปี กับบริษัทที่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สอง เพราะอยู่มาตั้งแต่ฝึกงาน ฝึกงานจบกลับไปเรียน เรียนจบก็มาเริ่มต้นที่นี่ เป็นพนักงานรุ่นแรกๆ ที่ได้เจอเพื่อนร่วมงาน ทั้งรุ่นพี่ รุ่นเพื่อน และรุ่นน้อง มากหน้าหลายตามากมายหลายคน แต่ทุกคนก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน สนิทสนมคุ้นเคยกัน



เป็นการทำงานที่มีความประทับใจมาก เป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงาน เป็นเหมือนญาติ เหมือนคนในครอบครัว แม้จะมีหลายรุ่น หลายช่วง แต่ก็เชื่อมต่อกันได้ ... กว่าจะตัดสินใจว่าจะจากไป ก็คิดอยู่นาน ทำใจอยู่นาน กว่าจะเข้าไปคุยกับนายได้ คุยแล้วก็ยังรอเวลาอีกนานกว่าจะกำหนดวันอำลา


คุยกับนาย แจ้งให้นายทราบแล้ว ก็ไม่ได้บอกเล่าให้ใครฟัง เพราะยังไม่สรุปอย่างเป็นทางการ รอจนชัดเจนแน่นอน ถึงได้บอกสมาชิกในออฟฟิศให้รู้ ซึ่งก็สร้างความตกอกตกใจไม่ใช่น้อย ... พอศิษย์เก่ารู้ข่าวก็ฮือฮา โดนซักถามว่าจะไปไหน อะไร ยังไง


คนตกที่นั่งลำบากก็ไม่ใช่ใคร คนดีว่าที่เจ้านายคนใหม่นั่นเอง ... คนดีรู้สึกเกรงใจนาย เพราะคุ้นเคยกัน แม้จะไม่เคยทำงานร่วมกัน แต่ก็คุ้นหน้าคุ้นตาและนายก็ให้ความเอ็นดูคนดีไม่น้อย อยู่ๆ เราซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฎิจะลาออกไปทำงานด้วย คนดีเลยเกรงใจ ไม่สบายใจ


ตลอดปาร์ตี้นายก็ถามถึงคนดีตลอดว่าอยู่ที่ไหนแล้ว เมื่อไหร่จะตามมา แต่คนดีติดงาน บวกกับเกรงใจเลยไม่กล้ามา กะจะมารับตอนกลับแค่นั้น ... แต่นายตาม ถามถึง และบอกว่ามาเหอะ ไม่ตีหัวหรอก ... เราเลยโทรบอก และคนดีก็ตามมาแจมด้วย


ปาร์ตี้เรียบๆ ง่ายๆ กินกันไป คุยกันไป ใครมีธุระหรือรีบกลับ ก็ลากลับก่อน ส่วนที่เหลือก็นั่งคุยกันเพลินๆ ... ตอนแรกนายจะต้องไปปาร์ตี้อีกที่ แต่ไม่มีเสียงโทรตาม ก็เลยคุยกันยาว กว่าจะเลิก ร่ำลากันจริงๆ ก็ร่วมตีหนึ่ง


ขอบคุณนายที่ให้โอกาสให้ความรู้ ขอบคุณพี่ที่ปรึกษาที่บอกกล่าวเล่าเรื่องต่างๆ เป็นประสบการณ์ ขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกคน ที่เคยร่วมงานกัน ... ทุกคน ทุกเรื่องราว ล้วนเป็นความทรงจำ เป็นประสบการณ์ที่สนุก อบอุ่น และประทับใจ


แม้ตัวจะไม่ได้อยู่แล้ว แต่เลือด SPR สีม่วง ก็ยังไหลเวียนอยู่ในตัวเหมือนเดิม ... รัก Siam PR ค่ะ

29.9.54

วิทยากร จำเป็น #2

3 วันผ่านไป กลับมาเป็นวิทยากรอีกครั้ง ... ครั้งที่แล้วเป็นนักศึกษาฝึกงานแบบธรรมดา แต่ครั้งนี้เป็นนักศึกษาฝึกงานในโครงการสหกิจศึกษา


สืบเนื่องมาจาก อ.ที่ดูแลโครงการนี้ รู้ว่า อ.อีกท่านโทรมาเชิญเราไปบรรยาย และเนื้อหาคล้ายๆ กัน เตรียมตัวเป็นนักประชาสัมพันธ์มืออาชีพ เรื่องของกิริยา มารยาท การแต่งตัว เหมือนกัน ... เลยโทรมาเชิญเราด้วย แต่ครั้งนี้บรรยายแค่รอบบ่ายเท่านั้น


นับเป็นวันที่เจอไป 3 นัด นัดเช้าไปดูสถานที่เตรียมงานของลูกค้า กลับเข้าออฟฟิศมีประชุมเตรียมงานของลูกค้าอีกราย จบแล้วก็ออกไปบรรยายต่อ 


ไปถึงห้องบรรยายครั้งนี้ไม่มีพิธีรีตองอะไรนัก เพราะ อ.ที่ดูแลติดภารกิจอื่น และมีบรรยายหลายห้อง ได้เวลาก็เริ่มต้นบรรยายได้เลย ... พูด พูด พูด คล้ายเดิม ครั้งนี้ก็ควงน้องฝนมาช่วยเสริมเป็นระยะเหมือนกัน พูดไป เล่าไป ถามไป ได้เสียงตอบรับกลับมาเล็กน้อย เพราะครั้งนี้ไม่มี อ.นั่งฟังอยู่ด้วย 


ระยะเวลาในการบอกเล่าน้อยลง แต่ต้องเล่าเนื้อหาเกือบเหมือนกับที่พูดเต็มวัน เลยต้องพูดรัวเร็วเก็บเนื้อหาให้ครบ เหนื่อยไปอีกแบบ


หมดเวลาจบการบรรยายแบบแบตต่ำอีกเช่นเคย ... กินเจ หิวบ่อย เหนื่อยง่าย แล้วเจอประชุม 3 นัดต่อเนื่องกันใน 1 วัน แล้วนัดสุดท้ายยืนบรรยายยาวแบบรัวเร็ว กลับถึงบ้านก็สลบซิคะ

26.9.54

วิทยากร จำเป็น #1


ระยะหลังได้รับโทรศัพท์เชิญไปเป็นวิทยากรอยู่เรื่อยๆ จนเริ่มชิน เพราะพูดเรื่องที่คุ้นเคยดีอยู่แล้ว และสถาบันที่เชิญไปก็ถิ่นเก่า คณะเรา ม.ที่เราเรียนจบมานั่นเอง เลยตกปากรับคำง่าย สบาย


ล่าสุดก็ได้รับสายโทรศัพท์จาก อ.ที่คุ้นเคย โทรมาขอความช่วยเหลือให้เป็นวิทยากรอีกครั้ง ไปเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาที่จะออกไปฝึกงานเหมือนเดิม แต่หัวข้อเปลี่ยนไป ขอเน้นเรื่อง "กิริยา มารยาท และการแต่งตัว"


ได้ยินแล้ว "งง" ค่อนข้างมาก ว่าเรื่องนี้ต้องแยกหัวข้อออกมาเน้นจริงจังด้วยเหรอ มันเป็น common sense ที่น่าจะมีติดตัวเป็นพื้นฐานอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ... ประโยคต่อมาของ อ. ที่ติดต่อมาบอกว่า หน่วยงานต่างๆ ที่ส่งไปมีติงเรื่องนี้มาเหมือนกัน เลยอยากจะยกมาให้นักศึกษารู้ว่าสำคัญ


รับปากไปเป็นวิทยากรแบบมึนๆ ว่าจะเตรียมเนื้อหาไปพูดยังไงดี ... บอกเล่าปากเปล่า พูดไปเรื่อยๆ คงได้ แต่ภาพและเรื่องที่จะประกอบการเล่านี่ซิ จะเอายังไงดี


ยังกลุ้มใจกับเรื่องและภาพประกอบ อ.ท่านเดิมก็โทรมาส่งข่าวบอกว่า จากที่จะเชิญบรรยายครึ่งวัน จะขอเพิ่มเป็นเต็มวันเลย อยากให้พูดเรื่อง "การเตรียมตัวเป็นนักศึกษาฝึกงาน" ด้วย ว่าควรจะเตรียมตัวอะไรบ้าง ... ก็รับปากอีก แล้วก็มานั่งมึนต่อ


รื้อฟื้นความทรงจำตัวเองสมัยจะเป็น นศ.ฝึกงานว่าเตรียมตัวอะไรบ้าง แล้วก็ไปถามน้องๆ ในออฟฟิศ ที่เคยฝึกงาน และทำงานอยู่ ว่าเตรียมตัวยังไง


ฟื้นความทรงจำ เก็บขอมูล ก็มาเตรียมเอกสารประกอบ ต้องทำเนื้อหาใหม่หมด ของเดิมที่มีที่เคยใช้ไปบรรยายนั้น ใช้ไม่ได้ ... เรื่องกิริยา มารยาท และการเตรียมตัวฝึกงาน ก็ทำเนื้อหาเป็นหัวข้อเอาไว้ ส่วนการแต่งกายนั้น เลือกหาภาพประกอบเยอะๆ แล้วพูดเสริมเอา


เนื้อหาพูดพร้อมแล้ว ก็ส่งไปให้น้องฝนที่เลือกไปช่วยพูดลองดูก่อน ... ที่ครั้งนี้เลือกน้องฝนเพราะเพิ่งฝึกงานจบ เริ่มทำงานได้ไม่กี่ปี บอกน้องคร่าวๆ ว่า ไม่ต้องกังวลอะไร จะส่งไปให้ช่วยพูดเป็นบางช่วง หรือช่วงไหนอยากเสริมอะไร ก็เสริมมาได้เลย


ถึงกำหนดก็ไปแต่เช้า ตุนเสบียงรองท้อง แล้วก็เริ่มภารกิจ ... เชิญคณบดีกล่าวเปิดงาน ดูเป็นทางการพอสมควร ทักทายพูดคุยกันสักหน่อย เราก็เริ่มยิงยาวกันเลย พูด พูด พูด และพูด สลับกับส่งไปให้น้องฝนช่วยเสริมบ้าง ... พูดไป เล่าไป ถามไป จบครึ่งวันแรกไปได้แบบไม่เลว


แบตตก อ่อนเปลี้ยเล็กน้อย เพราะเป็นวันแรกของเทศกาลกินเจ ทางคณะเตรียมผัดไทเจกับเต้าหู้ทอดไว้ให้ เลยรอดตาย ... เติมพลังเรียบร้อย ก็กลับเข้าห้องบรรยาย ลุยกันต่อ


พูดไป เล่าไป ถามไป เหมือนเดิม พยายามเล่า บอก และเสริมสิ่งต่างๆ ที่เห็นว่าจำเป็นและได้ประโยชน์กับนักศึกษาฝึกงานมากที่สุด หวังว่าน้องจะได้อะไร แต่จะไปใช้อะไรได้ดีรึเปล่าก็ได้แต่ลุ้น ... สอบถาม อ. ที่นั่งฟังอยู่ด้วย ก็บอกว่าเนื้อหาดี พูดดี โล่งอกไป แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นคำชมตามธรรมเนียมรึเปล่า


หมดวัน หมดแรง กลับถึงบ้านก็สลบ ... นานๆ มาทียังเหนื่อยขนาดนี้ บรรดาอาจารย์ที่สอนอยู่ทุกวัน ต้องเตรียมเนื้อหา ต้องยืน ต้องสอนทั้งวัน จะเหนื่อยขนาดไหน นับถืออาจารย์ทุกๆ ท่านจริงๆ ค่ะ

25.9.54

STR Reunion : 2/2011

นัดรวมตัวเจอกับก๊วนเพื่อนสาวสมัยมัธยมมาถึงเร็วกว่าที่คิด นัดครั้งก่อน เจอกันเพราะอยากเจอ และทิ้งท้ายไว้ว่าไว้นัดไปต่างจังหวัดกันบ้างดีกว่า ... นัดครั้งนี้ยังอยู่ใน กทม. เหมือนเดิม แต่นัดเจอกันเร็วกว่าเดิม เพราะปกติเจอกันปีละหน แต่ปีนี้ มีหนที่ 2


นัดครั้งนี้จัดเป็นนัดเฉพาะกิจ เพราะ เพื่อนฝน บอกบุญ ชวนกันทำหนังสือสวดมนต์ฉบับย่อ ... หนังสือพิมพ์เสร็จเรียบร้อย เลยต้องมีนัดรับของไปกระจายบุญกันต่อ ... ก๊วนเพื่อนเลยได้โอกาสรวมตัวเจอกันเร็วกว่าที่คาด


ครั้งนี้นัดเจอกันที่ CTW จุดศูนย์กลางที่คาดว่าจะสะดวกกันทุกคน ... เราเสร็จจาก เดิน-วิ่งการกุศล ก็รีบเข้าบ้าน อาบน้ำแต่งตัว รีบออกเดินทางไปจุดนัดพบ


นัดหนนี้ สมาชิกเปลี่ยนหน้าไปบ้าง และแต่ละคนมีภารกิจก่อนหน้า กว่าจะทยอยมาถึงกันครบก็ต้องใช้เวลาพักใหญ่ ... เลยต้องหาร้านที่สามารถปักหลักนั่งคุยกันได้ยาวๆ นานๆ


เลือกร้าน สีฟ้า บอกพนักงานให้จัดที่นั่งให้ แล้วก็ปักหลัก กิน ดื่ม เม้าท์ กันทันที ... ชุดแรกมา 6 คน มาแบบหิวโหย สั่งอาหารกินกันหนุบหนับ


สักพักตามมาอีก 2 ก็สั่งอาหารเพิ่มมากินไปเม้าท์ไปกันต่อ ... อีก 2 คน ที่เหลือ ตามมาสมทบช่วงท้าย กินกันเกือบอิ่ม แต่ยังเม้าท์กันไม่หนำใจ ... เพื่อนร่วมรุ่นก็เม้าท์กันมัน ผู้ติดตาม 2 คน ก็เม้าท์กันเพลิน


เม้าท์ที่ร้านของคาวยังไม่จุใจ ย้ายไปเม้าท์กันต่อที่ร้านของหวาน ครั้งนี้เลือก Cold Stone ร้านใหม่ ชวนกันชิม ช่วยกันลอง ... สั่งมา 3 ถ้วย ช่วยกันตักคนละคำ สองคำ แบ่งกันแป๊บเดียว หมดเกลี้ยง 


ไอติมเกลี้ยงแล้ว ก็ต้องสละที่นั่งให้ลูกค้ารายอื่นต่อ เลยชวนกันย้ายออกไปยืนเม้าท์ด้านนอกอีกสักพัก ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกอีกสักหน่อย แล้วก็แยกย้ายค่ะ ... แบ่งพวก จับคู่ ว่าใครจะไปทางเดียวกันได้บ้าง ก็แยกย้ายกันตามความสะดวก


จบนัดรวมตัวกันครั้งที่ 2 ของปีนี้อย่างเป็นทางการ ... ปีหน้านัดกันใหม่ เจอกันที่ไหนดีน้อ

TMB : ING PARKRUN 2011

เกิดมาจนอายุ 30+ ไม่เค้ยยยย ไม่เคย ไปร่วมกิจกรรม เดิน-วิ่งการกุศล ที่ไหนเลย เคยแต่ช่วยทำบุญด้วยการสมัคร แต่ไม่สบโอกาสจะไปร่วมกิจกรรมจริงๆ สักที ... เพิ่งจะมีโอกาสครั้งนี้ครั้งแรกหล่ะค่ะ


ได้ยินโฆษณาจากทางวิทยุ หูผึ่งทันที เพราะบอกว่ามีคอนเสิร์ทของ Jetset'er กับ Nuvo ที่จะเล่นหลังจากเดิน-วิ่งจบแล้ว ... ไม่เคยไปเลย ก็นึกอยากไปคราวนี้หล่ะค่ะ แต่จะชวนใครดี ชวนคนดีก็คงจะโดนค่อนขอดไม่ใช่น้อย


แล้วโชคก็เข้าข้าง เพราะพี่จุ๊บส่งข้อความมาชวนว่าสนใจมั้ย ... รีบตอบกลับทันใด ว่าสนใจซิคะ แต่ติดนัดรวมรุ่นกับเพื่อนช่วงบ่ายของวันเดียวกันพอดี จะเอายังไงดี


เช็คคิวคนดีว่าว่างและตามใจ แล้วไปจัดสรรคิวเพื่อนให้แน่นอน จากนั้นก็ส่งข่าวฝากพี่จุ๊บซื้อบัตรทันที ... 250 บาท ได้ทำบุญ ได้เสื้อยืดใส่ร่วมกิจกรรม แล้วยังได้ดูคอนเสิร์ท คุ้มสุดๆ แล้ว


ตามกำหนดให้ลงทะเบียน ตี 5 และเริ่มวิ่งตอน 6 โมง ... เราสองคนก็ตาลีตาเหลือกออกจากบ้าน รีบตรงไปสวนจตุจักร รีบไป เพราะจะรีบหาที่จอดรถด้วย โชคดีได้ที่จอดริมทางด้านข้างพอดี ... รีบจอดรถ รีบไปลงทะเบียน รับหมายเลข กับรับเสื้อมาเปลี่ยน และเตรียมตัว


6 โมง ก็เริ่มปล่อยตัว เริ่มที่ 10.5 กม. ออกตัวก่อน ส่วน 4 กม. และ 2 กม. ปล่อยตัวตามหลัง ... วิ่งไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ ใน 3 สวน คือ สวนจตุจักร  สวนรถไฟ และสวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ... เรามาเดิน-วิ่งแบบขำๆ เพราะฉะนั้น 2 กม. เท่านั้นก็พอค่ะ


เดินๆ วิ่งๆ แป๊บเดียวก็ครบรอบระยะทางค่ะ ... แค่วิ่งผ่านเข้าเส้นชัยได้ ก็จะได้รับเหรียญเป็นที่ระลึก เหรียญแรกในชีวิต ไม่รู้ว่าจะเป็นเหรียญสุดท้ายรึเปล่า


ผ่านเข้ามาแล้วก็แวะซุ้มสปอนเซอร์ รับเครื่องดื่ม อาหาร ขนม มารองท้องระหว่างรอคอนเสิร์ท และรอสมาชิกที่เหลือที่วิ่งระยะ 4 กม. ... จากนั้นก็หาที่นั่งปักหลักรอหน้าเวทีคอนเสิร์ทเลยค่ะ 


เปิดเวทีด้วย วง Jetset'er ... สารภาพกันตรงนี้เลยว่าไม่เคยรู้ว่าวงนี้หน้าตาเป็นยังไง เคยได้ยินชื่อผ่านหู แต่ไม่รู้ว่าร้องเพลงอะไรบ้าง เชื่อว่าถ้าได้ยินเพลงก็คงร้องอ๋อ


แล้วก็จริงดังคาดค่ะ ตอนสมาชิกของวงขึ้นเวทีมา ไม่รู้เลยว่าใครเป็นใคร เห็นมีเสียงกรี๊ดต้อนรับบ้าง ... พอเริ่มโชว์ พอได้ยินเพลง ก็ร้องอ๋อออออ เพลงนี้เองเหรอ ก็คุ้นหูจริงๆ ร้องตามได้บ้าง โยกตามได้เพลินๆ จะว่าไปก็ประทับใจกับโชว์ของวงนี้ไม่ใช่น้อย ต้องหาเพลงของวงนี้มาฟังเพิ่มซะแล้ว


พอ Jetset'er จบโชว์ คนดูก็เริ่มอยู่ไม่สุขค่ะ เริ่มมีการขยับเนื้อตัว เตรียมกระชับพื้นที่ ... แล้วพอ 6 หนุ่ม Nuvo ออกมาเท่านั้นหล่ะ คนกรูมาหน้าเวที มารุมถ่ายรูป มากรี๊ดดดดด กันสนั่น ... เราที่กะว่าปักหลักนั่งได้เหมาะแล้ว ก็จำต้องลุกขึ้นยืน เพราะถ้าไม่ยืนคงโดนเหยียบ และโดนบังแน่ๆ เพราะพื้นที่หน้าเวทีโดนคนด้านหลังถลามายึดเรียบร้อย


โชคดีที่ไม่ได้เป็นผู้หญิงตัวเล็ก ตัวบาง ไม่งั้นคงลำบากเพราะคนเบียดกันหน้าดู และโชคดีม้ากกก มาก ที่เล็งทำเลได้เหมาะเหม็ง ได้อยู่ตรงหน้า พี่ก้อง ชายหนุ่มสุดโปรดพอดิบพอดี


ลุ้นตั้งแต่ตอนทีมงานขึ้นมาเตรียมเวทีแล้ว ว่าจะใช่รึเปล่า พอเห็นกีต้าร์ที่ถือมาวางก็แอบกรี๊ด ว่าชัวร์แน่ๆ ครั้งนี้ไม่พลาด ... แล้วพอพี่ก้องขึ้นประจำที่เท่านั้นหล่ะ ยืนอมยิ้มแก้มปริ


คนดี กับ พี่จุ๊บ ที่ยืนอยู่ข้างๆ พ่ายแพ้ต่อผู้คน และแสงแดดที่แรงขึ้นเรื่อยๆ จำต้องล่าถอยออกไปก่อน ... ปล่อยเราปักหลัก ยืนดู ยืนยิ้ม ยืนถ่ายรูป อยู่ตามลำพัง ... ดูไป ยิ้มไป ร้องเพลงตามไป และ ถ่ายรูปไป เคลิ้มเอง เขินเอง


คนข้างหน้ายื่นมือขอจับมือ พี่ก้องส่งมือมาจับ เราก็ไม่กล้ายื่นไปจับ มัวแต่ยิ้มเพลิน และเขินอยู่ ... แล้วก็ห่วงกล้อง กลัวว่าขยับตัวแล้วจะเสียพื้นที่เสียหลัก ล้มร่วงไปหล่ะก็ ลำบากแน่ๆ


ยืนดู ยืนยิ้ม อยู่อีกพักเดียว โชว์ก็จบค่ะ คอนเสิร์ทของ 2 วง ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงเศษๆ ... พอนูโวเล่นจบ คนดูก็สลายตัวกันอย่างรวดเร็ว ทีมงานถึงกับเหวอ ... เราเองก็รีบเดินออกมาเพราะเกรงใจคนดีกับพี่จุ๊บที่ยืนรออยู่ด้านนอก เดินยิ้มแก้มเต่ง อารมณ์ดีสุดๆ ขึ้นรถกลับบ้าน


เป็นงานเดิน-วิ่งการกุศล ที่คุ้มค่าจริงๆ เพราะแถมคอนเสิร์ทให้ดูแบบนี้ เริ่ดดดดดด ... ถ้ามีงานแบบนี้อีก แล้วนูโวไปเล่นอีก เราก็คงจะได้เหรียญมาเก็บสะสมเพิ่มอีกเหรียญแน่ๆ 

23.9.54

Farewell @ นครคารา

นับถอยหลังเวลาที่ทำงานที่ SPR ลดลงเรื่อยๆ ... สาวๆ น้องๆ เลยชวนไปปาร์ตี้เลี้ยงส่ง เฮฮาคาราโอเกะ ส่งท้าย


ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากทำตัวให้ว่างตามเวลานัดเท่านั้น  ... สาวๆ เลือกร้าน จองร้าน นัดวัน เวลา เป็นวันสุขแห่งชาติ ที่นครคารา ร้านอาหารและคาราโอเกะ อยู่ด้านหลังเอสพละนาด รัชดา ... เดินทางสะดวกแน่ๆ แต่อาหารจะอร่อย เครื่องเสียงจะใช้ได้รึเปล่า ต้องไปลอง


คนดีมารับเรากับสาวๆ เหมือนเคย แต่ไปถึงแล้ว เราสองคนขอแวบไปทำธุรกรรมทางการเงินที่ธนาคารในเอสพละนาดก่อน ... กลับมาถึงร้าน สาวๆ ก็สั่งอาหารมาพร้อม และเริ่มต้นความครึกครื้น


อาหารที่นี่ อร่อยใช้ได้ค่ะ ส่วนเครื่องเสียงก็ไม่เลว มีจอ 2 จุด ให้อ่านเนื้อเพลง ดูภาพได้ชัดเจน ... เสียดายพื้นที่ในห้องคาราโอเกะน้อยไปนิด สาวๆ เลยออกเสต็ปกันไม่ถนัดเท่าไหร่ 



แม้พื้นที่จะจำกัด แต่ความสนุกเต็มที่เหมือนเดิมค่ะ เฮฮาบ้าบอกันเหมือนเคย ร้องเพลงหลุดๆ เต้นรั่วๆ แล้วก็ขำกันกระจาย ... เป็นปาร์ตี้เล็กๆ แต่ก็ฮาเต็มที่


เป็นปาร์ตี้เลี้ยงส่งที่ไม่มีเศร้าสร้อยหงอยเหงา ... ก็จะเศร้าทำไม ในเมื่อก็ยังได้เจอกันอีกเรื่อยๆ แน่นอน

17.9.54

ย้อนรอยชิม ที่แปดริ้ว

กลับมาย้อนรอยเส้นทางของตัวเองอีกรอบในระยะเวลาอันใกล้ เพราะมีสมาชิกขอมา ว่าทริป ชมชิม เมืองแปดริ้ว นั้น ยั่วน้ำลายเหลือเกิน ... ช่วยจัดไปตามรอยสักหน่อยเถอะ


มีเสียงขอมา เลยส่งคำชวนผ่าน fb ไปยังหมู่ผองเพื่อน ว่ามีใครสนใจจะร่วมขบวนด้วยรึเปล่า ... สรุปมีสมาชิกตอบรับกลับมา 3 ราย ... น้องฝน เคยมาลุยชิมเส้นนี้ด้วยกันแล้ว แต่ยังไม่ครบทุกเมนู ... พี่จุ๊บ หมายตาเล็งอยากจะชิมก๋วยเตี๋ยวปากหม้อมานาน แต่ยังไม่มีโอกาสสักที ... พี่ตู่ ผู้ที่สนอกสนใจทุกเมนูที่เราพูดถึง และติดใจกุ่ยช่ายเจ้าเด็ด


แม้มีผู้ร่วมทริปแค่ 3 ราย ก็ไม่ใช่ปัญหาค่ะ ทริปนี้ออกเดินทางกันได้ตามกำหนด ... สะดวกซะอีก เพราะผู้โดยสารนั่งได้สบายๆ พื้นที่ด้านหลังเปิดโล่งเตรียมรับเสบียงค่ะ
 

นัดเจอสมาชิกแต่เช้า สมาชิกพร้อมหน้า คนขับ กับ เนฯ ก็นำทางไปจุดหมายแรก คือ ตลาดคลองสวน ... ไปให้เดินชมตลาด ซื้อขนม ของฝาก ของกิน ต่างนานา 


ขอดีของการไปเดินตลาดนี้แต่เช้า ก็คือ คนน้อยค่ะ ทางเดินยังโล่ง เดินได้สบายๆ ... ตั้งใจพามาเดินเล่น หามื้อเช้ารองท้องเบาๆ แต่มีสมาชิกหิว เลยแนะนำก๋วยเตี๋ยวร้านอร่อย ... สมาชิกเครื่องติด อยากจะสั่งเบิ้ล แต่เราต้องชะลอไว้ก่อน เพราะเดี๋ยวจะพาไปมื้อจริงจังแล้ว


เห็นสมาชิกเครื่องติดแบบนี้ ก็รีบพาขึ้นรถมุ่งหน้าไปจุดหมายหลัก ที่ อ.พนมสารคาม ... สมาชิกก็สงสัยว่าทำไมไม่พามาที่ร้านนี้เลย ทำไมถึงพาไปหย่อนตลาดก่อน ... ที่ต้องพาแวะเดินเล่นก่อน เพราะ ร้านก๋วยเตี๋ยวปากหม้อเจ๊ติ๋ม ที่ตั้งใจพามาชิมเปิด 11 โมง ค่ะ อยากกินของอร่อยต้องใจเย็นๆ 


ที่ร้านนี้เปิดสายกว่าร้านอื่นๆ เพราะต้องเตรียมเครื่องน้ำซุป เตรียมไส้ค่ะ ... แม่ค้าลงมือปรุงเองทุกรายการ ทั้งผัดไส้ และต้ม ตุ๋นเครื่องซุป ก็ต้องให้เวลาสักหน่อย 


มาถึงกันอย่างหิวโหยแบบนี้ ก็เลือกสั่งเครื่องซุปกันก่อนเลยค่ะ  ได้ชามมาแล้วก็ปรุงรส เติมผัก เติมกระเทียมเจียว เติมกากหมู ได้ตามชอบใจ ... แล้วก็ลงมือสั่งไส้ปากหม้อที่ต้องการได้เลยค่ะ รอบละ 6 ตัว จะเติมกี่รอบก็ตามความสามารถของกระเพาะแต่ละคนค่ะ ... จบที่ร้านนี้ก็ทำเอาสมาชิกท้องแน่น


ท้องแน่นๆ แบบนี้ ก็ต้องพาไปเดินย่อยอีกรอบ ... พาไป วัดสมานรัตนาราม ไปชมพระพิฆเนศ ไปเดินชมตลาด ไปรับลมเย็นๆ ริมน้ำ


เดินกันเพลินๆ ช้อปกันเล็กๆ น้อยๆ ได้เดินชมตลาด ช่วยย่อยก๋วยเตี๋ยวปากหม้อที่กินไปเมื่อสักครู่ได้สักหน่อย ... ก็พาไปจุดหมายต่อไป ร้านกุ่ยช่ายเจ๊อิม เกาะขนุน


ตอนออกเดินทางเรารีบโทรมาสั่งล่วงหน้าไว้ก่อน เพราะรู้ดีว่าร้านนี้ขายดีมาก ไม่สั่งไว้ อาจจะอด ... สั่งล่วงหน้าเอาไว้ แล้วนัดเวลาไปรับ แต่พอไปถึงปรากฎว่ายังต้องรออีกสักพักค่ะ เพราะวันนี้คนสั่งเยอะ ของยังเตรียมไม่เสร็จ ... ไม่เป็นไรเลยค่ะ รอได้ สบายมาก จะได้พักท้องอีกสักหน่อย


ไปกัน 5 คน สั่งกุ่ยช่ายรวมกันราว 30 กล่อง ทั้งซื้อกินเอง ซื้อฝาก ซื้อแจก ... พอได้ของที่สั่ง พื้นที่ท้ายรถก็ชักจะแน่นแล้ว


ไปต่อกันที่ ร้านข้าวมันไก่ชลบุรี ร้านนี้น้องฝนพลาดไปเมื่อครั้งก่อน ได้ยินเรากับคนดีพูดถึงหลายหน เลยอยากมาลองชิมเอง ... ครั้งนี้สมหวังแล้วค่ะ


เพราะเป็นร้านคนกันเอง เลยสั่งได้ตามชอบใจ อยากได้อะไรมากน้อยแค่ไหนบอกได้ ... แล้วก็กินไปเรื่อยๆ นั่งเล่นไปเพลินๆ นานแค่ไหนก็ได้ ... กินอิ่มแล้วสั่งกลับบ้านไปฝากคนที่บ้านด้วย


เปิดท้ายรถรอบนี้ รู้สึกเหมือนรถขายกับข้าว เพราะมีสารพัดของกินเต็มท้ายรถไปหมด ตั้งแต่รอบเช้าที่ตลาดคลองสวน  ก๋วยเตี๋ยวปากหม้อ  ตลาดนัดในวัดสมานฯ  กุ่ยช่าย  และล่าสุดข้าวมันไก่


แต่ยังไม่จบค่ะ เรายังแวะ ร้านขนมเปี๊ยะตั้งเซ่งจั๊ว อีก ... แล้วก็วนรถเข้าไปทางไปวัดหลวงพ่อโสธร ไปแวะซื้อ ชิฟฟอนเค้ก ปิดท้าย


สรุปว่าทริปนี้ประสบความสำเร็จทุกเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ... สมาชิกได้ชิมครบทุกจานที่ตั้งใจ อิ่มหนำสำราญมาก อาจจะมากเกินไป เพราะเนฯ กับ คนขับ จัดหนักให้เต็มที่ ... หวังว่าคงจะอิ่ม อร่อย ถูกใจ และขออภัยถ้าพามาทรมานท้องไปสักนิด ไม่รู้สมาชิกจะกล้ากลับไปเราอีกรึเปล่า

11.9.54

อุโมงค์ผาเมือง


หลังจากไปหม่ำข้าวรอบเช้ากับที่บ้านแล้ว รอบบ่ายก็แวบมาดูหนังค่ะ ... เพราะมีหนังใหม่ของหม่อมน้อยเข้า ตั้งใจไว้ว่ายังไงก็จะไม่พลาด


- - เรื่องย่อ - -
เกิดคดีฆาตกรรมปริศนาที่น่าสะพรึงกลังและซับซ้อนซ่อนเงื่อนสุดที่จะค้นหาความจริงได้  ณ นครผาเมืองแห่งอาณาจักร์เชียง ... เมื่อ "โจรป่าสิงห์คำ" ผู้โหดร้ายที่สุดในแผ่นดินถูกจับได้ในคดีฆาตกรรม "ขุนศึกเจ้าหล้าฟ้า" และข่มขืน "แม่หญิงคำแก้ว" ภรรยาของขุนศึกในป่านอกเมือง ขณะที่ทั้งสองเดินทางออกจากเมืองเพื่อไปเยี่ยมญาติที่นครเชียงคำ


จากคำให้การของโจรป่าและแม่หญิง สร้างความปั่นป่วนและพิศวงงงงวยให้แก่ "เจ้าผู้ครองนคร" และประชาชนผู้มาฟังคำให้การเป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้งคู่ต่างยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าตนเองเป็นผู้ฆ่าขุนศึก ... เจ้าหลวงจึงเรียก "ผีมด-ร่างทรง" มาเข้าทรงดวงวิญญาณของขุนศึกเพื่อค้นหาความจริง แต่แล้ววิญญาณของขุนศึกกลับให้การผ่านร่างทรงว่า ตนต่างหากที่ฆ่าตัวเองตาย


เหตุการณ์ทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านการพบเห็นและสนทนาของ "พระหนุ่ม"  "ชายตัดฟืน" และ "สัปเหร่อ" ภายในอุโมงค์ผีที่ผาเมือง ... ซึ่งไม่อาจเข้าใจได้เลยว่า เหตุใดทั้ง 3 คน จึงให้การปิดบังความจริงที่เกิดขึ้น และ "ความจริง" ทั้งหมดคืออะไรกันแน่


หลายคนอาจจะบอกว่าเป็นหนังดูยาก แต่เราชอบค่ะ อาจจะเพราะชอบหนังของหม่อมน้อยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วยก็ได้ ... เป็นหนังดูแล้วต้องคิดตาม ไม่ได้ดูเรื่อยๆ เพลินๆ แล้วถ้าคิดตามในมุมของธรรมะด้วย ก็จะเข้าใจ และปลงชีวิตได้บ้าง


เรื่องนี้ถูกใจให้ดาว พี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ แซงหน้า หนุ่มอนันดาคนโปรดเลยค่ะ ... พี่อ๊อฟแสดงได้เยี่ยม


เป็นหนังที่แนะนำให้คนอื่นดูยาก เกิดไม่ใช่แนวที่ชอบ แนะนำไปอาจจะมาบ่นกันได้ทีหลัง ... แต่ถ้ามีคนมาถามว่าหนังเป็นยังไง ก็ต้องคุยกันก่อนว่า คาดหวังว่าหนังจะเป็นยังไง เพื่อเช็คสไตล์ความชอบก่อน แล้วถึงจะแนะนำได้


แต่สำหรับเรา คิดว่า ค่าโปรดัคชั่น ฉาก เสื้อผ้า หน้า ผม และบรรดาเหล่านักแสดงที่มารวมตัวในหนังเรื่องนี้ ก็คุ้มค่าบัตรแล้วค่ะ

My Family Day

หลายๆ ครอบครัวจะจัดวันอาทิตย์เป็นวันของครอบครัว ที่สมาชิกในบ้านจะมารวมตัวกัน ... บ้านเราก็เหมือนกัน แต่ไม่ได้มีวันครอบครัวเป็นประจำทุกสัปดาห์หรอกค่ะ เรียกว่าเป็นวันครอบครัวแบบรายสะดวกซะมากกว่า


วันอาทิตย์จัดเป็นวันซัก-รีดของเรา ส่วนพ่อกับหม่ามี้นั้นก็มีธุระไปนั่นนู่นนี่กันประจำ เพราะฉะนั้นถ้าจะรวมตัวกันวันอาทิตย์ ต้องนัดกันล่วงหน้าไว้เลยค่ะ


แล้วคนที่มักจะทำให้เกิดนัดวันอาทิตย์ ก็คือคนดีนี่หล่ะค่ะ ... ด้วยความที่พ่อกับหม่ามี้มักจะมาโฆษณาชวนเชื่อว่ามีของอร่อยอยู่ตรงนั้นตรงนี้ คนดีฟังแล้วก็เก็บข้อมูลเอาไว้ แล้ววันดีคืนดีก็มาทวงถามว่าจะไปเมื่อไหร่ดี ... นั่นหล่ะค่ะ นัดวันครอบครัวก็เกิด


อย่างครั้งนี้ ก็เพราะคนดีพลาดไม่ได้ชิมก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ที่พ่อซื้อมาฝาก ... พ่อเลยบอกว่าไว้จะชวนไปกินที่ร้านเลย แถวนั้นมีอร่อยหลายอย่าง ... แล้ววันนั้นก็มาถึงค่ะ


ร้านชื่ออะไรก็จำไม่ได้ค่ะ รู้ว่าอยู่ไม่ไกลจากวัดไตรมิตร ... เอารถไปจอดไว้ที่ลานจอดรถของสถานีรถไฟหัวลำโพง แล้วเดินมาอีกหน่อยก็ถึงแล้วค่ะ 


พ่อเดินจ้ำอ้าว ล่วงหน้ามาถึงก่อน จัดการเลือกทำเล จองโต๊ะ จัดเก้าอี้ไว้พร้อม ... แล้วก็สั่ง ปอเปี๊ยะสด มารอไว้เลย


จากนั้นก็ต้องสั่งรายการหลักที่ตั้งใจมาลองชิม ... ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ค่ะ 


แต่เราเลือกสั่ง ก๋วยเตี๋ยวคั่วหมู อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ก๋วยเตี๋ยวคั่วหมูจริงๆ ใส่หมูสับปั้นก้อน ไส้หมู แล้วก็ตับ  


เท่านั้นยังไม่พอค่ะ ยังมี หอยทอด มาแบ่งกันชิมอีก ... แต่ผิดหวังค่ะ ไม่ผ่านมาตรฐานที่เราโปรดปราน จริงๆ ก็ไม่ได้แย่นะคะ เพราะมีคนสั่งหลายคน แต่ไม่ถูกปากเรา เพราะร้านโปรดที่ติดใจทำไว้ประทับใจมาก กรอบกร้วมอร่อยจนลืมไม่ลง


จัดการอาหารกันจนอิ่มหนำถ้วนหน้าแล้วก็ได้เวลาเดินย่อยค่ะ ... อยู่ใกล้วัดไตรมิตรแค่ข้ามถนนนิดเดียวก็ถึงแบบนี้ ก็ต้องข้ามไปไหว้พระสักหน่อยหล่ะค่ะ


ไหว้พระ เดินชมบรรยากาศในวัดสักพัก ก็ได้เวลาแยกย้ายค่ะ ... จริงๆ เราตั้งใจจะพาพ่อกับหม่ามี้ไปดูหนัง แต่ สว ทั้งสองขอแยกตัวไปเดินเล่นคลองถม ไปหาซื้อของจุกจิกนิดหน่อย ... เห็นมั้ยคะ ว่า สว บ้านนี้ ธุระเยอะ


เราสองคนเลยแวะไปเตร็ดเตร่ ดูหนัง ช้อปปิ้ง กันต่อตามแผนเดิม ... เดินมากชักหิว เลยแวะหม่ำเฟรนช์ฟรายเจ้าโปรดเจ้าอร่อยสักหน่อย


Fries Me To The Moon กับ ซอสมายองเนสวาซาบิ เข้ากันดี๊ดีค่ะ 


รองท้องเบาๆ แล้วก็กลับเข้าบ้าน เพราะคนดีมีนัดกับพ่อค่ะ ... จริงๆ ต้องเรียกว่า นัดกับ ผัดลูกชิ้น ของพ่อ ต่างหากค่ะ


คนดีโปรดปรานลูกชิ้นปลา พ่อเองก็โปรดปรานเหมือนกัน แล้วมักจะซื้อลูกชิ้นปลาเจ้าอร่อยมาผัดกับพริกเหลืองแบบนี้ ... คนดีเคยชิมแล้วติดใจ พอได้ยินว่าพ่อผัดลูกชิ้นเมื่อไหร่ ตาลุกวาว


แล้วยังมี ไข่เจียวหมูสับ หอมฟุ้งอีกจาน


เสริมกับ ไส้กรอกทอด ที่เราสองคนซื้อติดมือเข้ามา ... เท่านี้ก็เป็นมื้อเย็นง่ายๆ สำหรับวันครอบครัวได้แล้วค่ะ


แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดทั้งวัน แต่สองมื้อที่กินข้าวด้วยกัน ก็เพลิดเพลิน และฮาเฮดีค่ะ

9.9.54

Welcome UNIQLO

UNIQLO แบรนด์เสื้อผ้าจากญี่ปุ่น ถือฤกษ์ดี วันที่ 9 เดือน 9 เข้ามาเปิดตัว เปิดร้านสาขาแรก ณ CTW


เราได้ยินชื่อ ได้ทำความรู้จักมาประมาณนึง แต่ยังไม่ได้อุดหนุนเป็นลูกค้ากันจริงจัง ... มาเปิดร้านให้บริการถึงที่แบบนี้ ก็ตั้งใจว่าจะแวะไปอุดหนุนสักหน่อย


หมวยบี ส่งเสียงชวนไปเดินสำรวจด้วยกัน เพราะหมวยบีไปร่วมกิจกรรม UNIQUBE Hunting ได้บัตรส่วนลดมาหลายใบ จะได้แบ่งๆ กันใช้ ... มีคู่หูชวนช้อปแบบนี้ จะปฏิเสธได้ยังไง ก็ต้องไปตั้งแต่วันแรกซะเลย


ตั้งแต่เช้า ได้ข่าว ได้เห็นภาพ ว่ามีคนไปต่อแถวเข้าคิวยาวเหยียดรอเข้าร้าน ... โอ้วววว อะไรจะขนาดนั้น จะรีบไปทำอะไรกันคะ


ตกเย็นเลิกงานไปถึง CTW ก็เห็นเองกับตา คนรอคิวเข้าร้านยาวเหยียด แต่ตั้งใจมาขนาดนี้แล้ว ยังไงก็เดินหน้าลุย ... ตอนแรกแอบหวั่นว่าอาจจะต้องรอนาน แต่รอจริงๆ ก็ไม่เกิน 20 นาที เพราะทางร้านและพนักงาน จัดระบบในการปล่อยลูกค้าเข้าร้านได้ดี


พอเข้าร้านไปได้ ก็แยกย้ายไปตามทางใครทางมันเลยหล่ะค่ะ ... เราหมายตาเสื้อยืดเอาไว้ ไปลองจับๆ เนื้อผ้าดูก็ไม่ผิดหวัง แหวกราวหาไซส์เสื้อที่ต้องการแล้วก็หย่อนลงตะกร้าไว้ก่อน ... ถูกใจตัวไหน ชิ้นไหน จับหย่อนลงตะกร้าก่อน แล้วค่อยมาคัดตัวทีหลัง เพราะคนเยอะมาก หาของยาก


แม้จะคนเยอะ ดูวุ่นวาย แต่การจัดการคิวต่างๆ ในร้านก็เป็นระเบียบดี ทั้งคิวห้องลองเสื้อ คิวจ่ายเงิน มีพนักงานคอยดูแลทุกจุด แม้ลูกค้าจะเยอะ คิวจะยาว แต่ก็ไม่ได้รอนานอย่างที่กังวล ... ที่สำคัญพนักงานในร้านก็น่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใส เดินผ่านจะได้ยินเสียง "ยูนิโคล่ สวัสดีค่ะ / สวัสดีครับ"  ตลอด ... ปากยิ้ม ตายิ้ม หน้ายิ้ม เสียงยิ้ม และพร้อมจะให้ความช่วยเหลือ และให้บริการ ประทับใจที่สุด


สรุปว่า เรา คนดี และบีหมวย เสียเงินฉลองเปิดร้านวันแรกกันถ้วนหน้า มีแววว่าคงจะได้เป็นลูกค้าประจำ เพราะคุณภาพสินค้ากับราคา จัดว่าคบได้ ... แล้วจะมีเปิดสาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว กับ สาขาเซ็นทรัลพระรามเก้า เพิ่ม ... ใกล้บ้านแบบนี้ แวะไปเดินเล่นได้เรื่อยๆ

7.9.54

ตามผลตรวจ

หลังจากตื่นเต้นกับประสบการณ์ตรวจ Thin Prep ไปแล้ว ... ก็ได้เวลามาติดตามลุ้นผลการตรวจกันต่อ


เราเลือกตรวจด้วยโปรแกรม Thin Prep Plus (Thin Prep + HPV DNA Test) คือ การตรวจหาเซลล์มะเร็ง และตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก ด้วยเลย


ตอนโทรสอบถามเพื่อนัดตรวจ ก็สงสัยว่า Thin Prep กับ Thin Prep Plus ต่างกันยังไง ทำไมราคาค่าตรวจต่างกัน ... เจ้าหน้าที่ก็ให้คำตอบว่า Thin Prep คือตรวจหาเซลล์มะเร็งอย่างเดียว ถ้ายังไม่เป็นก็ไม่เจอ ... แต่ถ้าเป็น Thin Prep Plus นั้น จะตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ด้วย คือตรวจว่ามีเซลล์มะเร็งรึเปล่า แล้วก็ตรวจลึกลงไปอีกว่า มีเชื้อไวรัสซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งแอบแฝงอยู่ด้วยรึเปล่า


ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ตรวจแล้วก็เจาะให้ลึก ยอมจ่ายแพงกว่าแต่ได้คำตอบกว้างขึ้นแล้วกัน จะได้สบายใจทั่วท้องจริงๆ ... จำได้เลาๆ ว่า ตอนตรวจเสร็จ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าให้รอผลจากแล็บสักสองสัปดาห์ แล้วก็โทรศัพท์ไปถาม แต่ถ้ามีอะไรผิดปกติ คุณหมอ หรือ เจ้าหน้าที่ จะโทรติดต่อเข้ามาก่อน


ออกจาก รพ. ก็รีบทำการบันทึกลงปฎิทินใน iPhone และตั้งให้เตือนความจำว่าต้องโทรติดตามผลตรวจ ... ดีที่บันทึกไว้ เพราะถ้าไม่บันทึคงลืมจริงๆ เพราะพอได้ยินเสียงเตือนยังงง ว่าเตือนเรื่องอะไร จิ้มอ่านดูถึงได้นึกขึ้นได้ว่าต้องโทรถามผล


ก่อนโทรถามก็แอบดีใจเล็กๆ ที่ไม่มีเสียงโทรศัพท์จาก รพ. เข้ามาหา ไม่งั้นคงได้ตื่นเต้นตระหนกตกใจ


หาเบอร์โทรศัพท์กลับไปสอบถามที่ศูนย์สุขภาพสตรี พอแจ้งเรื่องว่าจะโทรมาสอบถามผล เจ้าหน้าที่ก็ขอรหัสลับ ... อ้าว ตายแล้ว รหัสลับอะไรหล่ะคะ ไม่เห็นได้เลย


ทำเสียงเหวอๆ กลับไป ว่ารหัสลับคืออะไร ดูจากตรงไหน เพราะไม่ได้ติดซองฟิล์มเอ็กซเรย์มา ซึ่งเอกสารต่างๆ อยู่ในนั้น ... เลยไม่แน่ใจว่าเจ้าหน้าที่ลืมให้ หรือ เราลืมดู แต่สุดท้ายเลยแจ้งรหัสประจำตัวคนไข้ไป ก็น่าจะยืนยันว่าเป็นคนไข้จริงๆ ได้ เจ้าหน้าที่เลยแจ้งผลมาว่า "ปกติดี"  ไม่มีทั้งเซลล์มะเร็ง และเชื้อไวรัส


โล่งใจไปได้ 1 เปลาะ เพราะลำพังก้อนเนื้อที่เจอในเต้านมก็ชวนตื่นเต้นพอแล้ว ขืนมีเซลล์พิเศษโผล่ขึ้นมาอีกหล่ะก็ ตื่นเต้นหนักเลย ... แม้จะโล่งใจ แต่ก็วางใจ ละเลยไม่ได้ 


ผู้หญิงพิเศษวัย 30+ อย่างเรา ยังไง ก็ต้องไปตรวจภายใน ตรวจหาเซลล์มะเร็งเป็นประจำทุกปี ... เพราะมะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในหญิงไทย แต่ก็เป็นมะเร็งที่สามารถตรวจพบตั้งแต่ระยะก่อนมะเร็ง ... ซึ่งหากตรวจพบในระยะแรก ก็มีทางรักษาได้หลายวิธี 


ถ้ามัวแต่เขิน มัวแต่อายคุณหมอ มารู้ทีหลังว่ามีเซลล์พิเศษที่ไม่ได้รับเชิญมาวิ่งเล่นแล้ว รักษาลำบาก ใจฝ่ออีกต่างหากค่ะ ... เพราะฉะนั้น ตรวจเป็นประจำ รู้ตัวก่อน ได้เปรียบค่ะ

2.9.54

Final Japanese Class

เว้นวรรคจากการเรียนภาษาญี่ปุ่นไปซะนานนนนนนนนน ... จริงๆ เหลือแค่สอบประมวลผลครั้งสุดท้ายเท่านั้น แต่นักเรียนและ Sensei สลับกันติดธุระ ภารกิจนั่นนี่ เลยไม่ได้มาสอบปิดคอร์สซะที


Sensei บอกไว้แล้วว่า ในการสอบครั้งสุดท้าย จะเป็นการเขียนตัวอักษร Hiragana ทั้งหมด และมีข้อสอบแบบปรนัย ให้เลือกแปลศัพท์ จาก ญี่ปุ่นเป็นไทย และ ไทยเป็นญี่ปุ่น อย่างละ 15 ข้อ


คลาสสุดท้ายที่เรียน คือ ปลายเดือนกรกฎาคม เราก็ได้พยายามท่องศัพท์สะสมเอาไว้ ... ท่องไป ลืมไป จนจะลืมซะหมดแล้ว ก็ยังไม่ได้สอบสักที ... พกโน้ตคำศัพท์ติดกระเป๋าไว้ จนโน้ตเริ่มเปื่อย เลยต้องจดใหม่ให้หยิบมาท่องง่ายขึ้น


ท่องศัพท์มาก จนงง ไม่แน่ใจตัวเองว่าจำศัพท์ได้หรือไม่ได้ กว่าจะนัดวันเรียน วันสอบรอบสุดท้ายได้ ก็ชักไม่แน่ใจว่ามีศัพท์ติดอยู่ในหัวมากแค่ไหน ... แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ต้องลองเก็งข้อสอบกันหน่อย แล้วมาลุ้นมาลุยกับข้อสอบดู


ส่วนแรก เขียนตัวอักษร Hiragana 46 ตัว ถ้าเขียนได้ 40 ตัวขึ้นไป ก็ได้ 40 คะแนนเต็ม ... อันนี้มั่นใจ หายห่วง ว่ายังไงก็คงได้เต็มแน่ๆ แม้จะเขียนพลาดไปตัวนึง ก็ยังรอด ได้ 40 คะแนนมาครอบครอง


ส่วนที่ 2 เลือกคำแปลภาษาไทย ... ส่วนที่ 3 เลือกคำแปลภาษาญี่ปุ่น ... มีอย่างละ 15 ข้อ ข้อละ 2 คะแนน ก็ส่วนละ 30 คะแนน


ส่วนที่ 2 ตอบถูกหมด สอย 30 คะแนนเต็มมาได้ ... แต่ส่วนที่ 3 พลาดท่าเสียทีให้กับข้อสอบ เก็งมาถูกแล้ว แต่จำศัพท์สลับกัน เพราะศัพท์ที่ Sensei เลือกมานั้น 3-4 ตัวอักษร ต่อคำ ซึ่งงุนงง ท่องจำสับสนตลอด ส่วนนี้เลยได้คะแนนมาแค่ 20 เท่านั้น


แต่รวมเบ็ดเสร็จแล้ว ได้ 90 คะแนน ... ไชโย ฮูเร ได้ A+ มาครอบครอง เป็นหน้าเป็นตาให้ Sensei ชื่นใจ ... ส่วนคนดีที่เป็นหัวหน้าห้องดีเด่น เรียนไป เกเรไป หลับไป ได้คะแนนไม่ถึงครึ่ง ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากความคาดหมาย


คลาสนี้มีนักเรียน 4 คน สอบวัดผลผ่าน 2 ตก 2 ช่างเป็นนักเรียนคลาสที่สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ในการสอน
ให้กับ Sensei จริงๆ เล้ยยยย

สรุปว่าจบการเรียนภาษาญี่ปุ่นคอร์สแรกอย่างสมบูรณ์ ... ส่วนคอร์สที่สอง คงจะเริ่มต้นเดือนตุลา แต่จะมีเหตุการณ์ให้เลื่อนออกไปรึเปล่า ก็คงต้องตามดูกันอีกทีค่ะ เพราะนักเรียนคลาสนี้ ถือสิทธิอาวุโสต่อรองกับ Sensei ได้ตลอด

29.8.54

DSLR ตัวแรก

ที่ผ่านมาใช้แต่กล้องคอมแพคป๊อกแป๊กมาตลอด เพราะไม่ได้สนใจที่จะถ่ายรูปจริงจัง แค่ถ่ายเก็บบรรยากาศเท่านั้น ... ความรู้ต่างๆ เรื่องการเล่นกล้อง จัดว่าน้อยมากกกก


ไม่เคยสนใจกล้อง DSLR เพราะรู้สึกว่าตัวใหญ่ เทอะทะ พกพาลำบาก ... ดูจากคนดี และคนใกล้ตัวที่เล่นกล้องนั้น จะไปไหนทีต้องแบกกระเป๋ากล้องใบโตติดไปด้วย


แต่แล้ววันนึง Sony ก็ปล่อยกล้องรุ่น NEX ออกมาให้ตื่นตาตื่นใจ ... แม้จะเป็นมือสมัครเล่นด้านกล้องอย่างเรา ก็ยังตาลุก เพราะมาขนาดกะทัดรัด แต่คุณสมบัติเหมือนกล้องตัวโตๆ แล้วยังเป็นแบรนด์ที่คุ้นเคยกันด้วย ... อย่างที่เคยบอกว่าเป็นคนที่ Brand Loyalty สูงมากกกก ใช้อะไรจนคุ้นก็จะติดอยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยเปลี่ยน แต่เพราะเพิ่งใช้ Cyber-shot ตัวล่าสุด มาได้ไม่เท่าไหร่ จะให้เปลี่ยนกล้องใหม่ก็กะไร ก็เลยปล่อยความสนใจนั้นลง


จนมาเจอกับ NEX-C3 เข้า กิเลสที่เคยสงบนั้นก็เริ่มฟุ้งขึ้นมาใหม่ เดินเข้าไปลูบๆ คลำๆ อยู่หลายครั้งหลายหน ... หยิบแล้วก็วาง หยิบแล้วก็วาง หลายรอบ ตัดใจ ข่มใจ เอาไว้ก่อน ยังหาเหตุผลมาสนับสนุนให้ซื้อไม่ได้ เพราะเจ้ากล้องตัวที่ใช้ประจำก็ยังทำงานได้ดี


จนบังเอิญเดินไปเจอ งานลดราคาสินค้าของเพาเวอร์บาย ก็ขอคนดีแวะเข้าไปลูบๆ คลำๆ กล้องเหมือนเดิม ... แต่คราวนี้ต่างออกไปตรงที่ ไม่ได้จับอย่างเดียว แต่ได้ลองเปิดดูฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ด้วย เท่านั้นแหละ กิเลสฟุ้งตลบอบอวล ไม่ใช่แต่เรา คนดีเองก็ถูกใจ


ประจวบเหมาะกับมีจัดโปรโมชั่น ลดราคา แล้วยังผ่อน 0% ได้อีก ... เลยเสียทรัพย์ พา NEX-C3 สีชมพูแจ๋น ในฐานะ DSLR ตัวแรกกลับบ้านมาอยู่ในความดูแล



แต่ได้กล้องใหม่มาในช่วงที่ไม่ได้มีแพลน มีทริปออกไปไหนเลย ก็เลยไม่เห่อกล้องมากนัก ได้แต่ลูบๆ คลำๆ ลองลูกเล่นนิดๆ หน่อยๆ ที่บ้าน ... ที่สำคัญคือ ขนาดกล้องเปลี่ยนไป พกติดกระเป๋าไม่สะดวกเหมืนเคย เพราะน้ำหนักกล้องมากขึ้น และยังหากระเป๋าใส่กล้องที่จะช่วยดูแลความปลอดภัยไม่ได้ เลยปล่อยเจ้าชมพูอวบตัวนี้ นอนเล่นที่บ้านเป็นหลัก


หลังจากนี้ก็คงจะได้เห็นผลงานจากเจ้าชมพูอวบตัวนี้แน่ๆ ค่ะ ... ส่วนเจ้าชมพูบางตัวเดิมนั้น ก็คงส่งมอบให้ไปอยู่ในความดูแลของ สว ในบ้านเช่นเคย

28.8.54

คอนเสิร์ทสามแยกปากหวาน

หลังจากอกหัก เพราะจองตั๋วเดี่ยว 9 ไม่สำเร็จ ก็ได้ยินโฆษณาคอนเสิร์ทสามแยกปากหวาน พอดี ... เพิ่งรู้ว่าเริ่มเปิดขายบัตรวันเดียวกับเดี่ยวเลย ตอนนั้นคิดว่าพลาดจากเดี่ยวแน่ๆ เลยเบนเป้าหมายมาซื้อบัตรคอนเสิร์ทนี้แทน


ปรึกษาคนดี เลือกวัน เลือกรอบ ก็ทำการจองบัตรทันที ... จองง่ายดาย ไม่ต้องลุ้นเหนื่อยอย่างบัตรเดี่ยว เลือกที่นั่งได้อย่างใจ หักผ่านบัตรเครดิต ได้รหัสจองทันที แค่รอไปรับบัตร ... แล้วราวๆ 2 สัปดาห์ต่อมา คุณพัชก็แจ้งข่าวมาว่าช่วยหาบัตรเดี่ยวให้ได้แล้ว ... เอออออ เอาหล่ะซิ เดือนนี้เป็นเดือนแห่งความบันเทิงกันเลย


เพราะ ป๊อบ ปองกูล  อ๊อฟ ปองศักดิ์ และ ว่าน ธนกฤต เคยโชว์ฝีไม้ลายมือในการปะทะคารมกันใน 7 DIVOs ให้เราได้เห็นความฮา และลงตัวของทั้ง 3 คนนี้แล้ว ... พอจับมาเจอกันเต็มๆ 3 คนแบบนี้ เลยน่าสนใจมิใช่น้อย


คอนเสิร์ท์จัดที่ หอประชุมใหญ่ ม.ธรรมศาสตร์ มี 2 รอบ เสาร์-อาทิตย์ เราเลือกดูรอบวันอาทิตย์ ... ออกจากบ้านเร็วหน่อย เพื่อเวลาไปถึงก่อนพักใหญ่ เพื่อไปหาที่จอดรถค่ะ แล้วก็เหมือนพกดวงมาด้วย เพราะพอเข้าไปแป๊บเดียว ก็เจอรถออกพอดี ... จอดรถเรียบร้อย ก็เดินไปหาอะไรรองท้อง


คนดีพาไปชิม ก๋วยเตี๋ยวเกี๊ยวฟรี สั่งมาคนละชามรองท้องเบาๆ ... เพราะคนดีหมายตาอีกหลายอย่างในละแวกนั้นเอาไว้ เพราะอะไรๆ ก็น่าลองน่าชิมไปหมด สุดท้ายได้ ลูกชิ้นทอดมาถุงโต เพราะความผิดพลาด สั่ง 20 บาท แต่คนดีถือตังค์ไว้ 40 คนขายเลยตักมาให้ 40 บาท ถุงเบ้อเร่อ หมดสิทธิชิมอย่างอื่นต่อ ... แต่เราสองคนพ่ายแพ้ต่อร้านไอติมไผ่ทอง เห็นเป็นไม่ได้ ต้องกิน เพราะหากินยากเหลือเกิน ได้มาอีกคนละถ้วยกำลังเหมาะ อิ่มพอดี ไม่สาหัสเกินไป


อิ่มแล้วก็นั่งเล่นชมวิวไปเรื่อยๆ รอเวลาประตูเปิด ... ตามประสาคอนเสิร์ทไทยค่ะ เปิดประตูช้า เริ่มเล่นช้า ตามเคย



พอคอนเสิร์ทเริ่มเล่น ความฮาก็เริ่มตามมาติดๆ เพราะ 3 หนุ่ม ยิงมุขใสส่กันตลอด ตามสคริปท์บ้าง หลุดสคริปท์ไปบ้าง ... ถ้าให้คะแนนถูกใจ ก็ตามลำดับ ป๊อบ อ๊อฟ ว่าน ที่ปล่อยมุข ลีลา และความฮาใส่กันเต็มที่ ... เป็นคอนเสิร์ทที่นักร้อง พูดเยอะพอๆ กับร้องเพลงค่ะ หัวเราะซะจนสับสนว่ามาดูคอนเสิร์ท หรือมาดูทอล์คโชว์


ปกติคนดีที่ดูโชว์อะไรแบบนี้ แล้วมักจะนิ่งๆ เฉยๆ ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ร่วมตามสักเท่าไหร่ แต่กับคอนเสิร์ทนี้ คนดีหัวเราะลั่น เรียกว่าหัวเราะคุ้มค่าบัตรที่เสียมาหล่ะค่ะ


จากเดิมไม่ได้สนใจ ป๊อป สักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ปลื้มค่ะ ช้อบบบบ ชอบบบ เพราะปล่อยมุขได้ตลอด แถมปล่อยมุขหน้าตายซะด้วย ... ตั้งใจไว้เลยว่า ถ้าบังเอิญเดินเจอตัวเป็นๆ ที่ไหน จะขอถ่ายรูปคู่เป็นที่ระลึกไว้สักหน่อย เพราะน้องป๊อบ ฮาได้ใจจริงๆ ค่ะ

27.8.54

ลองชิม Tokiya

ได้ข่าวร้านอาหารใหม่ของคุณตัน ผ่านทาง fb เห็นแล้วสนอกสนใจอยากไปลองชิม ... เก็บข้อมูลไปโฆษณาชวนเชื่อให้คนดีฟัง แล้วจัดการรวบรัดตัดความ ล็อควัน และโทรจองโต๊ะทันที

ตอนแรกตั้งใจว่าจะกินช่วงบ่ายๆ จะได้อิ่มทนไปจนเย็นเลย แต่เกิดมีภารกิจเร่งด่วนช่วงเย็นโผล่เข้ามา เลยต้องขยับคิวมาเป็นช่วงเช้า ... รีบไปตั้งแต่ร้านเปิดเลย

ร้านอยู่ที่ชั้น 2 ของ สยาม ดิสคัฟเวอรี่ ค่ะ บรรยากาศในร้านเรียบ หรู และถูกใจมาก เพราะสีประจำร้านเป็นสีม่วง สีโปรดของเรา ... ร้าน Tokiya ให้นิยามตัวเองว่า Fusion Steak Course อิ่มอร่อยกับคอร์สอาหาร 8 จาน ได้ในราคา 499 บาทเน็ท


วันนี้ได้นั่งโต๊ะริมกระจก เพราะจองคิวตั้งแต่ร้านเริ่มเปิด เลยยังมีลูกค้าไม่มากนัก ได้นั่งโล่งๆ สบายๆ ดูวิวเพลินๆ ... ได้โต๊ะแล้วพนักงานก็นำเมนูมาให้เลือกอาหาร ซึ่งเราต้องเลือกสั่งให้จบเลย โดยตลอดทั้งคอร์ส จะใช้เวลาประมาณ 1.45 - 2 ชม. เพราะพนักงานจะทยอยนำอาหารออกมาเสิร์ฟตามลำดับ โดยเว้นช่วงเวลาของแต่ละจานอย่างพอเหมาะ

เริ่มที่ Appertizer : Tokiya Style Eringi - เห็ดเออรินจิผัดซอสโทคิยะ


เห็ดเออรินจิย่าง คลุกเคล้ากับซอสสูตรเฉพาะของร้าน เคี้ยวเพลินๆ เป็นจานเรียกน้ำย่อยจริงๆ ค่ะ ... มีเมนู Appertizer ให้เลือกแค่จานนี้เท่านั้นนะคะ

Salad : Smoked Duck Salad - สลัดเป็ดรมควัน


เนื้อเป็ดนุ่มๆ เสิร์ฟพร้อมผักสดกรอบ และน้ำสลัดอมเปรี้ยวนิดๆ ลงตัวแบบสดชื่นดี ... นอกจากนานนี้ยังมีสลัดอีก 3 แบบให้เลือกค่ะ

Soup  : Lobster Bisque - ซุปครีมล็อบสเตอร์


ครีมซุปเนื้อเข้มข้น อร่อยถูกปาก ... แล้วยังมีซุปอีก 3 จานให้เลือกค่ะ

Rice : Yagi-Onigiri - ข้าวทอดญี่ปุ่นทรงเครื่อง 


        + Aromatic Rice - ข้าวอบสาหร่ายปลากรอบ


สเต็ปนี้เลือกต่างกัน เราเลือกข้าวทอด ตักพร้อมซอสที่ราดมาด้วยเข้ากันดี ถูกใจค่ะ ... ส่วนคนดีเลือกข้าวอบ ก็รสกลมกล่อม ใช้ได้

Juice : Mulberry Vinegar Juice - น้ำมัลเบอรี่วีนิการ์


สเต็ปนี้ไม่มีตัวเลือกอื่นค่ะ ... น้ำมัลเบอรี่หมัก รสเปรี้ยวๆ หวานๆ เสิร์ฟมาแบบเย็นฉ่ำเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ใครชอบก็จะชอบเลย ใครไม่ชอบดื่มแล้วจะหน้าตาเหยเกสักหน่อย ... ทางร้านบอกว่า เป็นการตัดรสชาติจานก่อนหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมให้ลิ้นรับรสเมนคอร์สที่จะเสิร์ฟตามมาได้เต็มที่

Main Coursh : Combu Australian Beef Steak - คอมบุสเต็กเนื้อออสเตรเลีย


เป็นอีกสเต็ปที่เราเลือกต่างกัน คนโปรดปรานเนื้ออย่างเรา ขอเลือกสั่งเนื้อแน่นอน บอกคนดีชัดขอลองชิมสักหน่อย แล้วก็ไม่ผิดหวังค่ะ ตัดชิ้นเนื้อส่งเข้าปากคำแรก แสงพุ่งวิ้งๆ ประทับใจสุดๆ เนื้อนุ่ม และย่างมากำลังเหมาะ กินกับกระเทียมทอดกรอบที่เสิร์ฟมาด้วย เริ่ดดดดดด ... ส่วนคนดีเลือกสั่ง Kurobuta Steak เป็นสเต็กหมูดำ เราไม่ได้ถ่ายรูปมา ได้ชิมคำนึง ก็ใช้ได้นะคะ

ในส่วนของเมนคอร์สนี่ ยังมีให้เลือกอีกหลากหลายเลยค่ะ มีทั้งแบบเดี่ยว และแบบ combination มีเนื้อ 2 ชนิดในจานเดียวกัน

Dessert : Milk Pannacotta - มิลค์แพนนาคอตต้า 


+ Melt Me Gelato Cheesecake Butterfly Pea & Berry - เมลท์มีเจลาโต้ชีสเค้กรสอัญชันเบอรี่


อีกสเต็ปที่อยากชิมต่างกันค่ะ เราเลือกแพนนาคอตต้านมสด เนื้อเนียนๆ นุ่มๆ หวานกำลังเหมาะ เสิร์ฟพร้อมถั่วแดงและซอสชาเขียว ลงตัวพอดี ... ชีสเค้กที่เสิร์ฟมาพร้อมกับไอศครีมเจลาโต้รสอัญชันเบอรี่ค่ะ

ปิดท้ายด้วย Beverage : Blue Lemon + Kiwi Soda


สเต็ปนี้ก็ใจไม่ตรงกันค่ะ เลือกเครื่องดื่มเย็นเปรี้ยวๆ ซ๋าๆ เหมือนกัน แต่เลือกคนละสี รสชาติต่างกันเล็กน้อย

กว่าจะมาครบ 8 สเต็ป ท้องก็เกือบปริค่ะ เรากินสเต็กไม่หมด ขอใส่ถุงกลับบ้านได้สบาย... จากรสชาติอาหาร คุณภาพอาหาร การบริการ และบรรยากาศ นับว่าคุ้มค่ากับราคาค่ะ เพราะลำพังสเต็กเนื้อดีดีแบบนี้ ก็คุ้มแล้วค่ะ

สรุปว่าประทับใจ และคงหาโอกาสกลับไปใช้บริการอีก แต่คงต้องเป็นโอกาสพิเศษ ที่เตรียมท้องว่างมาเป็นพิเศษแล้วด้วย เพราะกินแล้ว อิ่มมากกกกกกกกกกก

***หมายเหตุ*** ภาพจาก iPhone เลยไม่คมชัดเท่าไหรนะคะ ขออภัยค่า